บทที่ 49 คำสั่งซื้อ
ใช้แต้มคุณูปการไปจนเกลี้ยงเกลา แต่ไม่ได้เวทวิชาติดไม้ติดมือกลับมาเลย จั่วม่อรู้สึกตนเองโง่งมยิ่ง
จั่วม่อเงยหน้ามองหอคัมภีร์อันทรุดโทรมด้วยโทสะอัดอก ก่อนจะสะบัดหน้าก้าวเดินโดยไม่หันไปมองอีกแม้แต่แวบเดียว ฮึ่ม!รอให้เหยียมีแต้มคุณูปการเสียก่อนเถอะ เหยียจะนอนกลิ้งไปทั่วชั้นหนึ่ง กลิ้งเกลือกจนทั่วทั้งชั้นสอง จะนอนหลับอยู่บนนั้นทุกวันเลย!จั่วม่อแม้รู้สึกไม่มีรสชาติ แต่ก็อับจนหนทาง จากนั้นสมองมันหันเหไปสนใจวิธีหาจิงสืออย่างรวดเร็ว
แต้มคุณูปการของศิษย์ฝ่ายในไม่ได้หาง่ายดาย ก่อนนี้ตอนที่มันเป็นศิษย์ฝ่ายนอก มันไม่เคยมีปัญหาเรื่องแต้มคุณูปการมาก่อน แต่พอหวนคิดอีกที แต้มคุณูปการของศิษย์ฝ่ายในก็มีคุณค่ามากยิ่งกว่าของศิษย์ฝ่ายนอกมาก หากเป็นในกาลก่อน ไม่ว่าจะเป็นม้วนหยกม้วนใดในชั้นสอง มันย่อมดูแลรักษาประหนึ่งสมบัติล้ำค่า นี่มันกลายเป็นเรื่องมากพิรี้พิไรถึงเพียงนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด?
มีหลากหลายหนทางที่จะได้รับแต้มคุณูปการ เพียงแค่หญ้าปราณกับสมุนไพรปราณที่จั่วม่อปลูกขึ้นมา หากให้สำนักนำไปขายให้ ทั้งหมดนั้นก็จะได้รับแต้มคุณูปการด้วย อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์เช่นเดียวกับที่หอคัมภีร์ จั่วม่อเดาว่าเป็นมาตรฐานทั่วไปในสำนัก และย่อมจะมีสถานที่อื่นที่ต้องใช้แต้มคุณูปการเช่นเดียวกัน ปัญหาข้อนี้สำคัญอย่างยิ่งและมันจำเป็นต้องล่วงรู้ให้ชัดเจน
ดังนั้นจั่วม่อแล่นไปยังโถงฟังธรรม เสาะหาศิษย์พี่สวี่อี้อีกรอบ
พอฟังคำถามของจั่วม่อ ศิษย์พี่สวี่อี้ก็อธิบายยืดยาว “ศิษย์น้องเข้าใจถูกต้องแล้ว ในสำนักแต้มคุณูปการยังมีประโยชน์กว่าจิงสืออีก นอกเหนือจากเคล็ดกระบี่สุญตาแล้ว เวทวิชาอื่น ๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนัก รวมถึงเคล็ดกระบี่มังกรน้ำแข็งของซือฟู่ข้าและเคล็ดกระบี่ระดับสี่อื่น ๆ ล้วนสามารถแลกเปลี่ยนได้โดยใช้แต้มคุณูปการ แต่ก็แน่นอนว่า จำนวนแต้มที่ต้องใช้นั้นน่าอัศจรรย์จนเจ้าขนหัวลุกทีเดียว นอกเหนือจากเวทวิชาแล้ว สิ่งของชั้นสูงบางอย่างเช่นกระบี่บินหรือยุทธภัณฑ์เวท ก็สามารถแลกมาได้ด้วยแต้มคุณูปการเช่นเดียวกัน เจ้าทำได้แม้แต่ใช้แต้มคุณูปการของเจ้าแลกกับการให้ซือฟู่ข้าสอนกระบี่หรือวิชาหลอมสร้าง หรือข้าก็สามารถใช้แต้มคุณูปการของข้าให้อาจารย์อาหญิงสี่สอนข้าหลอมกลั่นโอสถ โดยพื้นฐานแล้วแต้มคุณูปการมีอำนาจครอบคลุมแทบจะทุกอย่างในสำนัก”
