ตอนที่แล้วบทที่ 40 ช่วยเหลือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 หลอมกลั่นโอสถสำเร็จ

บทที่ 41 พลังแห่งจิตสำนึก


ปั้ง!

กลิ่นเหม็นไหม้ของวัตถุดิบพลุ่งออกมาจากกระถางหลอมกลั่น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องอีกครา

จั่วม่อหอบหายใจอย่างหนักหน่วง หลั่งเหงื่อโซมใบหน้าประดุจสายน้ำ ความพยายามครั้งที่สองก็ยังคงล้มเหลว! หนนี้มันอดทนต่อเนื่องถึงสามชั่วยาม แต่ก็ยังคงล้มเหลวจนได้ เปิดฝากระถาง มองลงไปยังเศษซากดำเกรียมที่อยู่ภายใน จั่วม่ออารมณ์ย่ำแย่เจียนระเบิด แต่ตอนนี้มันเหนื่อยราวกับสุนัขตาย ได้แต่จ้องมองด้วยดวงตาแห้งผาก

มันคิดมาตลอดว่าการหลอมกลั่นโอสถ เป็นงานที่อาศัยความเชี่ยวชาญทักษะ ไม่ใช่งานที่ต้องใช้ความแข็งแรงทางร่างกาย หากกระทั่งแค่หลอมกลั่นเม็ดยาราชันธัญพืชยังยากลำบากถึงเพียงนี้ แล้วต่อไปเม็ดยาระดับสูงเหล่านั้น มันจะไม่เผลอทำให้ตัวเองล้มตายเอากลางครันหรือ?

ในการทดลองหลอมกลั่นครั้งที่สองนี้ จั่วม่อมีความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่าครั้งแรก ข้อสงสัยของมันก่อนหน้านี้สมควรไม่ผิดพลาด มันยังใหม่ต่อวิชาหลอมกลั่นโอสถมากเกินไป ในกระบวนการจ่ายพลังปราณเข้าสู่แผ่นจานแปดทิศ มันควบคุมการไหลเวียนและคาดคะเนปริมาณพลังปราณได้ไม่ดีพอ จึงสิ้นเปลืองพลังปราณอย่างไร้ประโยชน์มากเกินไป หากพลังบำเพ็ญเพียรของมันอยู่ที่ด่านจู้จี กระบวนการหลอมกลั่นโอสถราชันธัญพืชนี้จะไม่ยากเย็นอันใด เนื่องจากมีปริมาณพลังปราณมากมายเกินกว่าส่วนที่สูญเสียไป แต่ที่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นเก้า เพียงแค่ควบคุมผิดพลาดเล็กน้อย พลังปราณก็ขาดพร่องทันที

ตามกระบวนการที่กล่าวไว้ในม้วนหยก ขั้นตอนการปรุงกลั่นใช้เวลาทั้งสิ้นห้าชั่วยาม

นั่นหมายความว่าอย่างน้อยมันต้องยืนหยัดจ่ายพลังปราณต่อเนื่องได้ถึงห้าชั่วยาม ช่องว่างระหว่างสามชั่วยามกับห้าชั่วยามกว้างใหญ่ไพศาล แม้ว่ามันจะครอบครองเส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องศิลา แต่ขั้นตอนการยกระดับขีดจำกัดพลังปราณเป็นกระบวนการที่เชื่องช้ายาวนาน ดูเหมือนว่ามันได้แต่ต้องพยายามฝึกฝนควบคุมพลังปราณเท่านั้น

ครู่ใหญ่ จั่วม่อลมหายใจกลับเป็นปกติ จิตใจคืนสู่ความกระจ่างแจ่มใส

มันขบคิดพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน อันที่จริงตัวมันไม่ควรอ่อนด้อยในเรื่องการควบคุมพลังปราณ เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเข้มงวดในเรื่องการควบคุมพลังปราณ แม้ว่าการเข้าสู่ขั้นที่สี่ของมันจะยากอธิบายอยู่บ้าง แต่จะอย่างไรหากมองแค่การควบคุมพลังปราณ ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่

พอไตร่ตรองดูอีกหน จั่วม่อรู้สึกว่าปัญหาสมควรอยู่ที่มันยังไม่คุ้นเคยกับการหลอมกลั่นโอสถมากเกินไป แต่หากจะให้ค่อย ๆ ทำความรู้จักมักคุ้นด้วยตัวเอง มิทราบว่าจะต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบมากมายถึงเพียงไหน? สิบชุดที่มันมีอยู่ ต่อให้ใช้ไปจนหมดสิ้นเกลี้ยงเกลา เกรงว่ายังไม่สามารถนับเป็นอะไรได้ กล่าวโดยสรุปคือมันไม่น่าจะบรรลุเงื่อนไข หลอมกลั่นเม็ดยาราชันธัญพืชห้าเม็ดก่อนสิ้นเดือนได้

ว่ากันว่าเวลาที่เหล่าต้า(ลูกพี่ใหญ่)รับลูกสมุนคนใหม่ ยามแรกพบปะเสวนา พวกมันมักจะสำแดงฤทธาเพื่อเป็นการข่มขวัญ โอ้ นี่ใช่เป็นการแสดงฤทธาของซือฟู่หน้าเย็นชาของมันหรือไม่?

มันคิดอย่างนึกขัน

 

กลับไปยังลานน้อยลมตะวันของมัน จั่วม่อไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากอาหาร หลังจากเข้าฌานฟื้นฟูพลังปราณแล้ว มันก็ปีนขึ้นไปบนหลังคา ยังไตร่ตรองถึงความสลับซับซ้อนในวิชาหลอมกลั่นโอสถ

แสงจันทร์อาบไล้ลงมาประหนึ่งสายธาราหลั่งริน ทาบทาทั้งหุบเขาเรืองรองละมุนละไม ด้านข้างจั่วม่อ ห่านจะงอยเทายืนอย่างเงียบงันบนหลังคา ข้างเท้าจั่วม่อเป็นแมลงทองทมิฬที่ปีนไต่ซุกซนไปรอบ ๆ หลังจากกลายเป็นระดับสี่ สติปัญญาของมันสูงขึ้นมาก มักจะติดตามป้วนเปี้ยนรอบกายจั่วม่ออยู่เป็นนิจ

ทันใดนั้น จั่วม่อรู้สึกว่ามีบางอย่างบินใกล้เข้ามา มันเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ และมองไปยังปากทางเข้าหุบเขา

กระเรียนน้อยสีชมพูตัวหนึ่งหมุนร่อนลงมาจากกลางนภายามวิกาล

ด้านบนหลังคา จั่วม่อใจหายวาบ ฟื้นคืนสติจากความตื่นตะลึงในทันที มันรู้สึกหนังศีรษะชาซ่าน วิชาหลอมกลั่นโอสถปลิววับไปจากหัว สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในใจ บัดซบ! ไฉนสตรีน่าตายผู้นี้หวนกลับมาอีกแล้ว?

เช่นเดียวกับหนสุดท้ายที่พบกัน นกกระเรียนกระดาษสีชมพูคลี่ตัวเองออกอย่างเฉิดฉายเบื้องหน้าจั่วม่อ

“ท่านปู่ของข้า เจ้าคิดถึงผู้อื่น*หรือไม่? ฮิ ฮิ ผู้อื่นคิดถึงท่านปู่เหลือเกิน”

(*ในที่นี้ผู้หญิงเรียกแทนตัวเองด้วยคำว่า เหรินเจีย หรือ ผู้อื่น ซึ่งที่จริงเป็นสรรพนามบุรุษที่สาม มักใช้ออดอ้อน ประมาณคำว่า เค้า นั่นแหละ คิดถึงเค้ามั้ย เค้าคิดถึงตัวเองจัง)

มองแผ่นกระดาษที่ลอยอยู่ตรงหน้า จั่วม่อบังเกิดความต้องการอย่างรุนแรง ที่จะเตะมันให้กระเด็นออกไปจากภูเขาสุญตา!

สงบใจไว้ ต้องเยือกเย็นเข้าไว้!

สะกดกลั้นแรงกระตุ้นอยากใช้ความรุนแรงที่กระพืออยู่ภายใน จั่วม่อพ่นคำสบถสาปแช่งออกมาเป็นชุดอย่างเดือดดาล

“สตรีที่สมควรตาย! เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่! เจ้าก็เพียงแค่เบื่อหน่าย ไม่มีสิ่งใดจะกระทำ แต่มาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า เจ้ามันวิกลจริต... ...”

สบถด่ายาวเหยียดไม่ขาดสายนานร่วมหนึ่งก้านธูป จั่วม่อสาบานว่าลำคอของมันแห้งผาก ความขุ่นข้องในใจบรรเทาไปบ้าง มองแผ่นกระดาษสีชมพูที่ยังคงลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า จั่วม่อผู้ที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองโวยวาย กลายเป็นรันทดหดหู่ขึ้นมาทันที มันคว้ากระดาษสีชมพูอย่างอับจนหนทาง กระโดดลงจากหลังคา ค้นหาพู่กันขนพังพอน จุ่มลงไปในตลับชาด

“มีเรื่องอันใด?”

โยนพู่กันทิ้งไปด้านหนึ่ง จั่วม่อพับกระดาษกลับเป็นนกกระเรียน โยนมันออกไปนอกหน้าต่าง แม้ว่าจะกำจัดเจ้านกกระเรียนให้พ้นหน้าไปได้ แต่จั่วม่อยังคงสลดใจอย่างไร้หนทางแก้ไข

กับเจ้าของนกกระเรียนกระดาษผู้นี้ มันไม่มีปัญญาทำอะไรได้ มันไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้หนึ่งจะเบื่อหน่ายได้ถึงเพียงนี้ แต่สตรีคลุ้มคลั่งซึ่งขี้เบื่ออย่างยิ่งผู้นี้กลับมีพลังฝีมือเหนือล้ำกว่ามันมาก เพียงนางอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ก็จะใช้กำลังอันดุร้ายกำราบมันโดยตรง

เมื่อใดที่เกอแข็งแกร่งขึ้น คอยดูว่าเกอจะจัดการกับเจ้าอย่างไร! จั่วม่อขบกรามแน่น

อย่างรวดเร็วมาก กระเรียนกระดาษสีชมพูอีกตัวหนึ่งบินมาถึง

“อย่าทำกิริยาเช่นนี้กับผู้อื่นได้หรือไม่! ผู้อื่นเจ็บปวดใจนัก ...ท่านปู่ของข้า เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

ถ้อยคำเหลวไหลไร้สาระกระไรเช่นนี้ จั่วม่อสรุปทันที แต่ยังคงหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

“หลอมกลั่นโอสถ”

หุบเขาลมตะวันตก กระเรียนกระดาษตัวน้อยบินเข้าออกแทบไม่ขาดสาย

“อ๊า หลอมกลั่นโอสถ! น่าสนุกจัง! ผู้อื่นไม่เคยเล่นมาก่อนเลย รู้แค่วิธีพับกระเรียนกระดาษ!”

เจ้าทราบแต่วิธีพับกระเรียนกระดาษเท่านั้นเองหรือ? จั่วม่อเมื่อเห็นประโยคนี้ ใบหน้าก็มืดครึ้มในทันที มันเขียนกลับไปด้วยพู่กัน “ไม่ใช่กระมัง เจ้ายังสามารถวาดยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาทด้วย”

“ฮิฮิ ที่จริงผู้อื่นไม่ค่อยถนัดยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาทเท่าใด สิ่งที่ผู้อื่นมีฝีมือที่สุด เป็นยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาทสามสิบหกห่วงโซ่ต่างหากเล่า”

นี่มัน... ภัยคุกคาม คำข่มขู่! นี่แน่นอนสตรีนางนี้กำลังข่มขู่คุกคามมันชัดๆ !

จั่วม่อกำหมัดแน่นจนกระดูกลั่นกร๊อบ เค้นเสียงลอดไรฟัน “เกอจะทน!”

ความเป็นจริงช่างโหดร้าย ภายใต้พลังคุกคามของยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาทสามสิบหกห่วงโซ่ จั่วม่อได้แต่กล้ำกลืนโทสะ และเขียนตอบกลับไปอย่างว่าง่าย

“สำหรับกุลสตรี หญิงสาวในหอห้อง การรบราฆ่าฟันไม่ใช่สิ่งที่ดี”

“แต่ผู้อื่นเป็นกุลสตรีจริง ๆ นะ ฮิฮิ ผู้อื่นชมชอบเฝ้าดูดอกไม้ไฟ เป้าหมายของผู้อื่นเป็นหนึ่งร้อยแปดห่วงโซ่!”

ดอก...ไม้ไฟ... ...

จั่วม่อรู้สึกสลดหดหู่ยิ่ง จิตใจอันบอบบางของมันถูกโจมตีอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ตลอดทั้งราตรี จั่วม่อย่อมไม่เหลือเวลาให้นึกถึงวิชาหลอมกลั่นโอสถอีกแล้ว กระเรียนกระดาษสีชมพูประดุจฝันร้ายอันไร้ที่สิ้นสุด บังคับให้จั่วม่อได้แต่เขียน และเขียนต่อไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งรุ่งเช้า ภายใต้ประโยค “ผู้อื่นจะเข้านอนแล้ว” ของนาง จั่วม่อผู้ถูกทรมานทรกรรมจนชาด้านไปทั้งร่าง ค่อยได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ มันรู้สึกว่าการตอบจดหมายตลอดทั้งคืนนั้นเหน็ดเหนื่อยอย่างสุดแสน เหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าหลอมกลั่นโอสถตลอดทั้งคืนเสียอีก

จั่วม่อก้มลงไปตักน้ำอันเย็นฉ่ำ ล้างหน้าล้างตา จากนั้นไปยังทุ่งปราณ แตกต่างจากเวทวิชาอื่น ๆ การเสกเรียกฝนต้องทำเกือบทุกวัน ในสภาวะสับสนมึนงง จั่วม่อร่ายเคล็ดเมฆฝนหล่นริน เสียงน้ำหยดเริ่มดังขึ้น จิตใจมันล่องลอยไปไกล เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเป็นเวทวิชาที่มันช่ำชองที่สุด แม้ว่าจะหลับตาร่าย มันยังคงสามารถร่ายออกมาได้ไม่ต่างกัน

พลังปราณแห่แหนมารวมตัวกันที่มือทั้งคู่ของมัน ระหว่างก้อนเมฆกับสองมือ มีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมพิสดารชนิดหนึ่ง

สายฝนกระหน่ำเทลงมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จั่วม่อแปรเปลี่ยนกระบวนท่า ปรับกระแสพลังปราณไปตามสัญชาตญาณ มันชำนาญเวทวิชานี้มากเกินไป แทบไม่จำเป็นต้องจ่ายพลังปราณไปยังทุกจุดทุกขั้นตอน

ประเดี๋ยวก่อน!

จั่วม่อสะดุ้งสุดตัว ผวาตื่นจากความมึนงงทันที ตระหนักว่าเพิ่งค้นพบสิ่งที่สำคัญมากประการหนึ่ง

ที่แท้มันไม่จำเป็นต้องจ่ายพลังปราณไปยังทุกตำแหน่งหรือทุกขั้นตอน!

มันรู้สึกว่ามองเห็นประเด็นสำคัญอยู่รำไร ไม่กล้าเพิกเฉย รีบครุ่นคิดสืบต่อ เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเป็นเวทวิชาที่มันช่ำชองชำนาญดุจดั่งมือเท้าของตน คุ้นเคยกับทุกส่วนประกอบทุกขั้นตอนถึงที่สุด มันค่อย ๆ คิดแยกแยะออกมาอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนท่าดัชนีแรกในเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ต่อมารวบรวมละอองน้ำกลายเป็นก้อนเมฆ จนกระทั่งกลั่นตัวตกลงมาเป็นสายฝน ปริมาณพลังปราณในแต่ละกระบวนท่า แต่ละขั้นตอน ล้วนแตกต่างกัน บางขั้นตอน ดังเช่นในยามที่น้ำฝนตกลงมาแล้ว มันแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณใด ๆ เลย เพียงแค่คอยชี้นำเล็กน้อยเท่านั้น

ยิ่งคิดจั่วม่อก็ยิ่งตื่นเต้น อาการง่วงนอนปลาสนาการไปสิ้น

ต่อให้ร่ายเวทวิชาอันใด ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยพลังปราณออกมาโดยไม่ขาดสายตลอดเวลา ร่ายเวทวิชามีหนักมีเบา มีขึ้นมีลง มีผ่อนมีเร่ง มีหน่วงปราณไว้ มีอัดกระแทกปราณออกมาในรวดเดียว ทุกอย่างมีจังหวะจะโคนเฉพาะตัว

หากกระบวนการหลอมกลั่นโอสถเป็นเช่นเดียวกันกับการร่ายเวทวิชา ก็ย่อมมีจุดที่ไม่ต้องใช้พลังปราณ มีบางขั้นตอนที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายพลังปราณเข้าไป มีจังหวะจะโคนเฉพาะตัวเช่นกัน ยิ่งวิเคราะห์มากเท่าไร จั่วม่อก็ยิ่งรู้สึกว่านี่มีเหตุผลอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าการที่มันคอยจ่ายพลังปราณเข้าไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เป็นการกระทำที่โง่เขลาถึงเพียงไหน

จั่วม่อใจชื้นขึ้นบ้าง เมื่อทำความเข้าใจกับทิศทางได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือแยกแยะ ค้นหาตำแหน่งหรือขั้นตอนในกระบวนการที่จำเป็นต้องจ่ายพลังปราณ และหาตำแหน่งกับขั้นตอนที่สามารถประหยัดพลังปราณ

คำถามนี้ทำให้มันต้องกลับมาจมอยู่ในห้วงความคิดอีกครา มันช่ำชองชำนาญเคล็ดเมฆฝนหล่นรินอย่างยิ่งยวด ดังนั้นสามารถแยกแยะหาตำแหน่งที่ต้องการ หรือไม่ต้องการพลังปราณได้อย่างง่ายดาย แต่มันแทบไม่รู้จักขั้นตอนหลอมกลั่นโอสถ เพื่อหาวิธีประหยัดพลังปราณ เริ่มแรกมันจำเป็นต้องรู้จักคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมดเสียก่อน แต่เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมด ย่อมหมายความถึงการผลาญใช้วัตถุดิบจำนวนมาก

สุดท้ายยังคงวกกลับมาสู่ปัญหาเดิม!

น่าเสียดายที่มันไม่ได้มีจิงสือหลงเหลืออยู่เลย

จั่วม่อหน้าก้อนหินฝืนยิ้มในใจ ปัญหากลายเป็นเรื่องยากอีกหน

มีหนทางเร่งเพิ่มพูนเฉพาะพลังปราณเพียงอย่างเดียวหรือไม่? นี่ช่างไม่ตรงกับความเป็นจริงเอาเสียเลย เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด เป็นเพียงเคล็ดวิชาเพิ่มพูนพลังจิตสำนึกเท่านั้น

ทันใดนั้น มันหัวใจไหววูบ พลังจิตสำนึก? บางทีมันอาจทดลองด้วยพลังจิตสำนึก!

เมื่อจิตสำนึกของมันทวีความเข้มแข็งขึ้น การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงที่สุดก็คือ มันกลายเป็นมีความรู้สึกไวต่อทุกสิ่งรอบข้าง ดังเช่นอาคมหวงห้ามชั้นสูงบางค่ายกล แต่เดิมเวลามันผ่านอาคมหวงห้ามเหล่านี้ มันไม่เคยรู้สึกอันใด แต่เวลานี้มันสามารถตรวจพบเจตนาฆ่าฟันที่ทั้งรุนแรงทั้งอันตราย ซ้ำยังหนาแน่นจนแทบปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมาท่ามกลางเหล่าอาคมหวงห้าม

พลังจิตสำนึกใช้ทำอะไร? เป็นคำถามที่มันเฝ้างุนงงสงกามานาน นอกเหนือจากใช้ร่วมกับเคล็ดทองคำคร่ำคร่าแล้ว มันก็ไม่เคยล่วงรู้ว่าจะใช้งานพลังจิตสำนึกได้อย่างไร สิ่งที่เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดฝึกปรือก็คือพลังแห่งจิตสำนึก การเพิ่มพูนพลังปราณเป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น ตั้งแต่ที่มันหันมาฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด การเพิ่มพูนพลังจิตสำนึกก็ก้าวล้ำความคืบหน้าด้านพลังปราณไปไกลโข

บางทีมันสมควรขบคิดเกี่ยวกับวิธีการใช้งานพลังจิตสำนึกบ้าง จั่วม่อรู้สึกว่านี่เป็นจุดที่น่าสนใจทีเดียว

จั่วม่อใช้เวลาตลอดทั้งวัน ร่ายเวทวิชาทั้งห้าประเภทในทุ่งปราณ

ที่แตกต่างกับทุกวัน คือวันนี้มันไม่ได้มุ่งเน้นที่การร่ายเวทวิชา  แต่ทุ่มเทพลังจิตสำนึกเพื่อตรวจจับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง ตลอดกระบวนการร่ายเวททั้งหมด

วิธีการนี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด จั่วม่อประหลาดใจอย่างมากกับผลลัพธ์ที่ได้!

แต่ละขั้นตอน แต่ละการเปลี่ยนแปลง ในการไหลเวียนของพลังปราณในแต่ละครั้ง ภายใต้การเพ่งพิศของพลังจิตสำนึก กลับกลายเป็นกระจ่างชัดละเอียดอ่อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันกระทั่งสามารถรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนพลังปราณขนาดบางเบาเท่าเส้นผมเส้นหนึ่ง

นี่ราวกับว่ามันนอนทับอยู่บนภูเขาสมบัติ แต่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน! จั่วม่อขุ่นเคืองใจไม่น้อย หากมันล่วงรู้วิธีใช้พลังจิตสำนึกเร็วกว่านี้ เวทวิชาทั้งหมดของมันคงเข้าสู่ขั้นที่สามเสียตั้งนานแล้ว

สภาวะนี้พิสดารยิ่ง จิตวิญญาณสงบสุข บริสุทธิ์ และปลอดโปร่งกระจ่างใส

ภายใต้การชี้นำของพลังจิตสำนึก จั่วม่อมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนอันละเอียดยิบย่อยในแต่ละเวทวิชา มันไม่ยอมพลาดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในพลังปราณ วิธีการเพิ่มผลกระทบ วิธีการประหยัดพลังปราณ วิธีการบังคับให้ไหลเวียน... ...

มันประหนึ่งช่างก่ออิฐหรือศิลปินผู้หนึ่ง ตั้งใจรังสรรค์วิถีการเปลี่ยนแปลงลงในผลงานของตนอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ คลำหาไปทีละเส้นทีละสาย ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย ทดลองไปทีละนิด มันไม่ทราบเลยว่าในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ดาราเดียวดายดวงนั้นกลับกลายเป็นยิ่งสว่างไสวขึ้นกว่าที่เคยเป็น เด่นกระจ่างอยู่ท่ามกลางความมืดมน ทะเลเพลิงแดงฉานที่เคยเต้นระริกกลับเงียบงันอย่างน่าประหลาด นิ่งสงบไม่ไหวติง มีเพียงธารน้ำแข็งยังคงไหลอย่างแช่มช้าโดยไม่สะทกสะท้าน

บนป้ายหินสุสานที่ปกคลุมด้วยเมฆดำ ผูเยาเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มเย็นเฉียบดุจคมมีด

“นี่หรือคนที่เจ้าเลือก? เบิ่งตาดูดี ๆ สิ ดวงตาของเจ้ายังคงเส็งเคร็งเช่นเคย!”

กล่าวจบก็ปิดดวงตาสีโลหิตลงอีกครา ดิ่งลึกเข้าสู่สภาวะฌาน

------------------------------------------------------------------------

เทพมารฯ รำพึง :

1. เกี่ยวกับแม่สาวกระเรียนกระดาษคนนี้ ตัวนางเองสับสนจนผู้แปลก็ชักสับสนบ้างล่ะ นางแทนตัวจั่วม่อว่าท่านปู่หรือเหยีย ก็เพราะทีแรกจั่วม่อไปกวนบาทานางว่างั้น แต่การเรียกแทนตัวเองของนางนี่แหละที่ชวนสับสน บางทีโผล่มาทีนึงนางก็แทนตัวเองว่าผู้อื่น โผล่มาอีกทีดันแทนตัวเองว่าบ่าว คือนางอ้อนมากอ่ะ 5555 ซึ่งถ้าอ่านแต่ภาษาอังกฤษจะไม่รู้เลย เพราะมีแต่ I คำเดียว ไม่รู้ลุงฟางเซี่ยงแกสับสนหรือจงใจ แต่สรุปว่าเพื่อตัดปัญหา ผู้แปลจะให้นางใช้คำแทนตัวว่า ผู้อื่น ไปเลยแล้วกัน

2. ในเรื่องเหมือนไม่ได้บอกไว้ชัดเจน แต่หลายท่านน่าจะเดาได้แล้วล่ะว่า เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดน่าจะไม่ใช่วิชาของซิวเจ่อ แต่เป็นวิชาของเยาหรือเผ่าอสูรนั่นแหละ บอกไว้เผื่อใครยังไม่รู้ ฮาๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด