บทที่ 44 โศกนาฏกรรมที่เกิดจากจิงสือหนึ่งชิ้น
จั่วม่อมอบนามให้แก่โอสถปราณของมันว่า “เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกร” ซึ่งฟังดูโง่เง่าอย่างยิ่ง แต่แน่นอนว่ามันไม่แยแสเรื่องนี้
เดิมทีมันตั้งใจจะหลอมกลั่นเพิ่มอีกสักสองเม็ดสามเม็ด เพื่อให้อาจารย์ลุงหยานเล่อนำไปขายเป็นจิงสือกลับมา แต่ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าได้แต่วางเรื่องนี้ไว้ทางด้านข้างก่อน เนื่องเพราะในท้องทุ่งปราณของมัน ส่วนหนึ่งของหญ้าปราณกับสมุนไพรปราณเริ่มพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว ในแต่ละวันมันหันไปทุ่มเทให้กับการดูแลบำรุงพืชปราณอย่างตั้งอกตั้งใจ อย่างเช่นเคล็ดเมฆฝนหล่นริน เคล็ดปราณพิภพ และเคล็ดอัคคีสีชาด จั่วม่อจะร่ายทั้งสามวิชาสลับสับเปลี่ยนกันไป หลายต่อหลายครั้งตลอดทั้งวัน ส่วนเคล็ดสารพันพฤกษ์กับเคล็ดทองคำคร่ำคร่าทุกสองสามวันจะใช้ออกครั้งหนึ่ง
จั่วม่อแม้ไม่เคยทำการเพาะปลูกในลักษณะนี้มาก่อน แต่เนื่องจากความขยันหมั่นเพียรและความเอาใจใส่ การเจริญงอกงามของพืชปราณที่ปลูกไว้ในหุบเขาลมตะวันตกจึงโดดเด่นไม่น้อย พืชปราณระยะสั้นบางส่วนสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกเมื่อ
สำหรับจั่วม่อผู้ที่ถุงเงินขึ้นสนิมมานาน นี่ราวกับฝนห่าใหญ่ที่สาดเทลงมาถูกเวลา เนื่องจากความสำคัญของการเก็บเกี่ยวหนนี้ มันกระทั่งร้องขอต่อท่านอาจารย์ของมันเพื่อขอลาหยุดจากงานด้านหลอมกลั่นโอสถ
ภายในหุบเขาลมตะวันตก โครงกระดูกผู้หนึ่งก้มหน้าก้มตาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่เหนือท้องทุ่งปราณ
“ในที่สุดก็เสร็จสิ้นเสียที” จั่วม่อนั่งราบกับพื้น หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย มองไปยังพืชปราณกองเล็ก ๆ ตรงหน้ามัน สายตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเหลียวมองไปยังมุมด้านหนึ่ง หญ้ามังกรเพลิงระดับสามต้นหนึ่งเกือบจะเติบโตเต็มที่ เปล่งประกายสีแดงสดใส งดงามอร่ามตาไม่น้อย
จั่วม่อเริ่มคัดแยกหญ้าปราณกับสมุนไพรปราณตามชนิด ต่อมาค่อยจัดระดับคุณภาพ แล้วห่อไว้อย่างระมัดระวัง หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมด จั่วม่อขึ้นหลังห่านจะงอยเทามุ่งไปยังที่พักของอาจารย์ลุงหยานเล่อ
เมื่อหยานเล่อพบเห็นจั่วม่อ โดยเฉพาะเห็นถุงใบโตที่แบกมาด้วย ดวงตามันก็สว่างวาบ “ศิษย์หลานเก็บเกี่ยวสินค้าดี ๆ อันใดมาหรือ?”
วางถุงใบใหญ่ลงกับพื้น จั่วม่อปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “นี่เป็นสมุนไพรปราณส่วนหนึ่งที่เพิ่งเติบโตได้ที่ อาจารย์ลุงกรุณาขายมันแทนข้าด้วย” การฝากขายเช่นนี้จะต้องหักให้แก่สำนักสองในสิบส่วน แต่จั่วม่อยังตกลงใจให้สำนักเป็นธุระในการขายแทนมัน นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าอาจารย์ลุงหยานเล่อล่วงรู้สภาพตลาดมากกว่ามันแล้ว แต้มคุณูปการที่มันจะได้รับก็นับว่ามีประโยชน์ใช้สอยไม่น้อย และยิ่งมีคุณูปการต่อสำนักมากเท่าใด สถานะในสำนักก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา
แม้ว่าผูเยาจะอาศัยอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ แต่เจ้าเหรินเยาวิปลาสจอมกลับกลอกผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่น่าพึ่งพาอาศัยนัก ผูเยาเป็นตัวอันตรายอย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับมันได้ ก็ยังคงอย่าได้ตอแยมันเป็นดีที่สุด
เมื่อเทียบกันแล้ว จั่วม่อสะดวกใจจะใช้ประโยชน์จากขุมพลังของสำนักมากกว่า อย่างน้อยเหล่าผู้อาวุโสในสำนักก็ดูเหมือนคนปกติมากกว่าผูเยา แต่ด้วยหนทางนี้ การยกสถานะในสำนักของมันจะกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด
การบำเพ็ญเพียรนั้น ยิ่งชั้นสูงขึ้นไปเท่าใด ยิ่งต้องการทรัพยากรมากขึ้นเป็นเงาตามตัว หากพยายามจะพึ่งพาพลังอำนาจส่วนบุคคล นี่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากกว่าการอาศัยขุมพลังของสำนักมาก แม้แต่เหล่าเซียนสัญจรยังมีแวดวงความสัมพันธ์เล็ก ๆ ของตน สำหรับซิวเจ่อที่โดดเดี่ยวตัวเองอย่างแท้จริง นับเป็นของหายากที่สุดในบรรดาของหายากทั้งปวง
หยานเล่อยอบกายลง พลิกดูพืชปราณที่จั่วม่อนำมา ความปีติยินดีบนใบหน้าค่อย ๆ ฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ
“เหล่าสินค้าอันประเสริฐ! อืม อืม ผลหมาป่าทักษิณระดับสาม เบญจมาศเจ็ดใบระดับสาม หือ นี่มันหญ้าดาวทิวา ก็ยังคงเป็นระดับสาม! นี่ขายได้ราคาดี ดีมาก นี่ก็ดี... ...” หยานเล่อดูคล้ายรู้จักมักคุ้นกับหญ้าปราณและพืชปราณทุกชนิด
จั่วม่อใจเต้นตึกตักไม่คลาย รีบเยินยอ “อาจารย์ลุงยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ท่านถึงกับรู้จักเจ้าพวกนี้ทั้งหมด”
สือฟ่งหรงเป็นศิษย์น้องคนเล็กในบรรดาทั้งสี่คน ดังนั้นจากมองสถานะของจั่วม่อ หยานเล่อเปลี่ยนจากอาจารย์อาเป็นอาจารย์ลุง
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อคิดหวังทำการค้า จะไม่รู้จักพวกมันได้อย่างไร?” หยานเล่อรู้สึกดีกับคำเยินยอของจั่วม่อไม่น้อย นัยน์ตาที่เล็กเรียวอยู่แล้ว ถึงกับยิ้มจนหยีเป็นเส้น กล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “เจ้าสมแล้วที่เป็นเกษตรกรปราณ ไม่ว่าเพาะปลูกอันใด ไม่เพียงแต่รวดเร็วกว่าผู้อื่น ทั้งยังได้สินค้าดีเลิศยิ่งกว่าผู้อื่น ศิษย์หลานทั้งรอบรู้ทั้งเอาใจใส่ได้ดี ทุกอย่างที่เจ้านำมา ล้วนขายง่าย ราคาดีงาม”
จั่วม่อไม่ทราบว่ามันคิดไปเองเฉกเช่นวัวสันหลังหวะหรือไม่ แต่มันรู้สึกว่าสายตาของหยานเล่อเต็มไปด้วยความนัยอันลึกล้ำ อาจารย์ลุงใช่ล่วงรู้เรื่องของผู้อาวุโสเว่ยหนานหรือไม่?
มันบังคับตัวเองให้เยือกเย็นลง “อาจารย์ลุงสมควรทราบว่าศิษย์นี้น่าเวทนาถึงเพียงไหน หากข้าไม่ดิ้นรนปลูกพืชนั่นหญ้านี่ไว้ขายเสียบ้าง กระทั่งจิงสือไว้ร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถยังไม่มี”
เวลานี้มันซาบซึ้งใจในบุญคุณของใบหน้าผีดิบของมันมาก เพราะช่วยอำพรางทุกอย่างได้ดีที่สุด
หยานเล่อพยักหน้า “ฮ่าฮ่า อย่าว่าแต่หลอมกลั่น หากปราศจากจิงสือ เจ้าจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใดได้เลยต่างหาก แต่ยามนี้เจ้าเป็นเกษตรกรปราณแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจิงสืออีก ตราบเท่าที่เจ้ายังเพาะปลูกพืชผล พวกเราเหล่าผู้อาวุโสจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม”
“แน่นอน แน่นอน” จั่วม่อหัวร่อเห็นพ้อง แต่ด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง
หยานเล่อเลือกหยิบพืชสองชนิดออกจากถุง “ผลหมาป่าทักษิณ แล้วก็บุปผาแดงเมล็ดทองอันนี้ ไม่ต้องขาย เจ้าควรเก็บไว้เอง ต่อไปสามารถใช้ในการหลอมกลั่นโอสถ ข้าจำได้ว่าอาจารย์เจ้าเคยขอให้ข้าช่วยรวบรวมให้แก่นาง สองอย่างนี้ขายออกง่าย แต่หาซื้อได้ยากนัก”
จั่วม่อรีบคัดแยกสมุนไพรทั้งสองชนิดออกจากถุงผ้าจนหมด
“ของเหล่านี้ทั้งหมดข้าจะช่วยเจ้าขาย สำหรับบางอย่างที่สำนักต้องการเก็บไว้เอง ข้าจะจ่ายให้ตามราคาท้องตลาด” กล่าวจบ หยานเล่อล้วงจิงสือชิ้นหนึ่งออกมายื่นส่งให้จั่วม่อ “นี่เป็นจิงสือระดับสาม ถือเป็นเงินมัดจำล่วงหน้าก็แล้วกัน แล้วอีกสองสามวัน ข้าจะให้ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งของเจ้านำส่วนที่เหลือไปส่งให้”
จั่วม่อเหม่อมองจิงสือชิ้นนั้นอย่างโง่งม ถึงกับลืมยื่นมือออกไปรับ
จิงสือระดับสาม! นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจิงสือระดับสาม!
เห็นสายตาเซ่อซึมของจั่วม่อ หยานเล่ออดไม่ได้ต้องหัวร่อออกมา โยนจิงสือชิ้นนั้นมาให้ “เอาล่ะ หากอยู่ด้านนอกสำนัก อย่าได้ทำเช่นนี้ให้ข้าต้องขายหน้า”
จั่วม่อสติสตังยังไม่กลับสู่ร่าง เดิมทีมันคาดไว้ว่าการเก็บเกี่ยวรอบนี้น่าจะมีมูลค่าไม่เบา แต่ไม่เคยคิดเลยว่ากระทั่งเงินมัดจำล่วงหน้ายังถึงกับเป็นจิงสือระดับสาม! ความมั่งคั่งที่จู่ ๆ ก็ร่วงลงมาจากฟ้านี้กระแทกใส่หน้าจั่วม่อจนมึนงงไปหมด มันรู้สึกเพียงทั้งร่างฟูฟ่องราวกับจะล่องลอย
จั่วม่อผู้กำลังจะเดินกลับบ้านด้วยฝีเท้าเบาหวิว ทันใดนั้นพลันนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันหมุนตัวกลับมาพลางคีบเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรส่งให้หยานเล่อ “อาจารย์ลุง ท่านสามารถบอกได้หรือไม่ว่าโอสถปราณเม็ดนี้มีคุณค่าเท่าใด?”
หยานเล่อรับโอสถปราณ หรี่ตาเพ่งพิศอย่างจริงจัง “เจ้าหลอมกลั่นขึ้นมาเองหรือ? นี่ใช้ทำอะไร?”
จั่วม่อทวนเรื่องราวที่ซือฟู่ของมันกล่าวไว้ซ้ำอีกรอบ
“เช่นนั้นข้าจะลองช่วยเจ้าขายดู แต่หากจะให้ผู้คนยอมรับโอสถปราณชนิดใหม่ ย่อมต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะขายได้สักเท่าใด” หยานเล่อกล่าวหลังจากขบคิดครู่หนึ่ง
จั่วม่อรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ถุงเงินของมันโป่งพองที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันหลงลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าทีแรกคิดหวังใช้เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรเพื่อหาจิงสือสักหน่อย จนกระทั่งกลับไปถึงลานน้อยลมตะวันตก มันยังคงหัวหมุนงุนงงไม่คลาย
จั่วม่อเอาแต่จ้องมองจิงสือระดับสามราวกับคนโลภจนหน้ามืดตามัวผู้หนึ่ง
สีสันและความสมบูรณ์ของจิงสือระดับสามเหนือล้ำกว่าระดับสองมาก ขอบผลึกราบเรียบสม่ำเสมอ ชิ้นผลึกโปร่งใสแวววาว ปราศจากสิ่งเจือปน มองผิวเผินคล้ายแก้วผลึกใสกระจ่างก้อนหนึ่ง แต่พลังปราณธรรมชาติที่อยู่ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังอันมหาศาล!
จั่วม่อค่อย ๆ ลูบไล้จิงสือ ดวงตาลุ่มหลงมึนเมาไม่คลาย
ทันใดนั้น มือข้างนั้นสะบัดขึ้นเบา ๆ คล้ายถูกอะไรบางอย่างเฉือนใส่ จิงสือในมืออีกข้างก็เปล่งแสงวาบอย่างกะทันหัน จั่วม่อตะลึงลาน ตัวแข็งทื่อ เหม่อมองจิงสือสว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจกระหน่ำสะเทือนราวกับอะไรบางอย่างกำลังจะปะทุ
พริบตาเดียวประกายแสงของจิงสือค่อย ๆ จางลง แต่หัวใจกลับเต้นกระหน่ำรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
เกิดเรื่องอันใด?
มันชักจะตื่นตระหนกขึ้นมาบ้าง
“เจ้าโง่ เจ้ากำลังจะทะลวงด่านจู้จี!” ผูเยาพลันปรากฏกายออกมา จ้องมองจั่วม่อด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
“ด่านจู้จี!” จั่วม่อยามนี้ไม่มีเวลาสนใจน้ำเสียงดูหมิ่นของผูเยา มันรีบถาม “เกิดอันใดขึ้น? ไฉนข้าจู่ ๆ ก็จะทะลวงเข้าสู่ด่านจู้จี?”
ผูเยายักไหล่ “เมื่อสั่งสมพลังปราณมากพอ ก็ย่อมทะลวงเข้าสู่ด่านจู้จีเป็นธรรมดา เจ้าเพิ่งได้รับแรงกระตุ้นจากพลังปราณธรรมชาติในจิงสือ ดังนั้นพลังปราณในร่างกายเจ้า ...อืม เรียกว่าตื่นขึ้นมากระมัง”
“ตื่นขึ้นมา? แล้ว... แล้วข้าควรทำอย่างไร?” จั่วม่อกระสับกระส่าย รู้สึกอับจนหนทางอย่างแท้จริง
บัดซบ! มันไม่คิดว่าจะเข้าถึงด่านจู้จีเร็วถึงเพียงนี้ จึงไม่ได้จัดเตรียมสิ่งใดไว้เลย ยิ่งไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือมันต้องทำอะไร ทำอย่างไร มันมักรู้สึกว่าด่านจู้จียังอยู่ห่างไกลออกไปอีกช่วงหนึ่งเสมอ
ใช่แล้ว ไปถามอาจารย์ลุงดีกว่า! จั่วม่อตบศีรษะตัวเอง เตรียมจะวิ่งไปหาห่านจะงอยเทา
ภายใต้เงาของเรือนผมที่ปกคลุมครึ่งซีกหน้าของผูเยา เส้นโค้งดุจคมมีดปรากฏขึ้นเงียบ ๆ
“เจ้าไม่ต้องการพลังอำนาจหรือ? ข้ามีวิธีการอันดีงามสำหรับด่านจู้จี รับประกันได้ว่าการทะลวงด่านจะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น อีกทั้งพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล” น้ำเสียงเย็นเยือกของผูเยาเต็มไปด้วยแรงดึงดูดใจอันรุนแรง
จั่วม่อชะงักเท้ากึก
“เจ้าต้องการอันใด?” จั่วม่อเค้นเสียงถามลอดไรฟัน
“เฮะเฮะ” ผูเยาชี้ไปยังจิงสือระดับสามในมือของจั่วม่อ
นึกอยู่แล้วเชียว! เจ้าเหรินเยาไม่เคยมีเจตนาดี! นี่ถึงกับเล็งจิงสือระดับสามของข้าเชียวหรือ จั่วม่อเดือดดาลยิ่ง แค่นเสียงตอบ “ข้าจะไปถามอาจารย์ลุง......”
“เฮะเฮะ ด่านจู้จี! มิเพียงเป็นประตูแรกสำหรับซิวเจ่อ แต่ผู้คนอีกมากมายล้วนไม่ทราบ ว่ามันยังเป็นหนึ่งในประตูที่สำคัญที่สุดอีกด้วย ทั้งยังส่งผลโดยตรงต่อการบำเพ็ญเพียรของเจ้าในภายภาคหน้า อย่าตำหนิว่าข้าไม่เตือนเจ้าเสียก่อน เจ้าคิดว่าการใช้เม็ดยาจู้จีจะมีประโยชน์ต่อเจ้าจริง~~จริง~~เหรอ~~!”
ผูเยาลากเสียงอย่างเนิบนาบ
แรงสั่นสะเทือนในจิตใจยิ่งมายิ่งรุนแรง จั่วม่อรู้สึกศีรษะลั่นกริ่ง ราวกับว่าหัวใจกำลังจะกระดอนออกมาจากอก ถ้อยคำของผูเยาทะลุเข้าไปในโสต แต่กลับกลายเป็นเลือนรางห่างไกล คล้ายจริงคล้ายไม่จริง
“ฮิฮิ อาจารย์ลุงเหล่านั้นของเจ้า มิใช่ว่าข้าดูถูกพวกมัน แต่พวกมันไม่สามารถมอบพลังอำนาจอันมากมายให้เจ้าได้ ดูอย่างอาจารย์ของเจ้าผู้นั้น เจ้าลืมแล้วหรือไร นางมิใช่คู่มือของคนที่เปลี่ยนโฉมหน้าเจ้าและลบล้างความทรงจำเจ้าด้วยซ้ำ ลองนึกดู ข้าเคยคดโกงเจ้าเมื่อใด? เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดมีประโยชน์มากมายหลากหลาย ส่วนเจตจำนงกระบี่ โอ้ ฝีมือเจ้าเริ่มใช้ได้แล้วนี่!ทั้งหมดไม่ใช่เพราะข้าหรือ? เจ้าสมควรทราบดีว่าข้าผู้นี้เป็นคนที่น่าเชื่อถือมากเพียงใด”
ผูเยาแย้มยิ้มอ่อนโยน งดงามไร้ที่ติ
“หนึ่งชิ้นจิงสือระดับสาม โอ้ ราคาย่อมเยากระไรปานนั้น! เพียงแค่จิงสือระดับสาม ชิ้นเดียวเท่านั้น ต่อไปเจ้าพยายามสักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะหาใหม่อีกครั้งไม่ได้ แต่ประโยชน์ที่เจ้าได้รับในยามนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ลองนึกดู ในโลกยังมีการค้าที่กำไรมากกว่านี้อีกหรือ?”
เวลาคล้ายกระชั้นเข้ามาทุกที แรงสั่นสะเทือนในหัวใจยิ่งรุนแรงขึ้นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตากลับกลายเป็นบิดเบี้ยวพร่าเลือน จั่วม่อรู้สึกราวกับบางอย่างในร่างกายกำลังลุกไหม้เผาผลาญ สว่างไสวไปหมด
กระหายเหลือเกิน! มันเลียริมฝีปาก ทั้งยังกลืนน้ำลายอึกใหญ่
มันสังหรณ์ใจว่าเวลานี้ต่อให้รีบไปหาซือฟู่ในทันที ก็เกรงว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว
“มอบให้แก่เจ้า!” จั่วม่อขบฟันแน่น ขว้างจิงสือระดับสามให้ผูเยาอย่างกระแทกกระทั้น มันแทบอดใจรอที่จะฆ่าเจ้าเหรินเยาผู้นี้กับมือไม่ไหวแล้ว
“ฮิฮิ ทางเลือกอันชาญฉลาด!” ผูเยาตวัดมือคว้าจิงสืออย่างง่ายดาย ริมฝีปากบางแย้มกว้าง ออกคำสั่ง “อืม นำหญ้ามังกรเพลิงของเจ้าไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก”
“หญ้ามังกรเพลิง!” จั่วม่อตาเบิกโพลง เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา
เจ้าบ้านี่... ...
จั่วม่ออยากร่ำไห้เป็นกำลัง สิ่งของน่าหวาดผวาอย่างหญ้ามังกรเพลิง มีเพียงมนุษย์ที่น่าหวาดผวาพอ ๆ กันดังเช่นศิษย์พี่เหวยเสิ้งเท่านั้นที่จะทนมันได้! กับคนเช่นมันมีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น นั่นคือพลังปราณแตกสลาย และตกตายอย่างอนาถ!
ดวงตาขวาของผูเยาคล้ายยิ้มจนโค้งขึ้นดุจจันทร์เสี้ยว ยังอุตส่าห์เตือนจั่วม่อ “ไม่มีเวลาเหลือแล้วนะ”
ความรู้สึกคล้ายลุกไหม้ภายในร่างกายทวีความรุนแรงเกือบถึงขีดสุด จั่วม่อต้องการฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกให้หมด เส้นเลือดเดือดพล่านราวกับท่อเหล็กที่ถูกแผดเผาจนแดงฉาน มันกระหายอย่างผิดปกติ ทั้งอึดอัดขัดข้องอย่างผิดปกติ! ... เวลาจะหมดแล้ว!
ไม่ต้องสนใจอะไรอีกแล้ว จั่วม่อกระชากยันต์เทพสัญจรออกมา แปะลงบนขา โคจรปราณทั่วร่าง จากนั้นหันไปคว้าต้นหญ้ามังกรเพลิง พุ่งทะยานไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือกราวกับก้อนเมฆสีแดงฉานกลุ่มหนึ่ง
มันกู่ร้องสุดเสียงอยู่ในใจ
----ผูเยา! เจ้าเหรินเยาบัดซบที่สมควรตาย!