“เช่นนั้นศิษย์พี่ท่านใช้วิธีใดหาแต้มคุณูปการ?” จั่วม่อถามต่อ
“เฮะเฮะ ข้ามักจะหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทให้แก่สำนักมอบให้อาจารย์อาหยานเล่อนำไปขาย หรือบางทีก็หลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทให้ศิษย์น้องคนอื่นแลกกับแต้มคุณูปการบางส่วน ต่อไปถ้าศิษย์น้องเจ้าต้องการยุทธภัณฑ์เวทให้มาหาข้า รับรองว่าราคาต่ำกว่าสำนักมาก” สวี่อี้ไม่ละเว้นโอกาสชี้ชวนแนะนำยุทธภัณฑ์เวทของตน จากนั้นกล่าวต่อไปว่า “อย่างศิษย์น้อง ต่อไปเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญการหลอมกลั่นโอสถ การหาแต้มคุณูปการจะรวดเร็วมาก สำหรับคนอื่น ๆ เช่นศิษย์น้องหลัวหลี มันแม้อยู่ในด่านจู้จีแต่ฝึกปรือเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างสำเร็จ พลังฝีมือของมันสามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนด่านหนิงม่ายขั้นต้น มันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเหมือง คอยเฝ้าควบคุมเหล่าทาสฝึกตน ใต้ดินนั้นทั้งมืด ทั้งไม่สบาย น่าเบื่อหน่ายถึงที่สุด นอกเหนือจากศิษย์น้องหลัวหลีแล้ว ไม่มีผู้ใดอยากไป ดังนั้นสำนักมอบแต้มคุณูปการให้แก่มันในอัตราที่สูงมาก”
เมื่อศิษย์พี่สวี่อี้กล่าวถึงหลัวหลี จั่วม่อก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ในชั้นสองของหอคัมภีร์ ข้าไม่เห็นมีเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างกับเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์อยู่เลย”
“เฮะเฮะ ศิษย์น้องรีบร้อนเกินไปแล้ว สองเคล็ดวิชานี้อาจจัดอยู่ระดับที่สาม แต่พวกมันเป็นชั้นสูงสุดในระดับสาม อีกทั้งยังอาจค้นพบเงาของเคล็ดกระบี่สุญตาจากทั้งสองวิชา สำนักย่อมระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เมื่อศิษย์น้องอยู่ในสำนักนาน ๆ ไป เจ้าย่อมสามารถแลกเปลี่ยนได้ในที่สุด”
จั่วม่อค่อยเข้าใจกระจ่าง
ออกจากสถานที่ของศิษย์พี่สวี่อี้ จั่วม่อกำหนดแนวคิดคร่าว ๆ สำหรับสิ่งที่มันต้องทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาแต้มคุณูปการจากสำนัก ดูเหมือนวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุดในเวลานี้คือพึ่งพาการปลูกพืชปราณ
ครั้นเมื่อกลับมาถึงปากทางเข้าหุบเขาลมตะวันตก มันพบศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง จึงรีบทักทาย “ไฉนศิษย์พี่หญิงไม่เข้าไปรอด้านใน?”
“อาคมหวงห้ามในหุบเขาของศิษย์น้องดุดันมาก ศิษย์พี่หญิงไม่กล้าอวดดีเกินไป” หลี่อิงฟ่งหยอกล้อ
จั่วม่อสะท้านใจ เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามีเส้นชีพจรปราณปฐพีตั้งอยู่ใต้ห้องศิลา มันแม้ไม่วางอาคมหวงห้ามไว้ภายใน แต่ยังระมัดระวังถึงที่สุด และก่อตั้งอาคมหวงห้ามเป็นชั้น ๆ ไว้ที่ปากหุบเขา แต่ดูจากเวลานี้ คล้ายจะเสี่ยงมากเกินไป เพราะกลับกลายเป็นว่ามันดึงดูดความสนใจจากผู้คนแทน
บังคับตัวเองให้เยือกเย็นลง มันค่อยอธิบาย “ในหุบเขามีพืชปราณมากมายกำลังเจริญงอกงาม ข้าเกรงว่าสัตว์บางชนิดเช่นกระต่ายหรือจิ้งจอกจะเข้าไปสร้างความเสียหาย ถึงตอนนั้นเสี่ยวตี้ผู้นี้จะร่ำไห้ก็สายเกินไปแล้ว”
“นั่นก็จริง” หลี่อิงฟ่งพยักหน้า “หากพืชปราณถูกทำลายโดยฝีมือของสัตว์เล็ก ๆ เหล่านั้น พวกมันจะไม่เหลือค่าอะไรเลย อันที่จริงข้าก็มีม้วนหยกอาคมหวงห้ามอยู่ม้วนหนึ่ง เจ้าเมื่อสามารถใช้อาคมหวงห้าม ก็มอบต่อเจ้าก็แล้วกัน”
จั่วม่อปลาบปลื้มยิ่ง รีบประสานมือคำนับต่ำ “ขอบคุณมากศิษย์พี่หญิง!”
“ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจ” นางตอบ “ทั้งเจ้าและข้ามาจากศิษย์ฝ่ายนอกเช่นเดียวกัน ย่อมต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา”
“นั่นย่อมแน่นอน” จั่วม่อเห็นพ้องด้วย พวกมันล้วนชาญฉลาดปราดเปรื่อง บทสนทนาสั้น ๆ นี้ได้กำหนดกรอบความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันให้เป็นพันธมิตรกันอย่างรวดเร็ว
มองผิวเผินทุกผู้คนอาจปฏิบัติต่อมันด้วยดี แต่ศิษย์ฝ่ายในที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากศิษย์ฝ่ายนอก มักจะถูกข่มไว้โดยศิษย์ฝ่ายในดั้งเดิม นี่ไม่ใช่เพียงสำนักกระบี่สุญตาเท่านั้น เกือบทุกสำนักก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สำนักกระบี่สุญตาไม่มีศิษย์รุ่นที่สองมากนัก และพวกมันส่วนใหญ่ยังคงท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก นอกเหนือจากหลัวหลีกับห่าวหมิ่นที่จากไปนานแล้ว ต้าซือซยงฉินเฉิง ต้าซือเจี่ยกงซุนฉิง และซานซือเจี่ยซวีอีเซี่ย ล้วนแล้วแต่ไม่อยู่ในสำนัก
(ฉินเฉิง- เมืองฉิน, กงซุนฉิง- ฟ้าใสแซ่กงซุน, ซวีอีเซี่ย – พึงต้องรอคอยคิมหันต์, ซานซือเจี่ย- ศิษย์พี่หญิงสาม )
หลังจากนี้ การต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ระหว่างฉินเฉิงกับเหวยเสิ้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกผู้คนรอคอยชมดู
หากไม่มีเรื่องราวไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็เกือบจะแน่นอนแล้วว่าเหวยเสิ้งจะเข้าแทนที่ฉินเฉิง กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่คนใหม่ แต่ฉินเฉิงยังคงเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก และหลังจากรั้งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่มายาวนาน มันก็เป็นที่นับถือและชื่นชมของเหล่าศิษย์รุ่นที่สองคนอื่นทั้งหมด
ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่กงซุนฉิง ว่ากันว่าได้หมั้นหมายกับศิษย์สำนักใหญ่แห่งหนึ่ง นางไม่ค่อยได้อยู่ในสำนักมากนัก แต่นางมีอิทธิพลสูงสุดในบรรดาศิษย์รุ่นที่สอง นางกระทั่งอาจโน้มน้าวใจท่านเจ้าสำนักได้ นี่บางทีเป็นเพราะความสำคัญของคู่หมั้นของนาง
ศิษย์พี่หญิงสามซวีอีเซี่ยได้รับความรักใคร่เอ็นดูอย่างลึกซึ้งจากอาจารย์อาทุกท่าน อาจารย์อาหยานเล่อยังเคยหมายมั่นปั้นมือให้นางเป็นผู้สืบทอดของมัน เพียงแต่นางนิสัยใจคอร่าเริง มีชีวิตชีวาและไม่อินังขังขอบ ไม่มีความสนใจด้านธุรกิจการค้าแต่อย่างใด
จั่วม่อทอดถอนอย่างเศร้าสร้อย ไม่มีที่ใดรอดพ้นจากความขัดแย้ง หลายต่อหลายครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านสู้หรือไม่สู้ เพราะไม่ว่าสู้หรือไม่สู้ท่านยังคงถูกลากเข้าสู่ข้อพิพาทอยู่ดี ทั้งตัวมันและหลี่อิงฟ่งไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเรื่องราวประเภทนี้ เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกยังต่อสู้อย่างหฤโหดยิ่งกว่านี้ เพราะพวกมันล้วนมีชีวิตความเป็นอยู่เป็นเดิมพัน มีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอยู่ทุกหนแห่งราวกับต้นไม้ในป่า พวกมันทั้งคู่ล้วนเคยได้รับทราบมาเป็นอย่างดี จั่วม่อบุกฝ่าจากการถูกผู้คนรังแกในตอนเริ่มแรก ไปจนกระทั่งสิ้นสุดที่ทุกผู้คนล้วนประจบเอาใจมัน จากมุมมองของบุคคลภายนอก ประสบการณ์ของมันย่อมลึกซึ้งยิ่ง ส่วนหลี่อิงฟ่ง เพื่อขึ้นเป็นลำดับแรกของเหล่าศิษย์สตรีดอยตะวันออก ความสามารถของนางก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว
จั่วม่อเห็นซึ้งกระจ่างชัดเจนยิ่ง ศิษย์พี่เหวยเสิ้งอาจจะถือเป็นผู้นำในกลุ่มพวกมันทั้งสาม แต่กับเรื่องราวเช่นนี้ แน่นอนว่าศิษย์พี่ไม่ใส่ใจ นอกเหนือจากกระบี่ ศิษย์พี่ทั้งไม่แยแสและไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวอื่นใด จั่วม่อแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์พี่คงยินดีมากถ้าไม่ต้องเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ด้วยวิธีนั้นศิษย์พี่จะสามารถมุ่งเน้นจดจ่อกับการฝึกปรือของมันได้เต็มที่
ศิษย์พี่สามารถไม่ต้องนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ แต่ตัวมันเองย่อมไม่สามารถ พรสวรรค์และพลังฝีมือของศิษย์พี่เปิดเผยออกมาเป็นป้ายยี่ห้อ เด่นชัดเจิดจรัส กระทั่งฉินเฉิงยังต้องปฏิบัติต่อศิษย์พี่ด้วยความเคารพสูงสุด แต่สภาพการณ์ของหลี่อิงฟ่งกับจั่วม่อล่อแหลมกว่า ไม่ใช่แตกต่างกันแค่ระหว่างดีหรือไม่ดี แต่ย่ำแย่กว่านั้นมาก
หลี่อิงฟ่งพึงพอใจไม่น้อยกับความเข้าใจเงียบ ๆ ระหว่างพวกมันทั้งสอง และคิดในใจว่าศิษย์น้องจั่วม่อแม้รูปโฉมน่ากลัว แต่จิตใจเฉลียวฉลาดละเอียดอ่อน สหายที่ชาญฉลาดผู้หนึ่งย่อมดีกว่าสหายโง่เขลาผู้หนึ่ง
เรื่องบางเรื่องเพียงแค่ต้องสะกิดเท่านั้นก็เพียงพอ นางพลันหันเหหัวข้อสนทนา “วันนี้ข้ามาเพื่อส่งมอบจิงสือที่เหลือให้ศิษย์น้อง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นคำที่จั่วม่อชมชอบฟังมากที่สุด มันกลายเป็นพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “อ้อ เท่าใด?”
