บทที่ 45 ดิ้นรน
หุบเขาหมอกเย็นเยือก ข้างสระน้ำอันหนาวเหน็บ
จั่วม่อแลดูน่าสะพรึงกลัว ร่างกายแดงก่ำราวกับกุ้งต้มตัวหนึ่ง แดงดุจโลหิตจะหยดออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยซึ่งน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อยามที่จั่วม่อยังคงอยู่ในลานบ้าน ร่างกายของมันราวกับกลุ่มก้อนเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง แต่บัดนี้มันรู้สึกคล้ายว่าตลอดทั้งร่างเป็นท่อนฟืนแห้งสนิท ต่อมาก็จุดประกายไฟ และลุกไหม้จนแตกปะทุ
จั่วม่อเหลียวมองไปรอบ ๆ มึนงงเลื่อนลอย ทุกอย่างในสายตาดูเหมือนจะบิดเบี้ยวไปเสียหมด ซึ่งเป็นผลจากการเผาไหม้อันร้อนแรง สติสัมปชัญญะของมันเลอะเลือน ร้อน! มันประหนึ่งว่าดิ้นรนตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลแห่งเปลวเพลิง คลื่นไฟโหมซัดใส่ไม่หยุดยั้งจนแทบหายใจไม่ออก ราวกับว่าอาจถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเวลา
“รับประทานหญ้ามังกรเพลิงลงไป”
เสียงอันเลือนรางห่างไกลลอยมากระทบโสตประสาทของจั่วม่อ
จั่วม่อยัดหญ้ามังกรเพลิงใส่ปากตามสัญชาตญาณ คลื่นความร้อนไหลวาบจากปากลงสู่ลำคอ
บูม!
มันราวกับขว้างหม้อบรรจุน้ำมันลงในกองเพลิง! จั่วม่อรู้สึกว่าทะเลเพลิงระเบิดกระจัดกระจาย เปลวไฟละเอียดอ่อนร้อนเร่านับไม่ถ้วนแผ่วาบไปทั่วอวัยวะภายใน ความร้อนแรงประหนึ่งเหล็กหลอมเหลวพลุ่งพล่านตะลุยผ่านเส้นชีพจรของมันดุจดั่งคลุ้มคลั่งอาละวาด!
“อ๊า!”
จั่วม่อไม่มีปัญญาสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องของมันได้ กระแสความร้อนแผดเผาโลดแล่นขึ้นสมอง ศีรษะอันเปราะบางของมันไม่ต่างจากถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟ
ฟุบ! ทันใดนั้นเปลวไฟลุกพรึบขึ้นบนร่าง ไหม้ลามไปอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วกระพริบตาเดียวเสื้อผ้าทั้งหมดของมันก็เปลี่ยนเป็นกองเพลิง สลายเป็นเถ้าในชั่วอึดใจ แต่ที่น่าประหลาดก็คือเปลวเพลิงกลับไม่ได้สร้างบาดแผลแก่จั่วม่อแม้แต่น้อย
จั่วม่อเปลือยกายล่อนจ้อน ตลอดทั้งร่างแดงฉานประดุจโครงกระดูกโลหะที่เพิ่งออกมาจากเตาหลอม คลื่นกระแสลมร้อนรอบกายสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า
“อา อา อา อ๊า!”
เสียงกู่ล้ำลึก กึกก้อง โหยหวนไม่ผิดอันใดกับสัตว์ร้ายใกล้ตายตัวหนึ่ง เส้นโลหิตทุกเส้นโป่งพอง คล้ายเหล็กเส้นที่กำลังลุกไหม้ ปกคลุมไปทั่วร่างดุจตาข่าย
“เสนาะหูยิ่งนัก” ผูเยามองจากด้านข้าง สีหน้าเคลิบเคลิ้มมึนเมา ทอดถอนชมเชย “โอ้ ความเจ็บปวดที่เสียดลึกลงไปถึงดวงวิญญาณ นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ฟังเสียงอันน่าลุ่มหลงถึงเพียงนี้ น่าหวนหาจริง ๆ อ้า”
“อา อา อ้า!” จั่วม่อสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ มันคล้ายสัตว์ร้ายที่ร่างกายลุกไหม้ท่วมตัว แหกปากกู่ร้องตามสัญชาตญาณ เปลวไฟดูราวกับไม่ค่อยพอใจที่จะวิ่งอยู่ภายในร่างกายมัน พากันเจาะทะลุผิวหนังออกมา ลุกฮือห่อหุ้มตลอดทั้งร่าง กลับกลายเป็นกองเพลิงกลุ่มหนึ่ง หากจั่วม่อมีสติแจ่มใสอยู่ในชั่วขณะนี้ มันจะต้องตื่นตะลึงเมื่อพบว่าไฟที่กำลังโหมไหม้รอบกายมัน เป็นเพลิงสีแดงเข้มอันเย้ายวนใจ คล้ายคลึงกับเปลวเพลิงในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันอย่างยิ่ง
มองเห็นเปลวไฟแดงจัดที่เต้นเร่าอย่างดุเดือดบนร่างจั่วม่อ นัยน์ตาของผูเยามืดมนลงในบัดดล มุมปากยกยิ้มจาง ๆ ไม่ทราบว่ากำลังนึกถึงเรื่องราวอันใด
เสียงกู่ร้องของจั่วม่อยิ่งมายิ่งแหบลึก ทั้งโหยหวนสุดจิตสุดใจ เปลวไฟทั่วร่างดูเหมือนจะทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผูเยาสีหน้าแปรเปลี่ยน นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาค่อยกลับเป็นปกติ พึมพำกับตัวเอง
“เอาเถอะ เมื่อเป็นคนที่เจ้าเลือก ข้าจะลองให้โอกาสดูสักหน”
จบคำ พลันจี้ดัชนีใส่จั่วม่อ จั่วม่อดุจถูกฟาดด้วยค้อนมหึมา ปลิวลิ่วไปร่วงลงในสระน้ำเย็นเฉียบ ท่ามกลางสะเก็ดน้ำสาดกระเซ็นระลอกหนึ่ง
จั่วม่อประหนึ่งหินหนักก้อนหนึ่ง พอหล่นลงในสระ ก็จมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ที่พิสดารพันลึกก็คือเปลวเพลิงสีแดงเข้มซึ่งลุกโหมรอบร่างมัน กลับไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำแม้แต่น้อย ยังคงเต้นเร่าโหมไหม้อย่างบ้าคลั่งดุจเดิม
ช่วงเวลานี้เอง สายธารน้ำแข็งในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อพลันเริ่มถาโถม กดทับไปข้างหน้า เหล่าผลึกน้ำแข็งที่อัดแน่นอยู่ในธารน้ำแข็งถูกผลักดันด้วยแรงที่มองไม่เห็น ไหลไปอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ม้วนตัว เร่งการเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ธารน้ำแข็งตรงแน่วอันเงียบสงบ ภายในชั่วกระพริบตาเดียว ก็แปรสภาพกลายเป็นแม่น้ำที่มีแต่ปราณกระบี่ใหญ่น้อยสุดคณานับแล่นพล่านไปทั่ว
ฟู่ ฟู่ ฟู่!
เหล่าปราณกระบี่เหินลิ่วไปตามผิวน้ำ แล้วทะยานขึ้น พุ่งโถมเข้าใส่เปลวเพลิงที่อยู่รอบ ๆ ฝั่งแม่น้ำ
ทันทีที่เจตจำนงกระบี่น้ำแข็งทิ่มแทงใส่เปลวเพลิงที่เต้นเร่าด้านข้างชายฝั่ง เรื่องราวเหนือคาดพลันอุบัติขึ้น!
ในทะเลแห่งจิตสำนึก เปลวเพลิงเมื่อถูกปราณกระบี่จู่โจม แทนที่จะอ่อนโทรมลง กลับลุกโชนท่วมฟ้า แม้กระทั่งดวงดาวที่ลอยคว้างอยู่กลางเวหายังแทบจะถูกไฟผลาญไปด้วย มีเพียงป้ายหินสุสานอันปกคลุมด้วยเมฆดำเท่านั้น ไม่ได้รับผลกระทบใดแม้แต่น้อย
ภายในแม่น้ำธารน้ำแข็ง ผลึกน้ำแข็งกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดยั้ง ยิ่งนานยิ่งดุร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เจตจำนงกระบี่ไร้ที่สิ้นสุดหอบเอาหมอกขาวอันกว้างไพศาล พุ่งเข้าใส่ทะเลเพลิงอย่างไม่มีออมรั้ง
ร่างกายภายนอกของจั่วม่อ ปรากฎความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ใจไปพร้อมกัน ชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้มตลอดทั้งร่างอันโล่งโจ้งของมัน แต่ในชั่วพริบตาเดียวก็ละลายหายวับไป จากนั้นชั้นน้ำแข็งจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วละลายหายไปอีก แล้วปรากฏขึ้นอีก สับเปลี่ยนหมุนเวียน ซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน
สระน้ำเย็นไม่ได้ลึกเท่าใด จั่วม่อจมลงไปถึงก้นสระอย่างรวดเร็ว ความเย็นที่ก้นสระยังเย็นเยียบยิ่งกว่าบริเวณผิวน้ำหลายเท่า ไม่มีกุ้งหอยปูปลาให้พบเห็น
ราวกับว่าได้รับการส่งเสริมจากความเย็นภายนอก แต่ละครั้งที่ชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ปรากฏขึ้น ระยะเวลาที่มันคงอยู่เนิ่นนานยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เปลวเพลิงรอบกายจั่วม่อก็ไม่ได้อ่อนโทรมลงเลยแม้แต่น้อย พวกมันยังคงโหมไหม้แผดเผาอย่างพิสดารอยู่ใต้น้ำ
ทันใดนั้น ลำแสงอ่อนโยนวาบขึ้นที่กลางอกของจั่วม่อ ลำแสงนี้พลันหมุนวน โคจรผ่านเส้นชีพจรปราณทั่วร่าง ทุกที่ที่ลำแสงแล่นผ่าน เปลวเพลิงจะหดแคบลง แต่ในไม่ช้า เพลิงไฟก็จะกลับมาเต้นเร่าดังเดิมอีกครา
จั่วม่อคล้ายผ่านเข้าไปในสภาวะอันพิสดารล้ำประการหนึ่ง สูญเสียการควบคุมร่างกายไปโดยสิ้นเชิง มึน ๆ งง ๆ เลอะ ๆ เลือน ๆ คลับคล้ายคลับคลา มันรู้สึกเหมือนกำลังถูกเผาอยู่ในเตาหลอม แล้วทันใดนั้นก็ถูกโยนไปยังขั้วโลก กลับไปกลับมาไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะทุกข์ทรมานเพียงใด มันก็ไม่ได้มีช่องว่างให้ดิ้นรนเอาตัวรอด
“อย่าได้ลืมเลือน... ...”
“ต่อให้ต้องตาย ท่านก็มิอาจลืม......”
เสียงนั้นพลันปรากฏขึ้นอีกครา ราวกับอ่างน้ำเย็นเทราดลงบนศีรษะจั่วม่อ สติสัมปชัญญะฟื้นคืนเป็นแจ่มชัดในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อมีสติรู้ตัวขึ้นมา ความเจ็บปวดสุดขั้วจากการถูกแผดเผากับความเย็นเยียบเสียดกระดูกก็ถาโถมเข้าใส่ ราวกับคลื่นน้ำท่วมทับอย่างหฤโหด
“อ๊า......” มันอดไม่ได้ต้องอ้าปากกรีดร้อง น้ำสระเย็นเฉียบไหลบ่าลงไปในปากมันในบัดดล
ไม่มีสิ่งใดสามารถอธิบายความรู้สึกของมันในเวลานี้ได้ ทั่วร่างถูกเผาผลาญอย่างดุเดือด ความเจ็บปวดสุดขีดจากการที่เลือดเนื้อและกระดูกต้องถูกเผาไหม้ทีละน้อยทีละน้อย แทบจะทำให้มันสิ้นสติไปอีกรอบ ส่วนน้ำในสระที่ไหลลงไปในปาก ก็เกือบจะแช่แข็งมันเป็นก้อนน้ำแข็งจากภายใน สติและจิตใจที่เพิ่งจะแจ่มชัดขึ้นมา พลันกลับกลายเป็นเลอะเลือนเลื่อนลอยอีกหน
นี่คือด่านจู้จี?
นี่เป็นพลังของหญ้ามังกรเพลิง?
ความฝันนั้น... ...
ในความเลอะเลือนมึนงง มือของจั่วม่อคลายออก แล้วทันใดนั้นก็กำหมัดเกร็งแน่น ร่างมันงอโค้งลง รวบรวมเรี่ยวแรงทั่วร่างในชั่วพริบตา ดวงตาเบิกโพลง แดงฉานดุจโลหิต
ผู้ใด?
ผู้ใดอยากควบคุมข้า?
ผู้ใดเปลี่ยนใบหน้าข้า ลบความทรงจำข้า?
ผู้ใด... ... ฝีมือผู้ใด... ...
ฝีมือผู้ใดกระทำมารดามันเช่นนี้!
จากส่วนลึกของจิตใจ ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนไหลผ่านโดยไม่อาจควบคุม จากส่วนลึกของร่างกาย บังเกิดความเจ็บปวดที่เลือดเนื้อถูกเผาไหม้และความเย็นเยียบทะลุกระดูก ภายในดวงตาอันเต็มไปด้วยโทสะ เปลวเพลิงถูกกลืนกินโดยกระแสน้ำสีโลหิต
ฝีมือผู้ใด... ... ฝีมือผู้ใด... ... ฝีมือผู้ใด... ...ไอ้บัดซบตัวใด!
สารเลว!
โลหิตในอกมันคำรามกึกก้อง ความโกรธแค้นและความโศกศัลย์จากส่วนลึกของหัวใจระเบิดเปรี้ยงดุจภูเขาไฟปะทุ ในทันทีทันใด มันกลืนกินทั้งไฟทั้งน้ำแข็งไปจนหมดสิ้น
จั่วม่อเหมือนถูกคำสาปควบคุม ผนึกพลังทั่วร่างสู่กำปั้น กระแทกหมัดออกไปสุดแรงเกิด!
พร้อมกันนั้นก็บังคับเปลวเพลิงแดงเข้มอันเย้ายวน หลอมรวมลงไปในหมัด หมัดนั้นกระแทกใส่ผนังหินด้านข้างสระอย่างหนักหน่วง
ตูม!
โดยมีหมัดของจั่วม่อเป็นศูนย์กลาง รอยแตกบนแผ่นหินแล่นเปรี๊ยะเป็นรูปใยแมงมุม รอยไหม้เกรียมแผ่กระจายวาบเป็นวง จากศูนย์กลางของการอัดกระแทก
ตูม!
อีกหนึ่งหมัด! เศษหินกระเด็นว่อนอยู่ในน้ำ บางเศษพุ่งเฉียดร่างของจั่วม่อ สร้างบาดแผลจำนวนหนึ่ง โลหิตสด ๆ พรั่งพรูออกมา ละลายปะปนไปกับน้ำในบัดดล
ตูม ตูม ตูม!
สองหมัดรัวเป็นชุด จั่วม่อติดอยู่ในสภาวะหลงลืมตัวตนอย่างสิ้นเชิง ดวงตาแดงฉาน เส้นเอ็นปูดโปน ระดมหมัดกระแทกใส่ผนังสระอย่างบ้าระห่ำ ก้นสระอันเงียบสงบเปลี่ยนเป็นเดือดพล่านปั่นป่วนในพริบตา
ข้างสระน้ำ ผูเยาค้นพบว่าพื้นสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทอดตามองน้ำวนที่ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ สีหน้ามันราบเรียบเฉื่อยชา ยกมือขึ้น คีบจับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่กระเซ็นออกมาจากสายน้ำตก จากนั้นผายมือออก เห็นหยดน้ำลอยอยู่เหนือฝ่ามือ กลมเกลี้ยง ใสกระจ่าง สะท้อนแวววาวอยู่ในดวงตาสีเลือดของมัน
“เจ้ายังคงไม่ยอมรามือ? เจ้ายังคงเชื่ออย่างโง่งม ว่าคนอย่างมันจะสามารถสยบเปลวเพลิงแห่งอสูรฟ้าได้?” รอยยิ้มเยาะหยันจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผูเยา ขณะที่กล่าวอย่างเนิบนาบ “เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ เป็น เช่น นี้ เสมอ ไม่เคยฟังข้าเลย ผ่านไปสามพันปีเจ้าก็ยังคงดื้อดึง หรือเจ้าไม่เคยทราบเลย ว่าทางที่เจ้าเลือกมักจะโง่เขลาเบาปัญญาเสมอมา?”
ผูเยาเป่าลมออกมาเบา ๆ หยดน้ำอันสมบูรณ์พร้อมที่ลอยอยู่บนฝ่ามือ พลันเปลี่ยนเป็นละอองหมอก กระจายหายไปในอากาศ
“ข้าเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของเจ้ามานานแล้ว” ผูเยาปรบมือเบา ๆ สีหน้าเฉยชา
การสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้าหยุดชะงักขาดหาย สระน้ำกลับสู่สภาพสงบเงียบดังเดิม
“จบสิ้นแล้ว!” ริมฝีปากบางเฉียบของผูเยาเชิดขึ้น พลางยักไหล่ “ฮาฮา มันย่อมมิอาจสยบเพลิงอสูรฟ้าได้ ทางเลือกอันโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้าได้รับการพิสูจน์อีกครั้ง!”
จบคำเย้ยหยันก็หมุนตัว แต่เพียงเพิ่งหันหน้าไป ทันใดนั้นก็ชะงักกึก ปากอ้าขึ้นน้อย ๆ
นี่มัน... ...
ภูเขาสุญตา ซินหยานผู้กำลังดิ่งลึกอยู่ในฌานพลันเบิกตาโพลง มันกระโดดผลุง ร่างหายวับไป ภายในชั่วกระพริบตาก็ปรากฏกายที่ยอดเขา ไม่กี่อึดใจต่อมา เผยเหยียนหราน หยานเล่อ และสือฟ่งหรงทะยานเข้ามาสมทบ พากันปรากฏกายขึ้นด้านข้างมัน
ทั้งสี่สบตากันวูบ พวกมันล้วนแหงนมองท้องฟ้าด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
ตงฝู เทียนซงจื่อกำลังตรวจดูรายชื่อที่หวีป๋ายเขียนขึ้นมา
“นี่เป็นจงหมิงเอี้ยน ศิษย์ของจั่วเหมยเทียน” เทียนซงจื่อพยักหน้า ตั้งข้อสังเกตว่า “ในตงฝู หากกล่าวถึงพลังฝีมือ ระหว่างจั่วเหมยเทียนกับซินหยาน ในอดีตจั่วเหมยเทียนดุร้ายอำมหิตยิ่ง ทุกผู้คนล้วนเกรงกลัวมัน นี่มีส่วนคล้ายกับซินหยานไม่น้อย แต่ข้ายังสงสัยว่าศิษย์ของมันจะเป็นอย่างไร”
หวีป๋ายกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์เคยพบหน้าจงหมิงเอี้ยนหนหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้ประมือกันจริงจัง แต่ประเมินจากความเยือกเย็นของมัน เกรงว่าคนผู้นี้ไม่อ่อนแอแต่อย่างใด”
“ฮ่าฮ่า มียอดฝีมือรุ่นเยาว์สักกี่คนที่เจ้าเรียกว่าไม่อ่อนแอ ได้ยินมาว่าจั่วเหมยเทียนทุ่มเทสมาธิจิตใจไปกับศิษย์ผู้นี้ไม่น้อย เป็นธรรมดาที่มันย่อมไม่อ่อนแอ” เทียนซงจื่อหัวร่อฮาฮา “ไม่แน่ว่าต่อไป ตงฝูอาจเป็นโลกของเจ้า จงหมิงเอี้ยน แล้วก็เหวยเสิ้งของสำนักกระบี่สุญตาแล้ว”
“ศิษย์จะไม่ทำให้ซือฟู่ผิดหวัง” หวีป๋ายตอบอย่างเคารพ
เทียนซงจื่อโบกมือ “อย่าได้ใส่ใจกับของไร้สาระเช่นชื่อเสียงมากเกินไป ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อันรากฐานของบรรพชนนี้ แม้ว่าข้าไม่อาจตัดใจอยู่บ้าง แต่ความปลอดภัยของเจ้าย่อมสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
หวีป๋ายสะท้านขึ้นทั้งร่าง ตอบรับอย่างตื้นตันว่า “ศิษย์ทราบแล้วท่านอาจารย์!”
เห็นสีหน้าหวีป๋ายยังเต็มไปด้วยความกังวล เทียนซงจื่ออดไม่ได้ต้องปลอบโยน “ข้าผู้เป็นซือฟู่เพียงวางแผนไว้ล่วงหน้า อย่าได้วิตกกังวลมากจนเกินไป หากมีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ ฮาฮา ตาเฒ่าอย่างพวกข้าจะขวางอยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าเอง” จากมุมสายตา พลันพบเห็นนามหนึ่งอยู่ในใบรายการ ต้องรู้สึกประหลาดใจอยู่สักหน่อย “อืม ไฉนมีจั่วม่อจากสำนักกระบี่สุญตาอีกคน? มันพิเศษที่ใด?”
“คราวแรกที่ศิษย์ได้ยินชื่อนี้ มันมีเรื่องขัดแย้งกับจงหมิงเอี้ยนกับศิษย์ของสำนักตงฉีอีกผู้หนึ่ง เนื่องจากมันเป็นเกษตรกรปราณ ศิษย์ตั้งใจว่าจะช่วยมันแก้ปัญหาสักครา มิคาดมันถึงกับใช้เจตจำนงกระบี่ออกมา!” หวีป๋ายเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “มันยังไม่ได้เข้าสู่ด่านจู้จีด้วยซ้ำ”
“โอ้!” เทียนซงจื่อสีหน้าแปรเปลี่ยน “ตัวอันตรายอีกผู้หนึ่งจากสำนักกระบี่สุญตางั้นหรือ? บรรลุเจตจำนงกระบี่ก่อนเข้าสู่ด่านจู้จี พรสวรรค์เช่นนี้ก็หาได้ยากนัก! นับว่าสวรรค์ประทานพรแก่สำนักกระบี่สุญตาอย่างแท้จริง!”
ระหว่างคำพูดของมัน เห็นได้ว่าค่อนข้างอิจฉาอยู่ไม่น้อย
ในช่วงเวลานี้เอง สีหน้ามันพลันแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ทะยานร่างออกนอกหน้าต่างในทันที หวีป๋ายอึ้งไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบติดตามออกไป
มันเห็นเพียงเทียนซงจื่อจ้องเขม็งไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง
ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาดอกเหมยแห่งสำนักกระบี่ตงฉี บุรุษผมยาวในอาภรณ์ดำผู้หนึ่งยืนหยัดต้านสายลม ใบหน้าแตกตื่น เบิกตากว้าง แหงนมองไปยังท้องนภาอันกว้างไกล
-----------------------------------------------------------------------------
เทพมารฯ รำพึง : จากตอนนี้เป็นต้นไป ขอเปลี่ยนคำว่า "เขตปกครอง" เป็น "อาณาจักร" นะครับ