ตอนที่แล้วบทที่ 46 ด่านจู้จี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 48 หอคัมภีร์ใจอำมหิต

บทที่ 47 ศิษย์พี่สวี่อี้


เมื่อตื่นขึ้นมา จั่วม่อแทบไม่อาจลืมตาสู้แสงตะวันอันเจิดจ้า

มันครวญครางด้วยความรู้สึกสุขสบาย ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายผ่อนคลายกว่าเดิม สุขสบายเสียจนยังไม่อยากตื่น หลังจากดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยฝืนใจลุกขึ้นมา อันที่จริงในด่านจู้จีไม่จำเป็นต้องนอนหลับอีกต่อไป แต่นอกเหนือจากการฟื้นฟูเรี่ยวแรงแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการนอนหลับคือปล่อยให้จิตใจได้พักผ่อนเสียบ้าง

ท่ามกลางแสงแดดอันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จั่วม่อยืดเส้นยืดสาย บิดกายดัดตัว กระดูกทุกข้อลั่นเกรียวกราวราวข้าวตอกแตก ลั่นเสียจนจั่วม่อผวาขึ้นมาทันที รีบตรวจสอบร่างกายตัวเอง เมื่อไม่พบปัญหาใด ๆ ค่อยอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

ทุกครั้งที่พลังฝีมือรุดหน้า มันมักจะรู้สึกสับสนระคนโง่เขลาอยู่เสมอ ไม่เคยทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดังเช่นตอนที่เคล็ดเมฆฝนหล่นรินไปถึงขั้นที่สี่ หรือตอนที่เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดทะลวงสู่ขั้นลมหายใจแรก ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ และคราวนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นอกเหนือจากเสียงกระดูกลั่นอันคมชัด และพลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มพูนขึ้น มันก็ยังไม่พบข้อดีอื่น ๆ ของด่านจู้จี

มันเป็นคนโลภมากเกินไปแล้ว จั่วม่อหัวร่อตัวเอง ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด เพียงแค่พลังบำเพ็ญเพียรรุดหน้าขึ้น ก็เพียงพอให้มันได้รับประโยชน์มหาศาลแล้ว

เดินออกมาจากห้อง หลังจากผ่านพ้นภัยพิบัติ จั่วม่อรู้สึกว่าแสงแดดอันอบอุ่นยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น แม้แต่เจ้านกบัดซบบนหลังคา ก็ยังไม่ดูขัดตาเท่าเมื่อวานอีกต่อไป

ฉับพลันนั้นมันหยุดเท้า สูดลมหายใจลึก สิบนิ้วแผ่กางออกเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ระเบิดกระบวนท่าดัชนี ทิ้งเงาเสมือนเกลื่อนกล่นแน่นขนัด สองตาจ้องมองเขม็ง สิบนิ้วของมันคล้ายมีชีวิต สะบัดพลิ้วรวดเร็วไร้คู่เปรียบ ร้อยเปลี่ยนพันแปลง สลับซับซ้อนถึงขีดสุด บันดาลให้ผู้คนสายตาพร่าพราย นับตั้งแต่สำเร็จเคล็ดสารพันพฤกษ์ เวทวิชาที่มุ่งเน้นจัดลำดับความสำคัญของกระบวนท่าดัชนี นี่เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในเวทวิชาที่มันทุ่มเทฝึกฝนมากที่สุด

เวทวิชาที่สามารถฝึกปรือในด่านเลี่ยนชี่ มีไม่กี่วิชาที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบังคับใช้พลังปราณ

ดังเช่นเคล็ดเมฆฝนหล่นริน จั่วม่อก็ฝึกปรือจนแทบจะถึงขีดจำกัดสูงสุดเท่าที่ซิวเจ่อด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่งจะฝึกปรือได้ ส่วนวิธีการใช้พลังจิตวิญญาณ มันไม่เคยได้รับการชี้แนะแม้แต่คำเดียว จนไม่สามารถแม้แต่จะสัมผัสธรณีประตู

เวลานั้นสิ่งเดียวที่มันสามารถทุ่มเทให้ ทั้งยังรู้สึกว่าเป็นประโยชน์มาก ก็คือกระบวนท่าดัชนี ด้วยเหตุฉะนี้ เคล็ดสารพันพฤกษ์ซึ่งมุ่งเน้นกระบวนท่าดัชนี จึงเป็นตัวเลือกเดียวที่มันมี

การที่พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้กระบวนท่าดัชนีดีขึ้นตามไปด้วย ข้อสรุปนี้ทำให้ความสนใจของจั่วม่อยกระดับขึ้น ด่านจู้จีเป็นเพียงประตูแรกในวิถีทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ภยันตรายในหนทางข้างหน้า เกรงว่ามีเพียงทดลองดูด้วยตนเอง จึงอาจนำไปสู่ความเข้าใจอันกระจ่างแจ้ง

เป้าหมายของมันแปรเปลี่ยนไปนานแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่หาจิงสือหรือแค่มีชีวิตอย่างสุขสบายอีกต่อไป

เพื่อไขว่คว้าหาคำตอบ จั่วม่อต้องการพลังฝีมือระดับที่สามารถท่องทะยานไปทั่วหล้า แม้กระทั่งซือฟู่ของมัน ปรมาจารย์ด่านจินตันผู้หนึ่ง ยังต้องระมัดระวังยามกล่าวถึงคนผู้นั้น ผู้ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้ามันและลบความทรงจำของมัน เป็นที่คาดคำนวณได้ว่าพลังอำนาจของคนผู้นั้นสมควรร้ายกาจถึงเพียงไหน! หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ อย่างน้อยที่สุดตัวมันจะต้องมีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่าซือฟู่ของมัน

ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ด่านจินตัน หากจะเหนือล้ำกว่าท่านอาจารย์ มันต้อง......

จั่วม่อสูดลมหายใจลึก เชิดหน้าอันแข็งทื่อตายด้าน มือทั้งคู่เปลี่ยนเป็นกำแน่นอย่างเงียบเชียบ

เรื่องนี้ห่างไกลลิบลับสุดหยั่งวัด ห่างไกลพอที่จะบันดาลให้มันรู้สึกว่าแทบเป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มีซิวเจ่อมากมายนับไม่ถ้วน มีสักกี่คนที่บรรลุถึงด่านจินตัน? ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด เพียงในรุ่นที่สองของสำนักมัน มีเพียงศิษย์พี่เหวยเสิ้งผู้เดียวที่มีความหวังว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์จินตัน แล้วตัวมันเองเล่า? บุรุษผู้มีพรสวรรค์อยู่บ้างในด้านเบญจธาตุ... ...

หากให้มันกลายเป็นสุดยอดเกษตรกรปราณ จั่วม่อไม่สงสัยเลยว่ามันสามารถทำได้หรือไม่ แต่การบรรลุด่านจินตัน ต่อให้คาดการณ์ในแง่ดีที่สุด เกรงว่ายังมีความหวังไม่ถึงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น

หลังจากล่วงรู้เรื่องที่มันถูกเปลี่ยนโฉมและล้างความทรงจำ จั่วม่อได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าที่จริงแล้วคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเอาแต่ไล่ตามภาพลวงตาและเป้าหมายอันห่างไกลสุดกู่ ยามนี้ในฐานะเกษตรกรปราณ ชีวิตมันมีแต่จะดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อย ๆ หากมันสร้างความสัมพันธ์กับสตรีสักคน ลูกหลานรุ่นต่อ ๆไปของมันจะมีชีวิตอันรุ่งเรืองดีงาม แต่นี่อะไร? เดิมพันชีวิตตัวเอง ชีวิตตัวเองเชียวนะ! เพื่อไล่ตามเป้าหมายที่แทบไม่มีโอกาสได้ชัย มันคุ้มค่าแล้วหรือไร?

แต่เมื่อใดก็ตามที่จั่วม่อเริ่มลังเล มันมักจะนึกถึงความฝันที่ปรากฏซ้ำซากอันนั้น คะนึงถึงประโยคย้ำแล้วย้ำอีก ‘ต่อให้ต้องตาย ท่านก็มิอาจลืม’ แล้วทุกครั้งมันจะเฝ้าถามตัวเอง สิ่งใดกันเล่าที่มันลืมไม่ได้แม้ว่าจะต้องตายลงไปก็ตาม?

มันไม่ทราบ

ตัวมันเป็นคนขลาดเขลากลัวตายผู้หนึ่ง เพื่อเอาชีวิตรอด มันสามารถประจบสอพลอ สามารถหมอบราบคำนับนอบน้อม แต่... ...

มันต้องการทราบ!

การเปลี่ยนแปลงในใจจั่วม่อ เป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงต่อท่าทีที่มันมีต่อการบำเพ็ญเพียร มันมุมานะฝึกปรือมากยิ่งขึ้น ฝึกหนักขึ้น มันทราบดีกว่าใครว่าจุดเริ่มต้นของตนย่ำแย่เพียงใด มันยังทราบอีกว่าตนเองหาใช่อัจฉริยะบุรุษอันใด พรสวรรค์แต่กำเนิดใช่ว่าจะดีนัก แต่มันก็ทราบว่ามันยังมีข้อดีของตนเอง

นั่นคือผู!

แม้ว่าจะก่นด่าสาปแช่งเจ้าเหรินเยาชั่วร้ายวิปริตนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่จั่วม่อยังต้องขอบคุณมัน หากปราศจากผูเยา มันไม่สามารถกระทั่งจะมองเห็นเศษเสี้ยวของแสงแห่งความหวัง และสำหรับเศษเสี้ยวแสงแห่งความหวังชิ้นนี้ ต่อให้ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนบางอย่าง มันก็ยังคงยินดี

การทะลวงด่านจู้จีหนนี้ ทำให้จั่วม่อต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดไม่น้อย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ สภาวะจิตใจมันกลับเยือกเย็นกว่าเดิม ความคิดกระจ่างชัดกว่าเดิม การเป็นเกษตรกรปราณอาจยกระดับสถานะในสำนักของมันขึ้นมาก แต่เห็นได้ชัดว่าเกษตรกรปราณไม่สามารถช่วยให้มันบรรลุเป้าหมายของมันได้ สิ่งที่มันสมควรพึ่งพา แท้ที่จริงแล้วยังคงเป็นเคล็ดวิชากระบี่ สำหรับการเพาะปลูกพืชปราณ ต่อไปจะเป็นทักษะสำคัญเพื่อหาจิงสือ แต่ไม่ใช่วิถีทางหลักของการพัฒนา

หากต้องการเพิ่มพูนพลังฝีมือ มีวิถีทางหลากหลายมากมาย ทว่าในบรรดาซิวเจ่อแต่ละประเภท ผู้ที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นเหล่าเซียนกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นตัวมันยังอาศัยอยู่ในสำนักกระบี่ เป็นธรรมดาที่ไม่คิดสละใกล้ไปเลือกไกล มันอาจไม่มีพรสวรรค์ด้านกระบี่ แต่ก็แค่ต้องพยายามฝึกให้หนักขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

พอนึกถึงเรื่องฝึกปรือกระบี่ขึ้นมา พลันจดจำได้ว่าหลังจากเข้าสู่ด่านจู้จีแล้ว มันสามารถประทับรอยวิญญาณลงในกระบี่บิน แต่ก็ต้องวิ่งชนอุปสรรคแทบจะในทันที... มันไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับประทับรอยวิญญาณในกระบี่บิน!

ภายในเรือนขิงหอม สือฟ่งหรงพอพบเห็นจั่วม่อ นางก็ตกตะลึงอยู่บ้าง แต่กลับเป็นปกติในทันที

“แม้ว่าจะสำเร็จด่านจู้จีแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถเกียจคร้าน จงไปยังห้องตำรา มีม้วนหยกบางส่วนที่เจ้าสามารถอ่านได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อออกมาในครั้งต่อไป ข้าจะทดสอบเจ้าด้วยตัวเอง หากพบว่าเจ้าเกียจคร้าน แน่นอนว่าจะได้เห็นดีกัน” สองสามประโยคท้าย ๆ น่ากลัวอย่างยิ่ง

จั่วม่อถูกซือฟู่สำทับจนไม่กล้าเงยหน้า ได้แต่พึมพำรับคำ ในใจมันโอดครวญในคราวเคราะห์ของตัวเอง ดูเหมือนว่าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งมันกระทบถูกจุดระเบิดของซือฟู่เข้าให้โดยไม่ได้ตั้งใจ จนอดสงสัยไม่ได้ ว่าที่แท้เป็นผู้ใดตอแยซือฟู่มีโทสะ

จนกระทั่งโทสะของท่านอาจารย์บรรเทาลงสักหน่อย มันก็เปิดฉากอย่างระมัดระวัง “ซือฟู่ ศิษย์ต้องการขอเคล็ดวิชาสำหรับประทับรอยวิญญาณในกระบี่บิน”

“ประทับรอยวิญญาณในกระบี่บิน?” สือฟ่งหรงอดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “เจ้าควรให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกพืชปราณและการหลอมกลั่นโอสถ อย่าได้โลภมาก หากโลภมากเกินไป เจ้าไม่สามารถย่อยได้ทั้งหมด ความจริงข้อนี้ยังไม่เข้าใจ?”

จั่วม่อพอได้ยินเช่นนี้ ในใจลอบคร่ำครวญอย่างหวนโหย มันเพิ่งตระหนักว่าเห็นทีจะไม่ได้รับเคล็ดวิชาดี ๆ แล้ว จึงกล่าวอย่างอับจน “ศิษย์เข้าใจ แต่สำนักสุญตาของเราเป็นสำนักกระบี่ หากศิษย์ไม่ทราบแม้กระทั่งวิธีการประทับรอยวิญญาณในกระบี่บิน ยามออกไปด้านนอก จะไม่สร้างความอับอายขายหน้าแก่สำนักหรอกหรือ?”

“นั่นก็ใช่แล้ว” พอฟังวาจามัน สือฟ่งหรงก็คิดว่ามีเหตุผล “เช่นนั้นเจ้าสามารถไปพบศิษย์พี่สวี่อี้ของเจ้า ลองสอบถามหาเคล็ดวิชามาทดลองดู แต่อย่าได้ทุ่มเทเกินกำลังมากเกินไป”

“ศิษย์ทราบแล้ว” จั่วม่อรับคำอย่างว่าง่าย

“ไปเถอะ” สือฟ่งหรงขับไล่มันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

ดาวพร่างกลางทิวาที่ปรากฏขึ้นเมื่อวันวาน เป็นเหตุให้อารมณ์ของนางเลวร้ายถึงขีดสุด นางเคยได้ยินคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับดาวพร่างกลางทิวา มีแต่ตำนานแปลกพิสดารแทบทุกประเภท แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เห็นพ้องต้องกันเป็นพิเศษ นั่นคือมันไม่ใช่เรื่องดี หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอาณาจักรอื่น นางอาจไปร่วมเป็นผู้ชม แต่มันเมื่อเกิดขึ้นที่อาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ อารมณ์ของนางจึงย่ำแย่ และยิ่งพบเห็นเค้าความวิตกกังวลในดวงตาของศิษย์พี่เจ้าสำนัก อารมณ์นางก็ยิ่งแย่ลงไปอีก

นางรู้จักศิษย์พี่เจ้าสำนักเป็นอย่างดี ศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่เคยตื่นตระหนกจนเกินงาม เมื่อยามนี้แม้แต่มันยังวิตก เกรงว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าที่นางคิด

อย่าให้ท่านย่าผู้นี้รู้นะว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ฮึ่ม ฮึ่ม! รังสีอำมหิตทอประกายวาบในดวงตานาง จนสวี่ฉิงที่ด้านข้างแทบกระโดดตัวลอยด้วยความหวาดกลัว

แม้ในขณะที่ออกจากเรือนขิงหอม จั่วม่อยังคงรู้สึกหนักอก มันทราบว่าซือฟู่ระมัดระวังแทนมัน แต่มันก็ไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงกับนางได้  นี่ดูเหมือนว่ามันจะคิดง่ายเกินไปแล้ว จั่วม่อฝืนยิ้มในใจ ทีแรกคาดว่าหากมันกระทำคุณความดียิ่งใหญ่แก่สำนัก สำนักย่อมตอบแทนด้วยผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และมันคงไม่ต้องกังวลกับเรื่องเคล็ดวิชาอีกต่อไป ถึงตอนนี้ค่อยทราบว่าคาดหวังสูงเกินไป แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่มันได้รับมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น แต่คำว่าผลประโยชน์ยังแบ่งออกเป็นหลายด้านหลายระดับ สิ่งของอย่างเคล็ดวิชาและเวทวิชาเป็นรากฐานสำคัญของสำนัก พวกมันยังจะมอบให้แก่ผู้อื่นโดยง่ายดายหรือ?

ยามนี้มันได้แต่หวังว่าศิษย์พี่เหวยเสิ้งจะออกมาจากถ้ำกระบี่ และสอนวิชาแก่มันบ้าง

จั่วม่อยังคงตกลงใจไปเยี่ยมเยือนศิษย์พี่สวี่อี้ แม้อาจไม่ได้รับเวทวิชาที่ดีที่สุด แต่น่าจะยังพอแสวงหาอันที่รองลงมาทดแทนได้บ้าง มันไม่มีอะไรเลยในด้านเคล็ดวิชากระบี่ เป็นเพียงกระดาษขาวว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง หากสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่ง ย่อมช่วยวางรากฐานที่ดีให้แก่มันอีกส่วนหนึ่ง

ฮึ่ม หากสำนักไม่ยอมมอบให้ เช่นนั้นข้าจะซื้อเอง!

หากมันหว่านจิงสือออกไปมากพอ น่าจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหาเคล็ดวิชากระบี่ดี ๆ สักวิชา

เกอเป็นเกษตรกรปราณ คนอย่างเกอยังจะขาดแคลนจิงสือด้วยหรือ? ... จั่วม่อหลงลืมไปเรียบร้อยแล้ว ว่าจิงสือชิ้นสุดท้ายของมันเพิ่งจะถูกผูเยากรรโชกไป

ภายในทะเลแห่งจิตสำนึก ทะเลเปลวเพลิงคำรามกระหึ่ม หากจั่วม่อโผล่เข้ามา มันจะต้องตื่นตระหนกอย่างแน่นอน เปลวเพลิงแดงเข้มเต้นเร่าเติบโตขึ้นจนใหญ่โตมโหฬาร อุณหภูมิของธารน้ำแข็งดูเหมือนจะยิ่งลดต่ำจนเย็นเยียบกว่าเดิม และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด คือดวงดาวที่กลางเวหาดวงนั้น

มันสุกใสสดสกาวราวกับเพชร ระยิบพริบพราว โอ่อ่าสะดุดตาเป็นที่สุด!

บนป้ายสุสานหินซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ผูเยาท่วงท่าเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเท้าคางอันสมบูรณ์ไร้ที่ติของมัน ส่วนมืออีกข้างขยี้กองฝุ่นผงชนิดหนึ่ง รำพันเบา ๆ “จิงสือของข้าหมดเกลี้ยงอีกแล้ว อ้า เจ้าผู้นี้เป็นเศษสวะอย่างแท้จริง แค่ได้รับจิงสือมาชิ้นหนึ่ง ยังเกือบจะฆ่าตัวมันเองเสียแล้ว”

จากนั้นเงยหน้าตัดพ้อกับอากาศว่างเปล่า “หากข้าล่วงรู้เสียก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าจะลงมือทำเอง ดูสิตอนนี้เป็นอย่างไร ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน! เจ้าก่อกวนเสียจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ยอดฝีมือมากมายพากันเดินทางเข้ามาจากภายนอก แม้ว่าจะตายไปแล้วเจ้าก็ยังคงทำให้ข้าเดือดร้อนอยู่เหมือนเดิม คนอะไรขนาดตายไปแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย!”

ผงสีขาวโปรยปรายลงมาจากช่องว่างในอุ้งมือของมัน

อสูรเดียวดายตนหนึ่งนั่งบนป้ายหินสุสาน รำพึงเศร้า ๆ “เจ้าของบ้านไม่มีเมล็ดข้าวเหลือล้น* อ้า!”

(*เป็นสำนวน ความหมายคือ เจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้ จะให้มาคอยจุนเจือผู้เช่าคงไม่ได้หรอก)

ภายในโถงฟังธรรม สวี่อี้แปลกใจอยู่บ้างเมื่อเห็นจั่วม่อ แต่กลับเป็นเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว มันทักทายอย่างยิ้มแย้ม “ช่างหาได้ยากนักที่ศิษย์น้องมาเยือนข้า มา มา มา นั่งลงก่อน”

จั่วม่อมองไปยังศิษย์พี่สวี่อี้ อีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มันชื่นชมมากเมื่อตอนที่ยังเป็นศิษย์ฝ่ายนอก มันไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถมานั่งอยู่ในระดับเดียวกันได้ในที่สุด เรื่องราวทางโลกไม่มีอะไรแน่นอนจริง ๆ มันอดทอดถอนออกมาไม่ได้

“จั่วม่อต้องขอบคุณศิษย์พี่สำหรับคำชี้แนะที่ผ่านมา” มันประสานมือคำนับอย่างจริงใจ

สวี่อี้อึ้งไปวูบหนึ่ง แล้วรีบประคองจั่วม่อขึ้นมา “ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจ นั่นเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”

หลังจากกล่าวถ่อมตัวไปมาครู่หนึ่ง พวกมันทั้งคู่รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น

“ไม่ง่ายเลยที่ศิษย์น้องจะมีเวลาว่างมาหาข้า มาๆ ลองมาลิ้มรสชาของข้าดู” สวี่อี้วาดมือ ชุดชงชาพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ถาดชาทำจากไม้ไผ่เหลือง แกะสลักลายเมฆาคู่ ทั้งเรียบง่าย ทั้งถ่อมตน วางไว้ด้วยกาน้ำชาดินเผาสีม่วง ประกายแสงวาบผ่านกาน้ำชาดินม่วง เห็นลวดลายค่ายกลเวทกระจ่างชัดสลักไว้บนพื้นผิว ถ้วยชาเล็ก ๆ เจ็ดใบวางเรียงรายประดุจเจ็ดดาวเหนือ

สวี่อี้หยิบกล่องหยกสี่เหลี่ยมออกมา เมื่อเปิดกล่อง จั่วม่อรู้สึกกลิ่นหอมฟุ้งกำจายมาถึงตรงหน้า ในกล่องบรรจุใบชาปราณไว้ราวครึ่งกล่อง ใบชาปราณสีเขียวสดใสดั่งหยก หนึ่งก้านมีสามใบเป็นพวงงดงาม ทั้งละมุนละไมและเปล่งปลั่งแวววาม

“นี่เป็นชาหอมสุคนธรส” สวี่อี้แนะนำ “ผลิตโดยร้านเถาวัลย์หอมหวน ข้าทุ่มความพยายามไปไม่น้อยกว่าจะซื้อหามาได้” จากนั้นมันหัวร่อ “ข้าไม่มีความลุ่มหลงอื่นใด จะมีก็เพียงสิ่งนี้เท่านั้น”

สายตาของศิษย์พี่สวี่อี้จดจ่ออยู่เพียงสองมือของมัน เริ่มบรรจงล้างกาน้ำชากับถ้วยชาอย่างชำนาญ เมื่อใดกันที่จั่วม่อจะเคยได้เห็นฉากอันสุนทรีย์เยี่ยงนี้? ได้แต่เบิกตากว้าง จ้องมองตาไม่กระพริบ

มันเห็นศิษย์พี่สวี่อี้ขั้นแรกหยิบใบชาออกมาเล็กน้อย ใส่ลงไปในกาน้ำชาดินเผาสีม่วง เทน้ำแร่เย็นตามลงไป จากนั้นใช้มือขวา จรดนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เข้าหากัน ดีดเบา ๆ คราหนึ่ง เปลวไฟสีแดงวาบขึ้นตรงหน้า นิ้วขาวนวลเรียวยาวของศิษย์พี่กรีดวาดอย่างนุ่มนวลถึงที่สุด บรรจงวางเปลวเพลิงสีแดงลงไปในกาน้ำชาดินม่วงอย่างเบามือ

ซี่ ซี่ !

ภายในกาน้ำชาดินเผาสีม่วง หยดน้ำนับไม่ถ้วนแตกปะทุ น้ำแร่ภายในกากลับกลายเป็นกลุ่มหมอกสีเขียวสด กระนั้นกลับไม่กระเซ็นออกมาแม้แต่หยดเดียว ศิษย์พี่สวี่อี้รีบยกกาน้ำชา เทน้ำชาสีเขียวลงสู่ถ้วยชา

ภายในถ้วยชา เห็นน้ำชาสีเขียวใสดุจมรกต ทั้งดึงดูด ทั้งเชิญชวน กลิ่นหอมที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงตลบอบอวลไปทั่ว

“รีบดื่มเถอะ หากปล่อยให้เย็นลงรสชาติจะไม่ดีเท่า” ศิษย์พี่สวี่อี้ทีท่าเคร่งขรึม ประคองถ้วยน้ำชาขึ้น แตะเบา ๆ ที่ริมฝีปาก

ลอกตามท่วงท่าของศิษย์พี่ จั่วม่อก็ประคองถ้วยชาขึ้นด้วย จากนั้นเลียนแบบศิษย์พี่ผู้กำลังจิบน้ำชาด้วยสีหน้าดื่มด่ำ มันยกน้ำชาขึ้นซดโฮก!

ตูม!

ทันทีที่น้ำชาสัมผัสลิ้น จั่วม่อไม่อาจบ่งบอกบรรยายความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาในคราเดียว ราวกับว่ารสชาติสารพันหลอมรวมเข้ามา แล้วระเบิดขึ้นพร้อมกันภายในปาก ในเวลาเดียวกันน้ำหูน้ำตาก็ไหลพรากลงมาเป็นสาย

เห็นสภาพทุลักทุเลของจั่วม่อ สวี่อี้แทบสำลักชา จากนั้นก็ยิ้มกว้าง

จั่วม่อไม่ทันใส่ใจเสียงหัวร่อของศิษย์พี่ ความสนใจทั้งหมดของมันมุ่งไปยังความรู้สึกอันแปลกพิสดารที่ปะทุขึ้น คลื่นความเย็นชนิดหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วแขนขาของมัน ร่างกายเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก รูขุมขนทั่วร่างคล้ายจะเปิดออกทั้งหมด สุขสบายจนแทบจะครางออกมา

“ในน้ำชานี้มีพลังปราณหนาแน่น เจ้าเพิ่งบรรลุด่านจู้จี นี่เป็นสิ่งที่ดี เหมาะจะช่วยปรับสภาวะของเจ้าให้มั่นคง” สวี่อี้เอ่ยเตือน

ได้ยินดังนั้น จั่วม่อรีบเขมือบน้ำชาที่หลงเหลือ จากนั้นนั่งไขว้ขาท่าดอกบัว ดิ่งลึกลงไปในฌาน

เห็นจั่วม่อสวาปามน้ำชาลงไปในรวดเดียว ศิษย์พี่สวี่อี้สีหน้าปวดใจ ส่ายศีรษะ ดูเหมือนค่อนข้างขัดเคืองที่จั่วม่อไม่รู้จักเสพรับรสชาติสิ่งดี ๆ ตัวมันเองค่อย ๆ ละเลียด ทีละจิบ ทีละจิบ ดื่มด่ำมึนเมาอย่างช้า ๆ

ครั้นเมื่อจั่วม่อถอยออกจากสภาวะฌาน มันรู้สึกว่าร่างกายแช่มชื่นขึ้น ทั้งสุขสบายจนบอกไม่ถูก มันไม่กล่าววาจาไร้สาระ เพียงประสานมือไปทางศิษย์พี่สวี่อี้ “ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่”

สวี่อี้โบกมือตัดบท “แค่เชิญศิษย์น้องดื่มชาถ้วยเดียวเท่านั้น อย่าได้ใส่ใจไปเลย ว่าแต่ศิษย์น้องมาเยือนข้า แน่นอนว่าต้องมีธุระบางอย่าง”

จั่วม่อเล่าถึงเรื่องที่มันร้องขอเวทวิชาประทับรอยวิญญาณในกระบี่บินจากซือฟู่ของมัน ได้ยินเช่นนั้น สวี่อี้พยักหน้า “เข้าใจแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าเมื่อศิษย์น้องครอบครองป้ายหยกชุนหยา เจ้ายังคงต้องการฝึกปรือวิชากระบี่ด้วย”

“ข้าเพียงอยากทดลองเล่น ไม่จริงจังกระไรนัก” จั่วม่อรีบออกตัว หลังจากถูกซือฟู่ตีแสกหน้ามาหนหนึ่ง มันรู้สึกว่าไม่กล่าวมากความจะดีกว่า

“ฮ่าฮ่า คนที่สนใจในกระบี่ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ควงกระบี่พิชิตโลกหล้า สังหารปิศาจพิฆาตอสูร! ช่างสาสมใจนัก! เฮะเฮะ ศิษย์พี่ก็เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ต่อมาพบว่าพรสวรรค์ของข้าธรรมดาสามัญ ยากที่จะบรรลุปณิธาน จึงหันเหมาร่ำเรียนวิชาหลอมสร้าง” สวี่อี้หัวร่อตัวมันเอง จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “ในเมื่อศิษย์น้องเจ้าสนใจวิชากระบี่ ศิษย์พี่อยู่ในสำนักมานานกว่าเจ้า ดังนั้นล่วงรู้เรื่องราวอยู่บ้าง สามารถแนะนำเจ้าได้สักเล็กน้อย”

เมื่อจั่วม่อได้ยินคำว่า ‘สังหารปิศาจพิฆาตอสูร’ มันอดไม่ได้ต้องฝืนยิ้มขมขื่นในใจ หวนนึกถึงเจ้าเหรินเยาวิปริตนั่น มันรู้สึกว่าคล้ายจะเป็นตัวมันเองเสียมากกว่า ที่จะถูกสับสังหารและทำลายล้างจนไม่เหลือซาก เจ้าบ้านั่นไม่มาตอแยมัน ก็สมควรขอบคุณฟ้าดินแล้ว

แต่มันยังคงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณศิษย์พี่!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด