บทที่ 48 หอคัมภีร์ใจอำมหิต
“เจ้าควรทราบ สำนักเราเป็นสำนักกระบี่ เพลงกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักเรียกว่าเคล็ดกระบี่สุญตา ซึ่งปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักได้รังสรรค์ขึ้น แต่สำนักเราค่อย ๆ เสื่อมทรุดลง เพลงกระบี่ซึ่งถูกจัดอยู่ระดับหกนี้ ไม่มีผู้ใดในสำนักฝึกปรือสำเร็จอีก ต่อมาด้วยเหตุบางประการ มันถูกแบ่งแยกออกเป็นสองวิชา หนึ่งคือเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ อีกหนึ่งเป็นเคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง* ซึ่งวิชาที่ศิษย์น้องหลัวหลีฝึกปรือเป็นเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างนี้เอง แต่หลังจากถูกแบ่งแยกออกมาเป็นสองวิชา เพลงกระบี่ทั้งสองนี้จัดอยู่ระดับสามเท่านั้น
นอกจากนี้อีกหนึ่งวิชาที่มีความสำคัญไม่น้อย เป็นเคล็ดกระบี่มังกรน้ำแข็งของซือฟู่ของข้าเอง เพลงกระบี่นี้เดิมจัดอยู่ระดับสี่ แต่เมื่ออยู่ในมือซือฟู่ของข้ามันสามารถเปล่งประกายจนถูกยกเข้าสู่ระดับห้า ที่ผ่านมาอาศัยเพลงกระบี่มังกรน้ำแข็ง ในเทศกาลล่าอสูรซือฟู่มิทราบเข่นฆ่าสังหารอสูรปิศาจไปมากมายเท่าใด กระทั่งถูกขนานสมญานามว่า กระบี่มังกรน้ำแข็งซินหยาน”
(*ตามที่เคยกล่าวไว้แล้วว่า เคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง (คงเจี้ยน) เป็นส่วนหนึ่งของ เคล็ดกระบี่สุญตา (อู๋คงเจี้ยน) ตอนนี้เปิดเผยอีกครึ่งหนึ่ง คือเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ (อู๋สิงเจี้ยน) เวิ้งว้าง + ไร้ลักษณ์, คงเจี้ยน + อู๋สิงเจี้ยน จึงจะเป็นสุญตา(อู๋คง)โดยสมบูรณ์)
ขณะที่กล่าวถึงท่านอาจารย์ซินหยานของมัน สวี่อี้จิตใจล่องลอยไปในห้วงความคิดของตน
สามารถยกระดับเพลงกระบี่ระดับสี่กลายเป็นเพลงกระบี่ระดับห้า ความสำเร็จในเคล็ดกระบี่มังกรน้ำแข็งของท่านอาจารย์ซินหยานนับว่าน่าแตกตื่นสะท้านใจแล้ว นี่ไม่เพียงต้องบรรลุเพลงกระบี่ถึงระดับชั้นที่ลึกล้ำสุดหยั่งถึง แต่ยังต้องสามารถแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ไม่ว่าผู้ใดสามารถกระทำเรื่องราวเช่นนี้ ย่อมไม่อาจถือว่ามันเป็นบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป
“นอกเหนือจากสามวิชานี้แล้ว บรรพชนอีกหลายท่านของสำนักเรายังมีฝีมือมิใช่ชั่ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดกระบี่เมฆา เคล็ดกระบี่เพลิงแดง เคล็ดกระบี่มรกต ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นระดับที่สี่ ฮาฮา ศิษย์น้องอย่าได้เห็นว่าสำนักเราไม่มีชื่อเสียงในตงฝู เจ้าควรทราบว่าในตงฝู นอกจากหอตงฝูของเทียนซงจื่อแล้ว มีแต่สำนักเราที่ครอบครองเคล็ดกระบี่ระดับหก และอย่าว่าแต่เพลงกระบี่ระดับหก กระทั่งเคล็ดวิชาระดับสี่ ยังแทบไม่มีสำนักใดในตงฝูมีไว้ในครอบครอง”
จั่วม่อฟังไปฟังมา สองตาก็เบิกกว้างจนแทบตาค้าง มันไม่เคยคิดเลยว่าสำนักมันที่แท้เข้มแข็งถึงเพียงนี้
สวี่อี้สังเกตเห็นแววตาของจั่วม่อ ต้องหัวร่อออกมา “ศิษย์น้องอย่าเพิ่งคิดหวังในแง่ดีเกินไป เคล็ดวิชากระบี่ระดับที่สี่ขึ้นไป สำนักย่อมไม่ได้มอบให้แก่ศิษย์คนใดโดยง่ายดาย คติที่ท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์อายึดถือ คือยอมขาดแคลนดีกว่ามีสินค้าด้อยคุณภาพ* ลองนึกดู ในอดีตศิษย์น้องหลัวหลีเหนือล้ำกว่าผู้ใดในศิษย์รุ่นที่สองเรา แต่กระนั้นมันยังได้รับเพียงเพลงกระบี่ระดับสามเช่นเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างเท่านั้น”
(*หมายถึงถ้าไม่ได้ของดีก็อย่ามีเลยดีกว่า)
คราวนี้เห็นความผิดหวังในดวงตาจั่วม่อ สวี่อี้ปลอบว่า “แล้วก็อย่าได้ท้อแท้มากเกินไปเลยศิษย์น้อง ถึงอย่างไรในบรรดาเคล็ดกระบี่ระดับสาม ก็ยังพอมีเคล็ดวิชาที่เด่นล้ำอยู่บ้าง ดังเช่นเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างที่ศิษย์น้องหลัวหลีฝึกปรือ แล้วก็เคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ที่มาจากเคล็ดกระบี่สุญตาเช่นเดียวกัน พวกมันเป็นวิชาที่เลิศล้ำที่สุดในหมู่เพลงกระบี่ระดับสามด้วยกัน เจ้าต้องให้ความสนใจและรอบคอบ ทั้งหมดอาจเป็นเคล็ดวิชาระดับสามเหมือนกัน แต่ที่จริงยังคงมีความต่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย”
จั่วม่อหูผึ่งทันที คิดหวังเคล็ดวิชาที่ดีที่สุดอาจจะยากเย็นอยู่บ้าง แต่จะอย่างไรก็ไม่ควรเลือกอันที่ย่ำแย่ที่สุด มันเป็นคนรู้หลักความเป็นจริงอย่างยิ่ง มองผิวเผินความแตกต่างระหว่างแต่ละวิชาอาจมีอยู่เพียงเล็กน้อย แต่หากลองแปลงค่าเทียบเป็นจิงสือ ความแตกต่างนี้ก็ไม่น้อยแล้ว
“โดยทั่วไปแล้ว เคล็ดวิชากระบี่สายเบญจธาตุนับว่าย่ำแย่ที่สุด ศิษย์น้องเจ้าเป็นเกษตรกรปราณ แน่นอนว่ามีความเข้าใจในห้าธาตุลึกล้ำกว่าข้า แต่เจ้าต้องทราบ เบญจธาตุแม้มีจุดเด่นที่ร้อยเปลี่ยนพันแปลง แปรปรวนสุดหยั่ง แต่ก็เป็นเหตุให้สูญเสียความพิศุทธิ์และความเป็นหนึ่งเดียวไป จดจำไว้ การฝึกปรือกระบี่สิ่งที่ไม่อาจสูญเสียคือความพิศุทธิ์นี้เอง แต่วิชาห้าธาตุทั้งก่อเกิดและข่มซึ่งกันและกัน จึงยากจะสะสางกลั่นกรองให้บริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียว ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเพลงกระบี่เบญจธาตุที่อยู่เหนือกว่าระดับสามมาก่อน ศิษย์น้อง อย่าได้ทดลองเลือกเคล็ดวิชากระบี่เช่นนี้ เจ้าควรทราบว่าเพลงกระบี่อื่น ๆ ล้วนมีลักษณะเฉพาะของพวกมันเอง บ้างดุดันทรงพลัง เหมาะสำหรับบุกตะลุยและเข่นฆ่าสังหาร บ้างลึกลับพิสดาร สุดหยั่งคาด เหมาะสำหรับลอบทำร้าย ซุ่มโจมตี บ้างก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจ เพิ่มพูนพลังบำเพ็ญเพียร”
“หล่อเลี้ยงจิตใจ? ไม่ใช่ว่าเคล็ดวิชากระบี่ใช้เพื่อสังหารเป็นหลักหรอกหรือ? ใช้หล่อเลี้ยงจิตใจทำอย่างไร?” จั่วม่ออดถามไม่ได้
“ฮ่าฮ่า มรรคาแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งยาวไกล ทั้งยากลำบาก หากปราศจากจิตใจอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อาศัยอันใดบรรลุจุดหมายปลายทาง? ใช้กระบี่หล่อเลี้ยงหัวใจ ขัดเกลาดวงวิญญาณ เสริมสร้างจิตใจให้แน่วแน่มั่นคง มีหลายคนฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ประเภทนี้ ดังเช่นตัวข้าเอง ข้าก็ฝึกปรือเคล็ดกระบี่ใจฟ้า เคล็ดวิชานี้ไม่มีพลังอำนาจกระไรนัก แต่ช่วยหล่อเลี้ยง ขัดเกลาและรักษาจิตใจ นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว” สวี่อี้อธิบายอย่างยิ้มแย้ม
“หอคัมภีร์ของสำนักตั้งอยู่ที่ดอยชมธาร เจ้าเมื่อเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้วก็สามารถเข้าไปอ่านคัมภีร์ได้ทุกเวลา แต่ในแต่ละครั้งต้องใช้แต้มคุณูปการเบิกทาง หากศิษย์น้องมีเวลา อย่าลืมคิดหาหนทางสั่งสมแต้มคุณูปการให้มากไว้ ต่อไปเจ้าจะต้องได้ใช้แน่” สวี่อี้เน้นย้ำ
อำลาศิษย์พี่สวี่อี้ จั่วม่อมุ่งหน้าตรงไปยังดอยชมธาร ด้านล่างดอยชมธารเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง เทือกเขาสูงชัน หอคัมภีร์สร้างอยู่บนหน้าผา ตัวหอไม่ใหญ่โตนัก เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีต้นไผ่ผอม ๆ ปลูกไว้ข้างกำแพง ผนังด้านนอกกะเทาะทรุดโทรมไม่เบา จั่วม่อมองแล้วอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้ มันไม่เคยมาที่นี่เลย หอแห่งนี้เปิดรับเฉพาะศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น
คนเฝ้าประตูเป็นชายชราผู้หนึ่ง ทีแรกจั่วม่อจินตนาการไว้ว่าผู้รับผิดชอบดูแลหอคัมภีร์ย่อมต้องมีพลังฝีมือสูงล้ำ แต่ก็ต้องผิดหวังในทันที ชายชราที่เฝ้าประตูมีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้าเท่านั้น แต่จะอย่างไรจั่วม่อย่อมไม่กล้าล่วงเกินมัน มีคำกล่าวว่าพบเจ้าหน้าที่ดีกว่าพบผู้บังคับบัญชา* อย่าได้มองว่าพลังบำเพ็ญเพียรของชายชราผู้นี้ไม่สูงนัก แต่มันเมื่อเป็นผู้ดูแลหอคัมภีร์ หากคิดสร้างปัญหาแก่ท่าน เกรงว่านับจากนี้วันคืนของท่านคงไม่อาจสุขสบายเท่าใดแล้ว
(*เป็นสำนวน หมายความว่าหากมีอะไร พบกับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ยังจะดีกว่าพบผู้บังคับบัญชาระดับสูง ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร)
จั่วม่อส่งป้ายหยกให้อย่างเรียบๆ ร้อยๆ ชายชราเหลือบตามองแวบหนึ่ง แล้วหลุบตากล่าวว่า “หนึ่งชั่วยามในชั้นหนึ่งใช้สองแต้มคุณูปการ หนึ่งชั่วยามในชั้นสองใช้สี่แต้มคุณูปการ ม้วนหยกในชั้นหนึ่งสามารถคัดลอกได้ ม้วนหยกในชั้นสองห้ามคัดลอก ไปเถอะ”
อึ่ก อำมหิตยิ่ง!
จั่วม่อสบถในใจ แต้มคุณูปการของศิษย์ฝ่ายในไม่เหมือนของศิษย์ฝ่ายนอก มิหนำซ้ำไม่สามารถโอนถ่ายมาได้ ดังนั้นจั่วม่อยามนี้มีแต้มคุณูปการรวมทั้งหมดเพียงสิบแต้ม ห้าแต้มได้มาจากท่านเจ้าสำนักให้เป็นรางวัลที่มันได้ครอบครองป้ายหยกชุนหยา ส่วนอีกห้าแต้มมาจากที่มันมอบพืชปราณของมันให้อาจารย์ลุงหยานเล่อนำไปขาย
สิบแต้มคุณูปการ เพียงพอให้มันอยู่บนชั้นหนึ่งได้ห้าชั่วยาม หรืออยู่บนชั้นสองได้เพียงสองชั่วยามครึ่ง
หากมีการคัดลอกม้วนหยก แม้แต่อันที่พื้นฐานที่สุดยังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งหรือสองชั่วยาม และอันที่ไม่สามารถคัดลอก มันต้องใช้วิธีจดจำเอา นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้ภายในไม่กี่ชั่วยาม
บัดนี้จั่วม่อค่อยเข้าใจว่าไฉนศิษย์พี่สวี่อี้จึงพร่ำเตือนนักเตือนหนา ให้มันพยายามหาแต้มคุณูปการเพิ่มมากขึ้น ที่แท้ตัวขูดรีดใหญ่อยู่ที่นี่เอง! มันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันทีที่ห้องตำราหลอมกลั่นโอสถของซือฟู่ไม่ได้เรียกร้องแต้มคุณูปการ มิเช่นนั้นมันต้องร่ำไห้แน่ ๆ จั่วม่อยังเดาว่าอาจารย์ลุงซินหยานก็จะต้องมีห้องตำราหลอมสร้างส่วนตัวเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นศิษย์พี่สวี่อี้คงได้ร่ำไห้ก่อนมันนานแล้ว
เวลากระชั้นสั้นและไม่อนุญาตให้จั่วม่อได้ครุ่นคิด มันรีบวิ่งรี่ขึ้นไปยังชั้นหนึ่ง
เห็นม้วนหยกจัดเรียงไว้เป็นแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จั่วม่ออดเบะปากไม่ได้ เท่าที่เห็นนี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าห้องตำราของซือฟู่ของมันเสียอีก บนแผ่นไม้มีชั้นฝุ่นหนาเตอะสะสม ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีผู้มาเยือนบ่อยนัก แต่แม้ว่าจะขาดการดูแล ทว่าการจัดเรียงม้วนหยกยังนับว่าง่ายต่อการค้นหา
ที่นี่มีม้วนคัมภีร์หยกทุกประเภท ทั้งเคล็ดวิชากระบี่ เคล็ดวิชาเบญจธาตุ เคล็ดบำเพ็ญเพียร หรือวิชาหลอมสร้าง ล้วนเป็นม้วนหยกที่เหล่าบรรพชนของสำนักเสาะหารวบรวมมาตลอดหลายชั่วอายุคน ทั้งหมดไม่ใช่วิชาชั้นสูงกระไรนัก อาจไม่มีคุณค่ามากพอที่จะฝึกปรือ แต่หากจะให้โยนทิ้งไปเสียเฉย ๆ ก็น่าเสียดาย ดังนั้นสำนักจึงก่อตั้งหอคัมภีร์เพื่อส่งเสริมให้ศิษย์ฝ่ายในได้ศึกษาร่ำเรียน แต่กล่าวถึงที่สุด ม้วนหยกเหล่านี้เพียงมีประโยชน์กับผู้ที่เพิ่งเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อฝึกปรือกับซือฟู่ของพวกมันไปสักระยะแล้ว คุณค่าของม้วนหยกเหล่านี้ย่อมจะลดน้อยลงมาก
เป็นเวลานานแล้วที่สำนักกระบี่สุญตาไม่ได้รับศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ ๆ เข้ามา แต่เมื่อหลี่อิงฟ่งกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน นางก็ใช้เวลาในแต่ละวันติดตามอาจารย์ลุงหยานเล่อดูแลกิจธุระการค้าขายทั้งหลายของสำนัก ต่อมาเป็นศิษย์พี่เหวยเสิ้งเข้าสู่ศิษย์ฝ่ายใน มันก็ได้รับการสั่งสอนอย่างเข้มงวดจากอาจารย์ลุงซินหยานโดยตรง จากนั้นเข้าสู่ถ้ำกระบี่ สรุปแล้วทั้งสองคนก่อนหน้าจั่วม่อไม่มีผู้ใดมาที่หอคัมภีร์
ดังนั้นเมื่อจั่วม่อน้อยผู้ที่ซือฟู่ไม่ใส่ใจได้เข้ามาเยือน มันจึงพบเห็นภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นนี้เอง
แม้ว่าจะไม่มีเวทวิชาชั้นสูงใด ๆ แต่ห้องที่อัดแน่นไปด้วยม้วนคัมภีร์หยกก็ทำให้จั่วม่อหัวหมุนตาลาย ทั้งน้ำลายไหลย้อยหยาดหยด อย่าได้เห็นแค่เพียงว่าม้วนหยกเหล่านี้ไม่มีคุณค่าความสำคัญในสำนัก ทว่าหากพวกมันหลุดออกสู่ท้องตลาด แต่ละม้วนสามารถโก่งราคาได้ไม่น้อย สำหรับศิษย์ด่านเลี่ยนชี่แล้ว ม้วนหยกเหล่านี้ไม่ว่าม้วนใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น
จั่วม่อมุ่งตรงไปยังส่วนของเคล็ดวิชากระบี่ ซึ่งเป็นส่วนที่ใหญ่โตที่สุดในชั้นหนึ่ง สำนักกระบี่สุญตาเป็นสำนักกระบี่ เป็นธรรมดาที่พวกมันจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดรวบรวมวิชากระบี่ ในส่วนนี้เห็นเคล็ดวิชากระบี่ระดับสองและระดับสามเป็นจำนวนมาก แต่แน่นอนว่าไม่ใช่วิชาชั้นสูงอันใด หลังจากจั่วม่อพลิกดูผ่าน ๆ ก็รีบวางพวกมันกลับเข้าที่ จริงดังคาด ไม่มีวิชาใดที่พอนับได้ว่าดี พวกมันไม่ได้เลวร้ายนักหากจะใช้ศึกษาอ้างอิงเพิ่มเติม แต่หากต้องการหาวิชาหลักสักวิชาแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีพอจริง ๆ
เหลียวมองไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง มันลังเลแวบหนึ่ง สุดท้ายตกลงใจขึ้นไปดูสักหน่อย
ชั้นสองไม่ใหญ่โตเท่าชั้นหนึ่ง จำนวนม้วนหยกยิ่งมีน้อยกว่ามาก แต่ภาพเบื้องหน้าคล้ายคลึงกับห้องตำราของท่านอาจารย์ ม้วนหยกทั้งหมดล้วนล่องลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละม้วนล้อมรอบด้วยวังวนที่มีสีสันแตกต่างกัน
เมื่อเคยมีประสบการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว จั่วม่อย่อมทราบว่าต้องทำอย่างไร
จั่วม่อพลิก ๆ ดูม้วนคัมภีร์หยกเคล็ดวิชากระบี่ทีละวิชา แต่กระนั้นก็ยังไม่ตกลงใจว่าจะเลือกฝึกปรือเคล็ดกระบี่ใด หากเป็นก่อนหน้านี้ มันอาจจะเลือกเช่นเดียวกับศิษย์พี่สวี่อี้ และฝึกปรือบางวิชาที่เหมือนกับเคล็ดกระบี่ใจฟ้า ซึ่งใช้ขัดเกลาจิตใจให้กระจ่างชัดและมั่นคง อันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งเช่นมัน ยิ่งเสาะหาเคล็ดกระบี่อันทรงฤทธานุภาพได้มากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ความปรารถนาของมันใกล้ความเป็นจริงได้มากเท่านั้น
เมื่อไม่อาจตกลงใจ จั่วม่อจำต้องอ่านดูทีละม้วน
มันไม่เคยพบเห็นม้วนคัมภีร์หยกมากมายถึงเพียงนี้ในเวลาเดียวกันมาก่อน ม้วนหยกทุกม้วนในชั้นสองนี้ หากเป็นกาลก่อน ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่าที่มันเฝ้าฝันถึง มันอดรู้สึกคล้ายกำลังอยู่ในความฝันไม่ได้
จริงดังคาด เคล็ดกระบี่ชั้นสูงที่ศิษย์พี่สวี่อี้กล่าวถึงล้วนไม่มีอยู่ที่นี่ ในชั้นสองม้วนหยกทั้งหมดเป็นวิชากระบี่ระดับสาม แต่เห็นได้ชัดว่าเหนือล้ำกว่าวิชาระดับสามที่ชั้นล่าง ดังนั้นพวกมันสมควรเป็นเคล็ดวิชาที่ดีที่สุดในหมู่เคล็ดวิชาระดับสาม
ตัวอย่างเช่นชุดวิชา [เคล็ดกระบี่วายุอัสนีบาต] หากฝึกปรือสำเร็จ กระบี่จะแผ่วพลิ้วปราดเปรียวดุจสายลม ดุดันทรงพลังประหนึ่งสายฟ้า พลานุภาพน่าตื่นตาตื่นใจ ว่ากันว่าเดิมมันเป็นเคล็ดกระบี่ระดับห้า แต่หลังจากสูญเสียเคล็ดความหลัก ๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายพันปี ในที่สุดอานุภาพลดน้อยถอยลง ระดับตกต่ำเหลือเพียงระดับสาม
ยังมีเคล็ดวิชาอื่น ๆ ที่พิสดารยิ่งกว่า เช่น [เคล็ดกระบี่พิรุณใบไม้ร่วง] ต้องการกระบี่บินหนึ่งร้อยแปดเล่ม ยามจู่โจมสังหารปานห่าพิรุณอันแน่นขนัด ยากต้านรับถึงที่สุด แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับ [เคล็ดกระบี่วายุอัสนีบาต] เนื้อหาส่วนใหญ่สูญหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาหลอมสร้างกระบี่เฉพาะตัวสำหรับใช้ร่วมกับเคล็ดวิชา ดังนั้นพลังของกระบี่แต่ละเล่มลดลงไม่น้อย ตกอยู่ในสภาวะติดขัดน่าอึดอัดไปหมด แต่จะอย่างไรเคล็ดวิชาควบคุมบังคับกระบี่กลับละเอียดลึกซึ้งจนน่าตระหนก ดังนั้นยังถูกจัดรวมไว้ในชั้นสอง
แต่ละวิชาล้วนมีจุดเด่นอันพิเศษเฉพาะ แต่ในทางกลับกันก็ล้วนมีข้อบกพร่องร้ายแรง
อ่านไปอ่านไป พบว่าม้วนหยกที่ยังไม่ได้ผ่านตาลดน้อยลงทุกขณะ จั่วม่อเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา
นี่มันจะไม่สามารถหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับมันได้เชียวหรือ?
จั่วม่อหลงลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเวลากำลังไหลผ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งม้วนหยกลดน้อยลงทีละม้วนทีละม้วน หัวใจมันก็จมดิ่งลงทีละนิดทีละนิด
ท้ายที่สุดมันก็เผชิญกับม้วนคัมภีร์หยกม้วนสุดท้ายเข้าจนได้
[เคล็ดกระบี่เพลิงธารา*] ประกอบด้วยไฟหลี*กับน้ำ สองอย่างนี้ไม่ต้องบอกก็เห็นได้ชัดว่าสัมพันธ์กับห้าธาตุ เป็นเหตุให้จั่วม่อหัวใจโลดขึ้น
(*เพลิงในที่นี้เป็นไฟหลี ซึ่งเคยกล่าวไว้แล้วว่าเป็นไฟประเภทหนึ่ง เหมือนในกระถางหลอมกลั่นของจั่วม่อ)
วาจาของศิษย์พี่สวี่อี้ดังก้องอยู่ในสองหู ศิษย์พี่ได้เตือนมันไว้แล้วถึงความอ่อนแอตามธรรมชาติของเพลงกระบี่เบญจธาตุ
จั่วม่อผู้มีความเข้าใจในห้าธาตุอย่างลึกล้ำ ยิ่งเข้าใจกระจ่างว่าคำเตือนของศิษย์พี่นั้นสมเหตุสมผลเพียงใด เบญจธาตุร้อยเปลี่ยนพันแปลง แต่ยากจะหลอมรวมเข้าด้วยกันจนบริสุทธิ์ผุดผ่อง และหากเจตจำนงกระบี่ไม่บริสุทธิ์ พลังของมันย่อมลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย
ท่ามกลางความท้อแท้อย่างสิ้นเชิง จั่วม่ออ่าน [เคล็ดกระบี่เพลิงธารา] ไปตามสัญชาตญาณ
“เอ๊ะ!” จู่ ๆ ค้นพบอะไรบางอย่าง จิตใจพองฟูขึ้นมาทันที และเมื่อมันกำลังจะอ่านให้ละเอียด ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็กระพริบวาบ จากนั้นมันพบตัวเองยืนอยู่ในลาน
“หมดเวลา! เจ้าไม่มีแต้มคุณูปการเหลืออีกแล้ว” ชายชราไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ขณะที่มันขับไล่จั่วม่อ
จั่วม่ออยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา