ตอนที่แล้วบทที่ 45 ดิ้นรน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 47 ศิษย์พี่สวี่อี้

บทที่ 46 ด่านจู้จี


ดวงตะวันเจิดจรัสแขวนค้างอยู่ที่กลางนภา ผืนฟ้าสีครามสดใสกระจ่างตา แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องขนหัวลุกชัน ท่ามกลางท้องนภาสีฟ้ากว้างไกล กลับเต็มไปด้วยหมู่ดาวดารดาษ พร่างพราวระยับแข่งแสงสุริยัน!

“ดาวพร่างกลางทิวา... ...” เผยเหยียนหรานพึมพำอย่างเลื่อนลอย อีกสามคนพอได้ยินก็สีหน้าแปรเปลี่ยน

“ศิษย์พี่” สือฟ่งหรงสุ้มเสียงสั่นพร่า “จะเกิดเรื่องราวอันใด?”

“ข้าไม่ทราบ” เผยเหยียนหรานส่ายศีรษะ สีหน้าหนักอึ้ง “นิมิตแห่งฟ้าดินลักษณะนี้เรียกว่าดาวพร่างกลางทิวา มักจะปรากฏขึ้นทุกสองพันสามพันปี ข้าเพียงแค่เคยอ่านพบในบันทึกบางเล่มเท่านั้น แต่จะอย่างไรนี่สมควรไม่ใช่ลางดี”

แม้ว่าพวกมันทั้งสี่ล้วนเป็นปรมาจารย์ด่านจินตัน แต่กับภาพเหตุการณ์อันแปลกพิกลเบื้องหน้า ยังอดรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบมิได้

ในตงฝู หวีป๋ายสองตาเบิกกว้าง จ้องมองมวลหมู่ดาราแตะแต้มอร่ามเรืองทั่วผืนฟ้า สลับกับมองดวงอาทิตย์อันยโสโอหังที่แขวนสูงขึ้นไปกลางนภา ความประหวั่นพรั่นพรึงพลุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกที่สุดในหัวใจ แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

เทียนซงจื่อพึมพำแหบโหย “ดาวพร่างกลางทิวา... ...”

 

ยอดเขาดอกเหมยแห่งสำนักกระบี่ตงฉี จั่วเหมยเทียนดวงตาโชนแสง สุ้มเสียงแทบเป็นกระซิบ “ดาวพร่างกลางทิวา... ...”

ทั่วทั้งอาณาจักรนภาจันทร์ ซิวเจ่อยอดฝีมือนับไม่ถ้วนล้วนแตกตื่นตระหนก ตลอดทั้งสิบสามเมืองใหญ่แห่งอาณาจักรนภาจันทร์ กลางเวหาเต็มไปด้วยเหล่าผู้ฝึกตน ทั้งในผืนป่า บนยอดเขา ไม่ว่าซิวเจ่อเหล่านั้นกำลังกระทำสิ่งใด พวกมันพากันหยุดมือและทะยานขึ้นฟ้า ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังท้องนภาที่พวกมันคุ้นชิน แต่เวลานี้คล้ายแปลกหน้า

ไม่ว่าพลังบำเพ็ญเพียรของพวกมันจะอยู่ในขั้นใด ทุกใบหน้าล้วนตื่นตะลึงเช่นเดียวกันหมด

ในหุบเขาหมอกเย็นเยือก ม่านตาของผูเยาหดแคบลง พิศดูมวลหมู่ดาราแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปจ้องมองสระน้ำตาเขม็ง ในคลองสายตาสีเลือดของมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เห็นเสาแห่งแสงเจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งวาบลงมาจากฟ้าสวรรค์ แทงลงไปในสระน้ำตรง ๆ หากมีผู้ใดจ้องมองด้วยตาเปล่า ก็ไม่แน่ว่าจะพบเห็นเสาแห่งแสงต้นนี้ได้ มันทั้งไม่ปรากฏพลังปราณ ทั้งไม่มีแรงสั่นสะเทือนแม้แต่น้อยนิด มีเพียงมองด้วยดวงตาสีเลือดของผูเยาเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห็นเสาแห่งแสงอันไร้ตัวตนนี้ได้

“เจ้าคิดว่าชนะพนันแล้วหรือไร?” ผูเยาเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาขวาสีเลือดทอประกายอำมหิต

พริบตาที่วาจาจบลง สระน้ำใสกระจ่างกลับกลายเป็นมืดดำดุจน้ำหมึกในบัดดล สรรพสำเนียงทั้งมวลคล้ายถูกตัดออก เสียงน้ำตกขาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย สายน้ำตกประหนึ่งม้าป่าถูกใส่บังเหียน โถมลงในสระอย่างเชื่องเชื่อโดยไม่สาดกระเซ็นแม้แต่หยดเดียว

ทั่วทั้งหุบเขาตกลงสู่ความเงียบงันอันพิสดารประการหนึ่ง

เพ่งมองสระน้ำมืดทะมึน ผูเยาหาได้หวาดเกรงไม่ มันก้าวหนัก ๆ พลังสภาวะกดทับไปข้างหน้า กล่าวเสียงกระด้าง “เพื่อเศษสวะเช่นนี้ เจ้าตกลงใจสู้กับข้าเชียวหรือ?”

สระน้ำดำทะมึนนิ่งสงบ ไม่ไหวติง ราวกับว่ามันตายไปแล้ว

หนึ่งอสูร หนึ่งสระน้ำ พวกมันประจันหน้ากันในลักษณะนี้เอง

เวลาเลื่อนผ่านไปทีละน้อย

ทันใดนั้นผูเยาชักเท้าข้างนั้นกลับมา สีหน้ากลับเป็นปกติ ร่องรอยดูหมิ่นชนิดหนึ่งแตะแต้มที่มุมปาก

“ดาวพร่างกลางทิวา เฮะเฮะ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่านี่ยังเป็นเมื่อสามพันปีที่แล้ว? ข้าจะบอกให้เอาบุญ เจ้าก่อกวนเรื่องราวใหญ่โตเกินไปแล้ว!” มันทำท่ายินดีกับภัยพิบัติของผู้อื่น

สระน้ำดำทะมึนไม่ตอบสนอง

ผูเยายักไหล่ “ดาวพร่างกลางทิวาแล้วเป็นไร? สามารถทำลายเพลิงอสูรฟ้าได้หรือไม่? เพลิงอสูรฟ้านั้นกระทั่งเจ้าเองยังไม่มีปัญญาทำลาย”

สระน้ำดำทะมึนม้วนตลบขึ้นอย่างเฉียบพลันราวกับกำลังเดือดพล่าน เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวออกมาจากภายในห้วงน้ำสีหมึก

ผูเยากลับไม่แยแส เงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวเบา ๆ เพียงหนึ่งประโยค บันดาลให้น้ำในสระนิ่งเงียบไปในทันที “โอ้ ดูเหมือนทุกผู้คนล้วนอยากร่วมสนุกกับเราด้วย”

เท่านั้นเอง ภายในชั่วพริบตา สระน้ำฟื้นคืนสู่ความใสกระจ่าง น้ำตกอันเชื่องเชื่อกลับคืนเป็นดุร้ายดังเดิม ส่งเสียงคำรามกระหึ่ม ละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วเหมือนเช่นปกติ

ผูเยาหัวร่อเบา ๆ แล้วหายวับไป

ฉับพลันนั้น จิตสำนึกอันเข้มแข็งแกร่งกร้าวถึงขีดสุดสายหนึ่ง กวาดผ่านทั่วหุบเขาหมอกเย็นเยือกในบัดดล

แน่นอนว่าไม่ทันได้พบเห็นสิ่งใด......

ครั้นเมื่อจั่วม่อลืมตาขึ้นมา เป็นต้องสะดุ้งสุดตัวในทันที หนาวเหลือเกิน! ความหนาวเหน็บนี้บ่งบอกว่ามันอยู่ที่ใด แน่นอนว่าไม่มีที่อื่นอีกแล้ว นอกจากภายในสระน้ำยะเยียบแห่งหุบเขาหมอกเย็นเยือกนั่นเอง

คราวก่อนที่มันอยู่ในสระนี้ มันก็ได้ทะลวงผ่านขั้นลมหายใจแรก จั่วม่อรู้สึกคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้มาก หลังจากที่เข้าถึงลมหายใจแรก เวลาอยู่ใต้น้ำ มันไม่เคยรู้สึกขาดอากาศหายใจอีกเลย บางครั้งถึงกับเคยสงสัยว่าต่อไปมันอาจจะกลายเป็นปลาไปในท้ายที่สุด

อ๊าก!

จั่วม่อขบกรามแน่น เจ็บปวดอะไรอย่างนี้! เพียงขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจก็พลุ่งมาจากทั่วร่าง ใบหน้ามันบิดเบี้ยวในฉับพลัน

โชคดีแค่ไหนที่ยังไม่ตาย!

สิ่งที่มันจดจำได้ มีถึงแค่ยามที่เสียงเลือนรางบอกให้รับประทานหญ้ามังกรเพลิง หลังจากนั้นเกิดเรื่องราวใดขึ้นบ้าง มันล้วนไม่ทราบ แต่เวลานี้ยังไม่มีกะจิตกะจิตจะไปคำนึงถึง กระทั่งจะขยับกายยังคร้านจะกระดิกตัว ตลอดทั้งร่างมันเจ็บร้าวถึงเพียงนี้ ยังจะไปมีอารมณ์ครุ่นคิดอันใด และในไม่ช้ามันก็พบว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีผ้าผ่อนติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว!

จั่วม่ออ้าปากค้าง นี่...แล้วนี่มันจะกลับบ้านไปได้อย่างไร?

จั่วม่ออยากหัวร่อแต่หัวร่อไม่ออก เวลานี้ไม่อยากจะคิดอะไรเลย เพียงแค่ต้องการหลับใหลสักคราเท่านั้น แต่ในสระน้ำเย็นเยียบจับใจถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสมต่อการหลับนอนสักเท่าใด

ไฉนมันต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถปานนี้ทุกครั้งไป... ...

บังคับให้สติตื่นตัว จั่วม่อกัดฟัน สงบจิตใจจมดิ่งลงไปในห้วงฌาน มันต้องการทราบว่ายามนี้ตนอยู่ในสภาวะใดกันแน่

พลังปราณในร่างปรากฏขึ้นในทันใด จั่วม่อทีแรกถึงกับอึ้งงัน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นลิงโลด! ด่านจู้จี! มันสำเร็จด่านจู้จีจริง ๆ !

จินตภาพภายใน นี่คือจินตภาพภายใน! ภายใต้อาการเคลิบเคลิ้ม จั่วม่อ ‘มองดู’ แผนภาพสามมิติของพลังปราณที่โคจรไปทั่วร่าง พลังปราณแต่ละสายในเส้นชีพจรปราณใหญ่น้อย ล้วนสามารถ‘มองดู’ได้อย่างชัดเจน มันรู้สึกราวกับว่าสามารถมองเห็นทุกขั้น ทุกตอน ทุกการหมุนเวียน ไปจนถึงทุกสรรพสิ่ง จิตใจกลายเป็นกระจ่างแจ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

จั่วม่อไม่ทราบว่านานเท่าใด กว่าจะหันเหความคิดของมันออกมาจากการ‘มองดู’ได้ มันรีบตรวจสอบพลังปราณของมันอีกครั้ง แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าปริมาณพลังปราณเพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่องว่างระหว่างด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่สิบกับด่านจู้จี ลึกล้ำราวกับห้วงหุบเหวกว้างไพศาล ทั้งยังลึกสุดหยั่งอย่างแท้จริง มันเพิ่งจะเข้าถึงด่านจู้จี แต่พลังบำเพ็ญเพียรกลับพุ่งพรวดขึ้นไปสามเท่า ความแตกต่างของพลังอำนาจเป็นที่คาดคำนวณได้!

บางทีอาจเป็นเพราะเบิกบานสำราญใจมากเกินพอ ความเจ็บปวดในร่างจึงคล้ายทุเลาลงไม่น้อย จั่วม่อค่อย ๆกระเสือกกระสนขึ้นจากก้นบ่อ ลอยตัวกลับสู่ผิวน้ำ ครั้นเมื่อศีรษะผุดพ้นน้ำ มันอดไม่ได้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จนชุ่มปอด

จั่วม่อไม่คิดเลยว่าจะทะลวงผ่านได้ด้วยหญ้ามังกรเพลิงจริง ๆ

จนกระทั่งถึงยามนี้มันยังแทบไม่อยากจะเชื่อ หญ้ามังกรเพลิงเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป และมีเพียงคนไม่ธรรมดาอย่างศิษย์พี่เท่านั้นที่ทานทนได้ แต่ที่จริงแล้วตัวมันเองก็ทำได้! แต่จะอย่างไรยังคงหวาดหวั่นไม่คลาย เรื่องนี้อันตรายถึงเพียงไหน แค่มองไปยังความเจ็บปวดรวดร้าวตลอดทั้งร่างก็พอจะคาดเดาได้

แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงสำเร็จ!

จั่วม่ออ้าปากกว้าง อยากหัวร่อให้เต็มเสียง แต่แล้วพบว่าลำคอแห้งผากแสบร้าว ไม่สามารถออกเสียง มันกดมือบนขอบสระ พยายามจะปีนขึ้นไป ร่างสั่นสะท้านด้วยความปวดร้าว เจ็บระบมอย่างรุนแรงจนแทบสิ้นสติ ดังนั้นไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ยึดจับก้อนหินข้างสระไว้แน่น ปล่อยร่างกายแช่อยู่ในน้ำไปก่อน

อารมณ์สุขสราญหลังจากเอาชีวิตรอดพ้นภัยพิบัติมาได้ บันดาลให้ทุกอย่างดูคล้ายสวยสดงดงามไปเสียหมด

เนิ่นนานหลังจากนั้น ความเจ็บปวดบรรเทาลงบ้าง เรี่ยวแรงฟื้นคืนมาสักเล็กน้อย จั่วม่อค่อยตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาจากสระน้ำ มันพบม้วนหยกและสิ่งของอื่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ค่อย ๆ เก็บรวบรวมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ทำให้มันร้าวรานสุดหัวใจอย่างแท้จริง เป็นยันต์เทพสัญจรระดับสามที่มอดไหม้แทบหมดสิ้น เหลือเพียงเศษเถ้าถ่านเล็ก ๆ น้อย ๆ

นี่ร่างกายของมันลุกไหม้ขึ้นมาจริง ๆ ?

จั่วม่อยังคงจดจำได้แม่นยำ ถึงความรู้สึกแผดเผาอันรุนแรงก่อนที่จะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป แต่นั่นก็เป็นทั้งหมดที่มันจำได้ โชคดีที่สิ่งของส่วนใหญ่เช่นยุทธภัณฑ์เวทและม้วนหยกไม่ได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากยันต์เทพสัญจรจากมันไปเสียแล้ว ซ้ำตัวมันยังเปลือยกายล่อนจ้อน ทีนี้ควรทำเช่นไรจึงจะกลับไปยังหุบเขาลมตะวันตกได้?

ทันใดนั้นมันความคิดสว่างวาบ พลันร่ายเวทวิชาเคล็ดเมฆฝนหล่นรินอันช่ำชอง ก้อนเมฆสีขาวก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

จั่วม่อหัวร่อฮิฮะ มือของมันคงสภาวะเวทวิชาเอาไว้ ในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในก้อนเมฆ โอ้ เย็นสบายดีมาก ในไม่ช้ามันก็พบว่าอาการบาดเจ็บทุเลาลงเล็กน้อย เคล็ดเมฆฝนหล่นรินใช่มีคุณสมบัติในทางรักษาด้วยหรือไม่? มันอดสงสัยไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาใคร่ครวญเรื่องนี้ มันสมควรคิดหาหนทางกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตกของมันให้ได้เสียก่อน

 

วันนี้เหล่าเฮยเสร็จสิ้นงานในทุ่งนาปราณทั้งหมดแล้ว กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน

เดินไปตามท้องถนน มันอดไม่ได้ต้องคิดทบทวนสิ่งที่เพิ่งพบเห็นเมื่อกลางวัน พอนึกขึ้นมายามนี้ ยังรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน อันมวลหมู่ดาราที่ฉายแสงกลางทิวา ในโลกใบนี้มีสิ่งแปลกประหลาดพิสดารมากมาย แต่เรื่องราวผิดธรรมชาติถึงเพียงนี้ ใช่เป็นลางร้ายหรือไม่?

มันอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ ในท้องนภาสีฟ้ายามเย็น นอกเหนือจากดวงอาทิตย์แล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่น

เหล่าเฮยระบายลมหายใจยาว ปกติก็ดีแล้ว ปกติก็ดีแล้ว เหตุการณ์ปกตินี่ละดีที่สุดแล้ว โปรดอย่าได้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นเลย มันก้มหน้าครุ่นคิดอย่างไม่มีจุดหมาย พลางมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของมัน เวลานี้มันอาศัยอยู่ในบ้านที่มีลานกว้าง ซึ่งจั่วม่อเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

พลันรู้สึกว่ามีใครบางคนสวนทางมา เหล่าเฮยเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นก็ตะลึงลาน ตัวแข็งทื่อ สีหน้าโง่งม

อึดใจใหญ่ค่อยได้สติ ตะกุกตะกักว่า “เสี่ยวม่อเกอ เจ้า เจ้าเป็น... ...”

เห็นจั่วม่อตั้งแต่ลำคอจรดเท้าปกคลุมด้วยก้อนเมฆขาวอย่างสมบูรณ์ มีเพียงศีรษะของมันเท่านั้นที่โผล่ออกมา เหล่าเฮยพอมองไล่ลงไป แทบจะสามารถมองเห็นเท้าเปล่าคู่นั้นได้อย่างเลือนราง

เหล่าเฮยรู้สึกว่าก้อนเมฆขาวช่างดุคุ้นตานัก ฉับพลันนั้นก็นึกออก นี่ไม่ใช่ก้อนเมฆจากเคล็ดเมฆฝนหล่นรินหรอกหรือ?

นี่...นี่...จั่วม่อกำลังอาบน้ำชำระล้างร่างกายอยู่หรือเปล่า?

ขบคิดถึงสายฝนอันเย็นฉ่ำของเคล็ดเมฆฝนหล่นริน เหล่าเฮยชักรู้สึกว่าความคิดสร้างสรรค์นี้เข้าท่าไม่เลว

แต่...แต่...มันจำเป็นต้องอาบน้ำบนเส้นทางภูเขาด้วยหรือ... ...ทั้งยังอาบไปเดินไปด้วยเนี่ยนะ... ...

จั่วม่ออับอายขายหน้าถึงที่สุด พยายามมองหารอยแตกบนพื้นเพื่อมุดลงไปซ่อนตัว แต่ด้วยอานิสงค์จากใบหน้าตายด้านของมัน จึงไม่มีร่องรอยกระดากอายหรือกระอักกระอ่วนปรากฏให้เห็น ตรงกันข้าม มันกลับดูผ่อนคลายมากจนน่าอิจฉา

ตลอดทั้งร่างของมันยังคงเจ็บปวดรวดร้าว แต่ละย่างก้าวล้วนสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ มันได้แต่ค่อย ๆ ขยับเท้า ทีละก้าว ทีละก้าว สารรูปพิลึกพิสดารเหลือจะกล่าว

เหล่าเฮยในใจต่อสู้กับตัวเองอยู่นาน ในที่สุดตัดสินใจเอ่ยชมเชยเอาไว้ก่อน ยกนิ้วหัวแม่มือให้ “เสี่ยวม่อเกอ เคล็ดวิชานี้สุดยอดไปเลย!”

จั่วม่อรู้สึกว่าไม่มีคำใดสามารถบรรยายความรู้สึกของมันในยามนี้ได้ ได้แต่ทำเป็นพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม จากนั้นค่อย ๆ บากหน้าเดินต่อไปตามเส้นทาง

มองตามแผ่นหลังของก้อนสีขาวที่ก้าวเดินไปอย่างแช่มช้า กระทั่งเหล่าเฮยยังอดรู้สึกไม่ได้ ว่าเสี่ยวม่อเกอพัฒนาบุคลิกภาพพิเศษเฉพาะขึ้นมาจริง ๆ

 

สิ่งที่ทำให้จั่วม่อรู้สึกสิ้นหวังถึงที่สุด คือต่อมามันมักพบกับศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนหนึ่ง ตลอดเส้นทางกลับบ้านของมัน สายตาแปลกประหลาดของคนเหล่านั้นทำเอาจั่วม่อหนังศีรษะชาหนึบ ครั้นเมื่อดั้นด้นกลับมาถึงหุบเขาลมตะวันตก มันแทบจะหลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา แต่พอมันปรากฏกายที่ประตูลานบ้านเล็ก ๆ ของมันเท่านั้นเอง ห่านจะงอยเทาบนหลังคาบ้าน จู่ ๆ ก็กรีดร้องตื่นตระหนก และรีบใช้ปีกของมันปิดตาในทันที จั่วม่อตัวแข็งทื่อ หัวใจดวงน้อย ๆ พลันแตกสลายเป็นธุลี กระจัดกระจายเต็มพื้น

ที่แท้...เจ้านกสีเทาตัวนี้...มันเป็น...ตัวเมีย?

เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่ทำให้จั่วม่อรันทดหดหู่ยิ่งกว่าเดิม ก็คือเจ้านกตัวเมียดันแอบเปิดช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างปีกของนาง ลอบมองออกมาจากทางด้านหลัง และสิ่งที่ทำให้จั่วม่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมากที่สุด ก็คือสายตาของนังนกตัวเมียนี้ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนจากสอดรู้สอดเห็นไปเป็นดูถูก!

มันยังเบ้ปากอีกด้วย...

เจ้านกสมควรตาย!

ถูกลูบคมถึงเพียงนี้ จั่วม่อคลุ้มคลั่งในทันที ประกบนิ้วจี้อย่างเกรี้ยวกราด ปราณกระบี่ทะยานลิ่วออกไป

ก๊า!

ห่านจะงอยเทาตะเบ็งเสียงแตกตื่น รีบหลบหลีกอย่างปราดเปรียว มันบินขึ้นไปกลางเวหา จากนั้นพลันทำคอพอง สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างดูหมิ่น

จั่วม่อขุ่นแค้นแทบกระอัก ความชิงชังอัดอก เจ้านกตาย รอข้าก่อนเถอะ!

สิ่งที่มันรู้สึกโชคดีที่สุด คือระหว่างทางกลับบ้านมันไม่ได้พบกับผู้อาวุโสคนใด ลองนึกภาพหากซือฟู่เห็นสารรูปของมันเข้า เกรงว่านางคงสับมันเหลือครึ่งชีวิตในทันใด แล้วโยนลงจากภูเขาให้เป็นอาหารสุนัข

เยื้องย่างอย่างยากลำบากไปยังห้องของมัน มันนอนแผ่หราบนเตียง ไม่อยากขยับตัวอีกแล้ว ไม่ต้องการคิด ไม่อยากกระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว เหน็ดเหนื่อยแทบตายแล้ว! ไม่นานก็หลับใหลไปอย่างสนิท

ก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์อันแสนสุข มันพึมพำ “ด่านจู้จี!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด