บทที่ 42 หลอมกลั่นโอสถสำเร็จ
จั่วม่อยกเม็ดยาราชันธัญพืชขึ้นส่องตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
นี่เป็นความพยายามรอบที่สี่ของมัน และในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!
เม็ดยาราชันธัญพืชขนาดเท่าผลลำไย ตลอดทั้งเม็ดเป็นสีฟ้าอมเขียวอันชวนรัดรึงใจชนิดหนึ่ง กลิ่นหอมละเอียดอ่อนแผ่ซ่านออกมา เพียงแค่มองดูก็บันดาลให้ผู้คนไม่อาจต้านทานความอยากรับประทานมันลงไป เม็ดยาราชันธัญพืชส่วนมากจัดไว้สำหรับซิวเจ่อที่เตรียมปิดด่านบำเพ็ญเพียร และผู้ที่มีเงินทอง
จั่วม่อระบายลมหายใจยาว ไม่ได้ลงมือหลอมกลั่นต่อในทันที ความสำเร็จของเม็ดยาราชันธัญพืชเม็ดนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางของมันถูกต้อง ภายใต้สมมติฐานนี้ สิ่งที่มันจำเป็นต้องคิดคำนวณให้ดีคือเรื่องอัตราความสำเร็จ มันเหลือวัตถุดิบเพียงหกชุดเท่านั้น และจะต้องหลอมกลั่นเม็ดยาให้สำเร็จอย่างน้อยอีกสี่เม็ด กล่าวอีกอย่างคือมันพลาดได้อีกแค่สองครั้งเท่านั้น
อันที่จริงในการพยายามรอบที่สาม มันก็เกือบจะประสบความสำเร็จ แต่กลับเผลอประมาทในขั้นตอนยิบย่อยจุดหนึ่ง แล้วทุกอย่างก็ย่อยยับไปกับตา พลังจิตสำนึกของมันช่วยให้สามารถตรวจพบ ทุกความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของสมุนไพรปราณในกระถางหลอมโอสถ ดังนั้นสามารถแปรเปลี่ยนพลังปราณ ปรับตัวตามไปด้วยอย่างเหมาะสมทันท่วงที
พลังจิตสำนึกเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง! จั่วม่อคิดอย่างสุขสันต์
นอกเหนือจากกระบวนการหลอมกลั่นโอสถแล้ว หลังจากที่จั่วม่อได้กวาดผ่านเวทวิชาอื่นด้วยพลังจิตสำนึกของมัน และปรับเปลี่ยนวิธีโคจรพลังปราณบางส่วน ไม่เพียงแต่การสิ้นเปลืองพลังปราณลดน้อยลง แต่ยังได้ผลลัพธ์ดีขึ้นอีกด้วย
น่าเสียดายที่มันสามารถนำความตระหนักรู้นี้ไปใช้ได้เพียงเล็กน้อย แม้ว่าพลังจิตสำนึกจะน่าอัศจรรย์เพียงใด แต่ประสบการณ์กับความรอบรู้ของมันมีจำกัด แม้จะอาศัยการชี้นำของพลังจิตสำนึก แต่สิ่งที่มันมีปัญญาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ทว่าแม้จะปรับเปลี่ยนได้เพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะบังเกิดประสิทธิภาพอย่างสูง
จั่วม่อใคร่ครวญว่ามันสมควรไปยังหอคัมภีร์ของสำนัก เพื่อลองสำรวจและดูว่ามันจะสามารถค้นหาม้วนหยกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้บ้างหรือไม่ ในเมื่อยามนี้มันเป็นศิษย์ฝ่ายใน หากไม่ใช้สถานะนี้หาประโยชน์ใส่ตัวบ้าง ก็นับว่าโง่งมอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดแล้วซือฟู่หน้าเย็นชาของมันก็ไม่อาจพึ่งพาได้ การพึ่งพาอาศัยตนเองก็สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าเซียนกระบี่ให้ความสำคัญกับพลังปราณไม่ใช่พลังจิตวิญญาณ แต่จั่วม่อเชื่อว่าวิชาความรู้ที่สำนักกระบี่สุญตาสั่งสมมาตลอดหลายร้อยหลายพันปี ย่อมมีแต่เหนือล้ำกว่าตัวมันผู้เคว้งคว้างไร้จุดหมาย แต่นี่เป็นเรื่องราวที่ไม่รีบร้อนเท่าใด ควรเก็บไว้หลังจากนี้สักพักจะดีกว่า ระยะนี้มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ นอกเหนือจากฝึกฝนหลอมกลั่นโอสถแล้ว การดูแลทุ่งปราณก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งภาระหน้าที่ที่สำคัญมากเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับมันซึ่งเวลานี้ยากจนข้นแค้นแสนสาหัส การหาจิงสือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่มันต้องรีบคิดหาหนทาง นับตั้งแต่เริ่มปลูกสมุนไพรปราณและหญ้าปราณ นี่ก็เป็นเวลาพอสมควรแล้ว บางส่วนน่าจะใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยว แต่จะขายสินค้าเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร ยังคงเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับมันไม่น้อย ก่อนที่จะเข้าสู่ด่านจู้จี จั่วม่อยังไม่คิดลงจากภูเขา
ทันใดนั้น มันนึกขึ้นได้ว่าซือฟู่เคยกล่าวไว้ หากวัตถุดิบของมันไม่เพียงพอ มันจะต้องใช้จิงสือของตัวเองซื้อหาเพิ่มเติม นั่นหมายความว่ามันสามารถซื้อหาวัตถุดิบจากสำนักได้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็หมายความว่ามันสมควรขายสินค้าให้แก่สำนักได้ด้วยใช่หรือไม่?
จั่วม่อเดินออกจากห้องหลอมกลั่นโอสถของมัน ภายในลานกว้าง เหล่าศิษย์สตรีก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างขะมักเขม้น ช่วยกันตระเตรียมสมุนไพรทุกชนิด กวาดตามองไปรอบ ๆ จั่วม่อจับจ้องไปยังศิษย์สตรีผู้หนึ่ง มันจดจำได้อย่างชัดเจนว่าวันแรกที่มันมาถึง นางเป็นคนแรกที่ทักทายมัน และดูเหมือนจะมีอำนาจมากในหมู่ศิษย์สตรีเหล่านี้
นางสวมใส่อาภรณ์ผ้าฝ้าย ทับด้วยผ้ากันเปื้อนผืนหนึ่ง ไม่ได้ประทินโฉม เห็นหยาดเหงื่อซึมออกมาตามไรผมบนหน้าผาก
“ศิษย์น้องหญิงท่านนี้” จั่วม่อก้าวเข้าไปทักทายนาง แม้ว่าอายุของมันน่าจะอ่อนวัยกว่านางอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเป็นกฎของสำนัก มันย่อมไม่กล้าล่วงละเมิด
ศิษย์สตรีนางนั้นเมื่อพบเห็นจั่วม่อ รีบลุกขึ้นทักทาย “ศิษย์พี่จั่ว”
“ข้าเพิ่งมาที่นี่ และยังไม่รู้จักกฎระเบียบของเรือนขิงหอมเท่าใด ซือฟู่ก็มุ่งเน้นไปยังการหลอมกลั่นโอสถ ดังนั้นข้าได้แต่รบกวนศิษย์น้องหญิงเจ้าแล้ว” จั่วม่อกล่าวอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของมันแข็งทื่อไร้อารมณ์ ทั้งยังดูน่าสะพรึงกลัวไม่เบา
ทีแรกนางตื่นตกใจอยู่บ้าง แต่รีบสงบใจลง กล่าวว่า “ศิษย์พี่เกรงใจเกินไปแล้ว มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือโปรดบ่งบอก?”
จั่วม่อค่อยถามสิ่งที่มันอยากรู้
ศิษย์สตรีนางนี้ปัดผมที่ระหน้าผาก พลางอธิบายอย่างยิ้มแย้มว่า
“ศิษย์พี่อาจไม่ทราบ ทว่าสมุนไพรปราณทั้งหมดในลานนี้ล้วนเป็นของสำนัก นอกเหนือจากจำนวนที่ได้รับอนุญาตแล้ว ส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดหากต้องการใช้ต้องจ่ายด้วยจิงสือ แต่ราคาต่ำกว่าท้องตลาดสองในสิบส่วน ศิษย์พี่ท่านเป็นเกษตรกรปราณ หากมีสมุนไพรปราณหรือหญ้าปราณ ท่านสามารถนำมาขายที่ลานแห่งนี้ได้เช่นกัน ราคารับซื้อสำหรับสมุนไพรปราณทั่วไปจะต่ำกว่าท้องตลาดสองในสิบส่วน แต่นอกเหนือจากจิงสือแล้ว ศิษย์พี่จะได้รับแต้มคุณูปการสำหรับแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาหรือของสิ่งอื่นอีกด้วย และหากสิ่งที่ศิษย์พี่นำมาขายเป็นของหายากหรือของล้ำค่า สำนักจะรับซื้อในราคาเดียวกับท้องตลาด ต่อไปเมื่อศิษย์พี่ประสบความสำเร็จในการหลอมกลั่นโอสถ สำนักยังช่วยขายเม็ดยาของศิษย์พี่แทนท่านได้ อาจารย์อาหยานเล่อของเรามีฝีมือในการค้าขาย และมักขายได้ในราคาที่ดีงาม คิดค่านายหน้าเพียงสองในสิบส่วนเช่นกัน แต่ก็เหมือนเดิม นอกจากจิงสือ ศิษย์พี่ยังจะได้รับแต้มคุณูปการอีกด้วย”
กล่าวจบนางก็ส่งม้วนหยกให้จั่วม่อม้วนหนึ่ง “ราคาของสมุนไพรปราณกับหญ้าปราณจะเปลี่ยนแปลงทุกเดือน พอถึงเวลาอาจารย์อาหยานเล่อจะสั่งให้ใครสักคนบันทึกลงในม้วนหยก นี่เป็นรายการสินค้าและราคาของสมุนไพรปราณในเดือนนี้”
จั่วม่อรับม้วนหยกและกล่าวขอบคุณ
“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจมากเกินไป ศิษย์น้องผู้นี้เรียกว่าสวี่ฉิง (สัญญาฟ้าใส) รั้งลำดับแรกในศิษย์ฝ่ายนอกสังกัดเรือนขิงหอม ต่อไปศิษย์พี่โปรดเมตตาข้าด้วย หากศิษย์พี่มีข้อสงสัยอันใดสามารถมาหาข้าทุกเวลา หรือหากต้องการซื้อวัตถุดิบใด ๆ ท่านก็มาหาข้าเช่นเดียวกัน” สวี่ฉิงชี้แนะน้ำเสียงนอบน้อม
“ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์น้อง!” จั่วม่อกล่าวอย่างซาบซึ้ง
จั่วม่อกลับเข้าไปในห้องหลอมกลั่นโอสถพร้อมม้วนหยกรายการ จากนั้นเริ่มศึกษาข้อมูลในม้วนหยก มันคำนวณต้นทุนของวัตถุดิบสำหรับเม็ดยาราชันธัญพืช อยู่ที่ประมาณสามชิ้นจิงสือระดับที่สอง และราคาขายอยู่ที่สามชิ้นครึ่งเท่านั้น ซึ่งมากกว่าราคาวัตถุดิบอยู่เพียงครึ่งชิ้นจิงสือระดับสอง หากคิดคำนวณเรื่องอัตราสำเร็จรวมเข้าไปด้วย เรียกว่าแทบไม่มีกำไรเลยก็ว่าได้ อย่างที่คาดไว้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะพึ่งพาเม็ดยาระดับต่ำ มาทำกำไรใหญ่โต ที่จริงมันเป็นแค่การฝึกปรือฝีมือหลอมกลั่นเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากเม็ดยาราชันธัญพืชสามารถทำกำไรงามได้จริง เกรงว่าผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนเอาศีรษะเข้าแลก เพื่อหาโอกาสร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถแล้ว
ในช่วงหลายวันต่อมา จั่วม่อยังคงมุ่งมั่นหลอมกลั่นเม็ดยาราชันธัญพืช ในขั้นตอนนี้มันล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ขณะเดียวกัน มันยิ่งช่ำชองชำนาญมากเท่าใด ความพยายามที่ต้องใช้ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ด้วยวัตถุดิบสิบชุดได้เม็ดยาราชันธัญพืชหกเม็ด ผลลัพธ์เช่นนี้เรียกได้ว่าแค่พอผ่านเกณฑ์เท่านั้น ไม่มีอันใดน่าภาคภูมิใจ นอกเหนือจากห้าเม็ดที่ต้องส่งมอบให้แก่ซือฟู่แล้ว ที่เหลืออีกหนึ่งเม็ดมันขายผ่านสวี่ฉิง และได้รับจิงสือระดับที่สองมาสามชิ้น
เมื่อรวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนที่จะได้รับจากสำนัก เป็นจิงสือระดับที่สองจำนวนยี่สิบชิ้น มันในที่สุดก็ไม่ยากจนข้นแค้นอีกต่อไปแล้ว
ภายในทุ่งปราณของหุบเขาลมตะวันตก จั่วม่อตรวจสอบสมุนไพรปราณกับหญ้าปราณแต่ละต้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในม้วนหยกของผู้อาวุโสเว่ยหนาน ได้บ่งบอกรายละเอียดของสมุนไพรเหล่านี้ และสรุปวิธีเพาะปลูกที่มันได้ค้นพบไว้ทั้งหมด
อย่างเช่นหญ้าหางจิ้งจอกหิมะ พืชชนิดนี้ขาวราวหิมะ เป็นพู่ฟูฟ่อง ทั้งยังอ่อนนุ่มน่าสัมผัส ได้ชื่อตามรูปร่างที่คล้ายคลึงกับหางสุนัขจิ้งจอกของมัน ประโยชน์ใช้งานที่ดีที่สุด คือใช้ผลิตกระดาษอันมีชื่อเสียงเลื่องลือชนิดหนึ่ง เรียกว่ากระดาษจิ้งจอกหิมะ
กระดาษจิ้งจอกหิมะทั้งอ่อนนุ่ม ทั้งขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทำเป็นยันต์กระดาษ ควรทราบว่ากระดาษเป็นวัตถุดิบที่นิยมแพร่หลายอย่างกว้างขวาง นอกจากใช้ทำนกกระเรียนกระดาษทุกชนิดแล้ว ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างยันต์คำสาปและยันต์นักรบ
แต่การเพาะปลูกหญ้าหางจิ้งจอกหิมะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันเติบโตได้ช้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญ้าหางจิ้งจอกหิมะที่มีคุณภาพระดับสามขึ้นไป ฉะนั้นโดยทั่วไปแล้วราคาสูงมาก และมีเพียงหญ้าหางจิ้งจอกหิมะระดับสามเท่านั้น ที่สามารถนำไปใช้ผลิตเป็นกระดาษจิ้งจอกหิมะระดับสี่ได้
ผู้อาวุโสเว่ยหนานทั้งรอบรู้และมุมานะ ในที่สุดค้นพบเคล็ดลับสำหรับเพาะปลูกหญ้าหางจิ้งจอกหิมะ และวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือปลูกรวมกับหญ้าผีเสื้อ
หญ้าผีเสื้อเป็นหญ้าปราณสามัญธรรมดาซึ่งพบมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีเพียงสัตว์ปราณที่เชื่องเชื่อและอดทนที่สุดเท่านั้นที่จะยอมรับประทานมัน ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วย่อมไม่มีผู้ใดเสียเวลาปลูกหญ้าชนิดนี้ แต่หากนำหญ้าผีเสื้อกับหญ้าหางจิ้งจอกหิมะมาปลูกไว้รวมกัน ความเร็วในการเจริญเติบโตของหญ้าหางจิ้งจอกหิมะจะเพิ่มสูงขึ้นมาก และหญ้าผีเสื้อสีม่วงอมฟ้าอันดาษดื่นสามัญ จะกลับกลายเป็นหญ้าผีเสื้อสีฟ้านภาที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง
หญ้าผีเสื้อสีฟ้านภานี้เป็นที่โปรดปรานอย่างลึกซึ้งของเหล่าสัตว์ปราณทุกชนิด โดยเฉพาะสัตว์ปราณชั้นสูงทั้งหลาย ดังนั้นราคาของหญ้าชนิดนี้ย่อมไม่ต่ำต้อย
หลายต่อหลายครั้ง จั่วม่ออดไม่ได้ ต้องรู้สึกหวาดเกรงผู้อาวุโสเว่ยหนานซึ่งมันไม่เคยพบหน้า ในม้วนหยกของผู้อาวุโสเว่ยหนานไม่มีเคล็ดวิชาลึกล้ำอันใด แต่กลับเต็มไปด้วยทักษะรอบตัวที่มีประโยชน์เช่นนี้ มากมายนับไม่ถ้วน ดังเช่นวิธีปลูกหญ้าผีเสื้อรวมกับหญ้าหางจิ้งจอกหิมะ มันรู้สึกว่าต่อให้เป็นเกษตรกรปราณผู้มากประสบการณ์ ฝีมือสูงส่ง ยังไม่อาจคิดหาวิธีการเช่นนี้ได้
บางทีอาจเป็นเพราะผู้อาวุโสเว่ยหนานไม่ได้มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสูงมากนัก ดังนั้นมันได้แต่ใช้ความมานะบากบั่นเกินคน เฝ้าทุ่มเทศึกษาสิ่งเหล่านั้นจนทะลุปรุโปร่ง
ทุกวี่วันจั่วม่อจะมุ่งมั่นร่ายเวทวิชาทั้งห้าใส่ต้นพืชที่ปลูกไว้ในทุ่งปราณ ภาระงานเพิ่มขึ้นมากมายกว่าที่มันคาดคิด แต่มันก็อดทนอดกลั้น ก้มหน้าก้มตาปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ พอนานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นเคยชินแล้ว
และทุก ๆ วัน ภายในห้องศิลา จั่วม่อยังคงพากเพียรฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดอย่างสม่ำเสมอ ที่ผ่านมามันไม่เคยล่วงรู้วิธีใช้งานพลังจิตสำนึกอันน่าอัศจรรย์ และไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นผลงานชัดตา ย่อมต้องมุ่งเน้นจดจ่อมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่ย้อนกลับไปเป็นเช่นในอดีต คือมันไม่รีบเร่งเข้าสู่ด่านจู้จีอีกต่อไป พลีงจิตสำนึกของมันเข้มแข็งกว่าแต่ก่อน แต่ยังมีช่องว่างมากมายสำหรับการปรับปรุงรากฐานพลังปราณ
ด้วยความช่วยเหลือของเส้นชีพจรปราณปฐพี ความก้าวหน้าของพลังปราณในร่างมัน ถึงกับรวดเร็วกว่าที่คาดคำนวณไว้
ด่านจู้จีอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว! จั่วม่อมีลางสังหรณ์เช่นนั้น ชัดเจนขึ้นทุกวัน
ตงฝู หอตงฝู
หอตงฝูเป็นที่พำนักของผู้ปกครองแห่งตงฝู ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับตงฝูเจินเหริน และยังคงใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ภายในหอจัดตั้งไว้ด้วยสวนสวรรค์ลับซึ่งใหญ่โตที่สุดในตงฝู และเป็นสวนสวรรค์ลับที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวในตงฝู สิ่งที่เรียกว่าสวนสวรรค์ลับที่ขายอยู่ตามท้องตลาด อันที่จริงเป็นเพียงสถานที่ซึ่งมีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นที่จะนับเป็นสวนสวรรค์ลับที่แท้จริงได้
หวีป๋ายค่อย ๆ ถอยออกจากสภาวะฌาน ประกายพึงพอใจฉายชัดในดวงตาอุ่นระอุของมัน พลังปราณธรรมชาติในหอตงฝูหนาแน่นมากกว่าด้านนอกหลายเท่า มันที่สามารถกลายเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตงฝู ส่วนใหญ่เป็นความดีความชอบของหอตงฝูแห่งนี้เอง
ผลลัพธ์ที่ได้จากการเข้าฌานประจำวันของมันเป็นสองเท่าหรือสามเท่าของผู้อื่น หลังจากสั่งสมมานานหลายต่อหลายปี ข้อได้เปรียบนี้มีแต่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ซือฟู่” เห็นท่านอาจารย์ของมันเดินเข้ามา หวีป๋ายรีบลุกขึ้นคารวะ
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เทียนซงจื่อถามพลางแย้มยิ้มอย่างเมตตา เทียนซงจื่อสวมใส่อาภรณ์นักพรต เส้นผมรวบตึงปักปิ่นไม้ไว้ด้านบน ตลอดทั้งร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายหลุดพ้นไร้กังวลชนิดหนึ่ง
“มั่นคงมากขึ้น แต่ยังห่างไกลจากด่านจินตัน”
“ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบร้อน” เทียนซงจื่อโบกมือ “เจ้ายังหนุ่มแน่น อย่าได้เร่งรีบเกินไป การเข้าสู่ด่านจินตันเป็นกระบวนการที่แน่นอนอยู่แล้ว ... เจ้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่บ้างหรือไม่?
หวีป๋ายชะงักกึก “ซือฟู่ใช่ต้องการให้ศิษย์เข้าร่วมงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่หรือไม่?”
แม้ว่ามันจะมีชื่อเสียงโด่งดังในตงฝู แต่อันที่จริงไม่มีความมั่นใจในการเข้าร่วมงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ ซึ่งเป็นการชุมนุมอันยิ่งใหญ่ตลอดทั้งแดนคุนหลุน และเท่าที่มันรู้เห็น ซือฟู่ที่จริงแล้วไม่เคยใส่ใจของรางวัลทางโลก ไฉนจู่ ๆ กลับสนใจงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ขึ้นมา
เทียนซงจื่อแย้มยิ้ม กล่าวว่า “รอให้ซือฟู่กล่าวให้จบเสียก่อน เหตุการณ์ภายในงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่นั้นนับว่าน่าชมดู แต่เราไม่จำเป็นต้องเกลือกกลั้วปลักน้ำสกปรกนี้ ที่ถามเพราะมีสาเหตุ” สีหน้ามันกลายเป็นตัดรอนไร้ไมตรี สายตากังวล กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้รับข่าวว่าสองในสามของมหานครนภาโลหิต ตกอยู่ในมืออสูรปิศาจเสียแล้ว”
“อา!” หวีป๋ายตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“อสูรปิศาจกำลังเริ่มฟื้นฟูความเข้มแข็ง” เทียนซงจื่อถอนหายใจ “ผ่านไปสามพันปีแล้ว เหล่าเยาม๋อได้พักฟื้น ปรับตัว และพัฒนาขึ้น พวกมันจะยังพึงพอใจที่ถูกสะกดข่มไว้อีกหรือ?”
หวีป๋ายสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง มันทราบดีว่านี่หมายความว่ากระไร
“เรื่องราวในอนาคตยากจะคาดเดา ตงฝูของข้าจะต้องเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ” เทียนซงจื่อกล่าวเสียงหนัก “ข้าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู หวังว่าจะสามารถเสาะหาผู้มีฝีมือได้บ้าง ใต้รังที่ถูกทำลายไม่หลงเหลือไข่สมบูรณ์ ข้าจะแจ้งต่อสำนักอื่น ๆ ทันที เวลานี้เป็นเวลาที่จะต้องรวมตัวกันเป็นแนวร่วมต่อสู้ เพื่อโอกาสที่จะเอาชีวิตรอดแล้ว”
หวีป๋ายเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ข้าเกรงว่าซือฟู่ทุ่มเทพยายาม แต่จะไม่ได้รับการตอบแทน”
“ความพยายามอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่ที่ฟ้า ข้ายังจะทำอันใดได้” เทียนซงจื่อทอดถอนพลางโบกมือ “ไปเถอะ จงร่างรายนามยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่น่าสนใจให้แก่ข้าด้วย”
“ทราบแล้วซือฟู่” หวีป๋ายน้อมกายคารวะ แล้วถอยออกไปด้วยสีหน้าวิตกกังวล