“นี่เจ็ดสิบหกชิ้นจิงสือระดับสอง เป็นส่วนที่เหลือหลังจากหักเงินที่จ่ายล่วงหน้าแล้ว” หลี่อิงฟ่งกล่าวพลางส่งม้วนหยกให้ “ในบัญชีนี้มีรายละเอียดทั้งหมด ศิษย์น้องสามารถนำกลับไปดู”
จั่วม่อรับม้วนหยกมา สุขสราญบานใจหาใดเปรียบ กำไรในครั้งนี้ดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก
ทันใดนั้นพลันนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ หลี่อิงฟ่งถามว่า “ใช่แล้ว ศิษย์น้องยังมีเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรอีกหรือไม่?”
หากหลี่อิงฟ่งไม่ถาม จั่วม่อก็เกือบจะหลงลืมเม็ดยานี้ไปเสียแล้ว
“คราวที่แล้ว ซิวเจ่อผู้หนึ่งซื้อไป สองวันต่อมามันกลับมาถามว่ายังมีอีกหรือไม่ มันต้องการซื้ออีกสิบเม็ด แต่ละเม็ดยินดีจ่ายราคายี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง” หลี่อิงฟ่งเล่าความ
สิบเม็ด! เม็ดละยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง รวมทั้งหมดสองร้อยชิ้นจิงสือระดับสอง นั่นมันเท่ากับสองชิ้นจิงสือระดับสามเชียวนะ!
จั่วม่อคล้ายเห็นจิงสือนับไม่ถ้วนบินรี่เข้าหามัน จนถึงตอนนี้ นี่เป็นคำสั่งซื้อใหญ่โตมโหฬารที่สุดเท่าที่มันเคยได้รับมา สองชิ้นจิงสือระดับสาม! วัตถุดิบของเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรมีราคาเพียงสามชิ้นจิงสือระดับสองเท่านั้น ด้วยราคาขายยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง มันจะได้กำไรต่อเม็ดถึงสิบเจ็ดชิ้นจิงสือระดับสอง ไม่น่าประหลาดใจที่หัวใจมันเต้นกระหน่ำอย่างครึกครื้น
สิ่งเดียวที่จั่วม่อกังวลคือเรื่องอัตราความสำเร็จ มันหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรขึ้นมาสำเร็จโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นไม่มีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จอีก
“ข้าจะทดลองดูก่อน” จั่วม่อยังคงระมัดระวังมาก
“อืม ตกลง เมื่อศิษย์น้องมีคำตอบ สามารถบอกข้าได้ทุกเวลา” จากนั้นหลี่อิงฟ่งร่ำลาจากไป
เห็นศิษย์พี่หญิงลับหายจากสายตา จั่วม่อวิ่งรี่เข้าสู่หุบเขาในทันใด กระโดดขึ้นหลังห่านจะงอยเทา แล่นตรงไปยังเรือนขิงหอม เม็ดยาหนึ่งเม็ดเท่ากับยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง! นั่นเกือบจะเท่ากับรายได้ครึ่งหนึ่งของปีก่อนเลยทีเดียว
เข้าสู่เรือนขิงหอม มันซื้อกองวัตถุดิบสำหรับหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรจากศิษย์น้องหญิงสวี่ฉิง จากนั้นมุดหัวหายเข้าไปในห้องหลอมกลั่นโอสถของมัน
ไม่มีสิ่งใดทำให้มันกระตือรือร้นได้มากกว่าจิงสืออีกแล้ว
จั่วม่อไม่ได้เริ่มกระบวนการหลอมกลั่นในทันที แต่นั่งลงคิดทบทวนทุกการกระทำที่เกิดขึ้นในคราวที่แล้ว ไม่นานอารมณ์ของมันค่อยสงบลง จากนั้นมันไขว้ขาท่าดอกบัว เข้าสู่สภาวะฌานและเริ่มโคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด
ผ่านไปสองชั่วยาม จั่วม่อค่อยถอยออกจากฌาน ใบหน้าแข็งเย็นกระด้างราวกับตายไปแล้ว แต่ดวงตากระจ่างใสและเยือกเย็น
จั่วม่อจิตใจสงบนิ่ง ไม่หลงเหลือความปีติยินดีก่อนหน้านี้ จิตสำนึกของมัน จิตใจ และพลังปราณ ล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ใส่วัตถุดิบสำหรับเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรลงไปในกระถางหลอมกลั่น จั่วม่อทาบมือลงบนแผ่นจานแปดทิศ แล้วพลังจิตสำนึกก็แผ่กระจายออกไปทั่วกระถางอย่างเงียบงัน
ประจุพลังปราณลงไปในผ่านจานแปดทิศ ค่ายกลยันต์เวทไฟหลีบนกระถางหลอมกลั่นโอสถเริ่มต้นทำงานอย่างฉับพลัน พลังปราณสั่นสะเทือนปั่นป่วนภายในกระถาง
ในช่วงกลางของกระบวนการปรุงยา เวทวิชาของจั่วม่อพลันแปรเปลี่ยน ร่ายเคล็ดอัคคีสีชาดออกมาเต็มรูปแบบ
เส้นแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ตกกระทบมือมัน จากนั้นหักเหเข้าไปในกระถาง
จนกระทั่งถึงยามนี้ ยังไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากคราวที่แล้ว จั่วม่อจิตใจผ่อนคลายลงบ้าง ก่อนหน้านี้แม้ว่ามันจะย้อนทบทวนการกระทำทุกอย่างโดยละเอียดแล้ว แต่จะอย่างไรการหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรก็เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ มันเลอะเลือนมึนงงอยู่หลายแห่ง จดจำไม่ได้ชัดเจนนัก
ทันใดนั้นหัวใจมันกระดอนขึ้น ได้แต่ร้องว่าโชคไม่ดี พลังปราณภายในกระถางผันผวนสั่นสะเทือนอย่างผิดปกติ
จริงอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด กลิ่นไหม้อันรุนแรงตลบอบอวลอยู่ในห้องหลอมกลั่น
จั่วม่อเตรียมใจมาดีพอ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะบังเอิญหลอมกลั่นเม็ดยาชนิดใหม่ขึ้นมาได้ สิ่งที่จำเป็นคือโชคเท่านั้น แต่อันที่จริงหากต้องการเข้าใจวิธีการหลอมกลั่น นั่นกลับเป็นวิชาความรู้แขนงหนึ่ง จำเป็นต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ ต้องฝึกฝน สร้างขึ้นจากรากฐาน ไม่มีหนทางลัด
สำหรับเม็ดยาชนิดนี้ มันทั้งล่วงรู้แนวคิดทั่วไป รู้ขั้นตอนพื้นฐานทั้งหมด และรู้จักวัตถุดิบ ซ้ำยังทำกำไรมากเพียงพอ จะมีเม็ดยาใดที่เหมาะเจาะพอดีสำหรับมือใหม่เช่นจั่วม่อไปมากกว่านี้อีกเล่า?
ส่วนเรื่องความยากลำบาก จั่วม่อหาได้เคยเกรงกลัวไม่
ในโลกนี้ มีสิ่งใดที่สามารถทำกำไรจิงสือได้มากมายโดยปราศจากปัญหายุ่งยากด้วยหรือ?