บทที่ 40 ช่วยเหลือ
บนเสื่อในห้องศิลา จั่วม่อนั่งเข้าฌานสงบงัน ไม่ไหวติง
ปราณธรรมชาติอันหนาแน่นถาโถมเข้าสู่ร่างกายของมัน ผ่านเส้นชีพจรตูม่าย*จุดที่ยี่สิบสี่ บริเวณเชิงผมตรงหน้าผาก เส้นชีพจรเริ่นม่าย**จุดที่สิบเจ็ด ตรงกึ่งกลางราวนม และชีพจรชงม่าย***จุดที่หนึ่งบริเวณไต โดยเฉพาะเข้าสู่ชีพจรตูม่ายมากมายเป็นพิเศษ
เมื่อพลังปราณผ่านเข้าไปในร่าง ความรู้สึกเย็นสบายอันเบาบางแผ่ซ่านไปทั่ว น่ารื่นรมย์ไม่น้อย หลังจากที่จั่วม่อสำเร็จขั้นลมหายใจแรก การหายใจผ่านจมูกปากก็หลงเหลือความสำคัญไม่มากนัก ยามนี้จุดชีพจรของมันเปิดออกเพียงสามจุด หากมันสามารถบรรลุถึงขั้นลมหายใจที่สิบ ไม่เพียงแต่จุดชีพจรทั้งสามร้อยหกสิบเอ็ดจุดจะเปิดออกทั้งหมด กระทั่งรูขุมขนทั่วร่างยังจะหลุดจากพันธนาการ ไม่ถูกปิดกั้นอีก สามารถบรรลุถึงขั้นลมหายใจหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
(* ** *** ชีพจรตูม่าย เริ่นม่าย ชงม่าย เป็นสามในแปดเส้นชีพจรพิเศษทั้งแปด)
แน่นอนว่ามันในตอนนี้ยังอยู่ห่างไกลสุดกู่จากสภาวะนั้น พลังแห่งจิตสำนึกของมันเพิ่มพูนขึ้นไม่ขาดสาย แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ มันยังค้นไม่พบว่าพลังแห่งจิตสำนึกสามารถมีประโยชน์ใช้งานอย่างไรได้บ้าง สิ่งที่จำเป็นสำหรับมันตอนนึ้คือพลังปราณ สั่งสมพลังปราณอย่างต่อเนื่อง หวังว่าจะเข้าสู่ด่านจู้จีในเร็ววัน
ครั้นเมื่อถอยออกจากฌาน ลมหายใจของจั่วม่อพวยพุ่งออกมาดุจลูกธนู
ไม่ทราบว่าศิษย์พี่กำลังทำสิ่งใดอยู่ในถ้ำกระบี่? ความคำนึงนี้จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นในใจอย่างกะทันหัน
อันที่จริงจั่วม่ออิจฉาวิถีทางที่ศิษย์พี่เลือกเดินยิ่งนัก นั่นเพียงแค่ต้องทุ่มเทใส่ใจกับสิ่งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งพอ ว่าวิถีทางของศิษย์พี่เพียงเหมาะกับศิษย์พี่ หาได้เหมาะสมกับมันไม่ ดังนั้นแม้ว่าจะริษยา แต่มันจะไม่เลียนแบบ เพียงกระทำไปตามที่มันต้องการเท่านั้น มันมักรู้สึกว่าตนไม่มีพรสวรรค์มากนักในเรื่องกระบี่ หากไม่ใช่เพราะการคงอยู่ของผูเยา ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเจตจำนงกระบี่ แต่กระทั่งจะลองทำตามอย่างที่ศิษย์พี่ทำ ยังเป็นไปไม่ได้
ฝีมือของจั่วม่ออยู่ในสายเบญจธาตุ
นอกเหนือจากเคล็ดทองคำคร่ำคร่าที่ได้รับความช่วยเหลือจากผูเยาแล้ว อีกสี่เวทวิชาที่เหลือมันล้วนเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นมันกระตือรือร้นมากขึ้นในห้าธาตุ บางคราวยังเคยคิดว่าแต่เดิมมันใช่เป็นเซียนสัญจรผู้หนึ่งหรือไม่?
มีแต่เหล่าเซียนสัญจรเท่านั้นจึงจะชื่นชอบในเวทวิชาสายเบญจธาตุ
อย่างไรก็ตาม ต่อให้มันเคยเป็นเซียนสัญจร มันก็คงเป็นเซียนสัญจรไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่เป็นที่รู้จัก และมีชีวิตอยู่ในระดับต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไฉนมันจึงต้องถูกเปลี่ยนรูปโฉมและลบล้างความทรงจำด้วยเล่า? จั่วม่อกำหมัดเกร็งแน่นโดยไม่รู้ตัว
ถอยออกจากถ้ำศิลาอย่างระมัดระวัง มันกลับไปยังปากโพรง แสงแดดภายนอกแผดจ้าจนต้องหยีตาลง แต่ความอบอุ่นก็พลอยทำให้อารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว เดินต่อไปยังทุ่งปราณ มองดูเหล่าสมุนไพรปราณที่เติบโตอย่างแข็งแรง อารมณ์ของมันยิ่งดีมากขึ้นกว่าเดิม
เกษตรกรปราณเป็นอาชีพที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างการทำงานกับผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุด ยิ่งท่านทุ่มเทความมานะบากบั่นและทำงานหนักมากเท่าใด ความสุขในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ก็จะยิ่งทำให้ชีวิตดูเต็มไปด้วยความหวังมากเท่านั้น แม้แต่เหล่าเฮยที่มีชีวิตย่ำแย่ ยังยิ้มแย้มจนแก้มปริเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว
จั่วม่อคำนวณระยะเวลาในใจ วงจรรอบใหม่ของฤดูเพาะปลูกข้าวปราณสมควรจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า บ้านหลังเก่าของมันยกให้แก่เหล่าเฮยไปแล้ว เหล่าเฮยเฝ้าโหยหาทุ่งนาปราณห้าหมู่ผืนนั้นมาเป็นเวลานาน นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทน หากไม่ใช่เพราะเหล่าเฮยมันคงไม่ได้รู้จักกับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง และด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นพื้นฐาน มิตรภาพระหว่างมันกับเหล่าเฮยก็ย่อมพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ
ด้วยความที่ไม่มีเรื่องราวจะกระทำ จั่วม่อพอคิดขึ้นมาได้ จึงอยากจะออกไปดูเหล่าเฮยเสียหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่พบผู้ใดอยู่ในบ้าน จั่วม่อเดาว่าเหล่าเฮยอาจจะไปยังท้องทุ่งนาปราณผืนใหญ่ จึงมุ่งหน้าไปยังท้องทุ่งนาปราณนั้นด้วย
และก็เป็นไปตามที่คิดไว้ มันพบเหล่าเฮยอยู่ที่ทุ่งนาปราณจริง ๆ ยังมีกัวหลูอีกผู้หนึ่ง อย่างไรก็ตามศิษย์พี่กัวหลูซึ่งเวลานี้กลายเป็นศิษย์น้องกัวหลู ทำให้มันรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะอายุเท่าใด พลังบำเพ็ญเพียรขั้นไหน ศิษย์ฝ่ายนอกล้วนต้องเรียกหาศิษย์ฝ่ายในเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิงโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะสำนักใดก็ล้วนแล้วแต่ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
เหล่าเฮยพอพบเห็นจั่วม่อ สีหน้าก็เบิกบานใจ รีบทักทาย “เสี่ยวม่อเกอ”
ดูเหมือนว่าอาการเจ็บป่วยของกัวหลูทุเลาหายดีแล้ว มันไม่ค่อยคุ้นเคยกับจั่วม่อเท่าใด จึงคำนับทักทายอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่จั่ว”
จั่วม่อรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่โดยคนที่อายุมากกว่ามันมาก โชคดีที่ใบหน้าของมันแข็งทื่อไร้อารมณ์ ไม่มีอะไรให้พบเห็น
“ข้าวปราณของเหล่าเฮยเจริญงอกงามดีเหลือเกิน” จั่วม่อกวาดตาสำรวจทุ่งนาปราณรอบหนึ่ง แล้วอดชมเชยไม่ได้ มันผนึกปางมือร่ายเวทวิชาอย่างสงบ ก้อนเมฆลอยขึ้นในฉับพลัน จากนั้นเส้นใยสีเงินก็หลั่งรินลงมาไม่ขาดสาย
เหล่าเฮยยิ้มร่า สีหน้าปลาบปลื้มยินดี ความนับถือเลื่อมใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกัวหลู เคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สี่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ
กัวหลูเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เหตุการณ์ใหญ่ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสำนัก มันย่อมเคยได้ยินมาจากเหล่าเฮย
ภายในปีเดียว สามศิษย์ฝ่ายนอกกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน สำนักไม่เคยเฟื่องฟูถึงเพียงนี้มาก่อน บรรดาศิษย์ฝ่ายนอกได้รับแรงกระตุ้นอย่างใหญ่หลวง หลายต่อหลายคนเริ่มมุมานะทำงานหนักมากยิ่งขึ้น
กัวหลูลอบเพ่งพิศเสี่ยวซือซยงผู้นี้อย่างตั้งอกตั้งใจ จั่วม่อเสี่ยวซือซยง ศิษย์พี่อายุเยาว์จั่วม่อผู้นี้ เป็นศิษย์ฝ่ายในผู้มีพลังฝึกตนต่ำเตี้ยที่สุดในสำนัก เป็นเพียงศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง ยังไม่ทันจะบรรลุถึงด่านจู้จีด้วยซ้ำ! แต่อัจฉริยะภาพของมันทำให้เสี่ยวซือซยงผู้นี้ผ่านเกณฑ์ขึ้นไปได้อย่างสะดวกดาย สามารถครอบครองป้ายหยกชุนหยาตั้งแต่ยังอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ กัวหลูไม่เคยได้ยินเรื่องน่าแตกตื่นเช่นนี้มาก่อน
วิชาที่กัวหลูมีฝีมือมากที่สุดคือเคล็ดทองคำคร่ำคร่า มันมุมานะฝึกปรืออย่างหนักหน่วงมาหลายปี แต่ไม่เคยมีปัญญาบรรลุขั้นที่สาม พอมองไปยังศิษย์พี่อายุเยาว์ผู้กลายเป็นเกษตรกรปราณเรียบร้อยแล้ว หัวใจมันก็สะท้านสั่นไหวขึ้นมา
นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ มันอดอิจฉาเหล่าเฮยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่เหวยเสิ้งหรือศิษย์พี่จั่วม่อ พวกมันล้วนมีความสัมพันธ์อันดีงามกับเหล่าเฮย เมื่อน้ำขึ้นก็ย่อมพาเรือให้สูงขึ้นตาม เหล่าเฮยยามนี้เป็นที่นับหน้าถือตาไม่น้อยในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก แต่เหล่าเฮยยังคงสัตย์ซื่อและติดดินอย่างยิ่ง และยังคงเพาะปลูกข้าวปราณของมันไป ไม่มีอันใดแตกต่างไปจากเดิม
กัวหลูได้รับบาดเจ็บในคราวนั้น เนื่องจากช่วยเหลือเหล่าเฮยเอง และเหล่าเฮยก็คอยดูแลมันในยามที่มันต้องพักรักษาตัว พวกมันจึงเพาะสร้างความสัมพันธ์อันดีงามขึ้นมา
“นี่คือไส้เดือนตลบโคลนสองตัว มันทำอะไรไม่ได้มากมายนักหรอก แต่ใช้ไถพรวนทุ่งนาปราณ มีประโยชน์ไม่น้อย” จั่วม่อส่งกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ให้ทั้งคู่ ที่บรรจุอยู่ด้านในย่อมเป็นไส้เดือนตลบโคลน มันไม่ได้คาดคิดว่ากัวหลูก็อยู่ด้วย แต่จะอย่างไรไส้เดือนตลบโคลนก็มีมากเกินพออยู่แล้ว
ทั้งสองคนรีบขอบคุณ
กัวหลูเห็นจั่วม่อกำลังจะจากไป หลังจากต่อสู้ภายในใจและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโพล่งถามออกมา “เสี่ยวซือซยง เคล็ดทองคำคร่ำคร่าของข้าติดค้างอยู่ที่ขั้นที่สอง ได้โปรดเถิด ศิษย์พี่กรุณาชี้แนะข้าด้วย กัวหลูจะจดจำบุญคุณไปจนตาย”
จั่วม่อประหลาดใจ แต่ยังคงชะงักเท้า มันนับถืออดีตศิษย์พี่ผู้คล้ายชาวนาเฒ่าผู้นี้ ที่เคยยืนหยัดแก้ปัญหาในคราวที่แล้ว อีกทั้งเวลานี้ รายได้ของตนไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรบางอย่างเช่นการเสกเรียกฝนอีกแล้ว ดังนั้นระหว่างพวกมันจึงไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ อันที่จริงค่อนข้างตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ หากกัวหลูสามารถทะลวงเข้าสู่เคล็ดทองคำคร่ำคร่าขั้นสามได้จริง กัวหลูจะสามารถช่วยเหลือมันจัดการปัญหาศัตรูพืชในสำนักได้อีกมากมาย
ขบคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดนี้ มันตกลงใจช่วยเหลือกัวหลูสักครา “ฆ่าแมลงยังคงฆ่าอยู่ ธาตุทองหัวใจหลักคือการเข่นฆ่า เคล็ดทองคำคร่ำคร่าที่แท้เป็นวิถีทางแห่งการสังหาร สังหารอย่างไร? มีวิถีทางนับไม่ถ้วนในด้านนี้ การเพิ่มอำนาจให้พลังปราณทองคำคร่ำคร่า ท่านสามารถแปรเปลี่ยนได้หลากหลายเส้นทาง แต่หากสามารถหลอมรวมวิถีสังหารแนวทางอื่นลงไปในปราณทองคำได้สำเร็จ เท่ากับลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง”
กัวหลูรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เกรงว่าจะพลาดคำใดไป เมื่อจั่วม่อกล่าวจบ มันถูกตรึงอยู่กับที่ ร่างแข็งทื่อ สีหน้าเลื่อนลอย จมลงสู่ห้วงความคิดอันลึกล้ำ
เห็นเช่นนั้น จั่วม่อก็จากไปเงียบ ๆ
ออกจากท้องทุ่งนาปราณ จั่วม่อมุ่งหน้าไปยังดอยตะวันออก ความเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดทำให้รู้สึกเหมือนเป็นช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน แม้แต่มันเองยังไม่สบายใจอยู่บ้าง เหล่าศิษย์สตรีดอยตะวันออกหมายจะพึ่งพามัน แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่ามันจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในรวดเร็วถึงเพียงนี้ หากว่ากันตามปกติ มันย่อมไม่สามารถดูแลพวกนางได้อีกต่อไป แต่มันเมื่อรับประโยชน์จากผู้อื่นมาแล้ว แมลงทองทมิฬของมันก็เป็นพวกนางมอบให้ ดังนั้นจั่วม่อตัดสินใจช่วยเหลือพวกนางบางเรื่อง
เมื่อเสี่ยวกั่วพบเห็นจั่วม่อ สีหน้าแปลกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้ารูปผลผิงกว่อของนาง นางรีบทักทายอย่างขลาดอาย “ศิษย์พี่!”
วัวทองแดงเขาทองยังคงเคี้ยวเอื้องอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้ชายตามองจั่วม่อเลยสักนิด
จั่วม่อรู้สึกอับจนหนทางอยู่บ้างกับแม่นางน้อยผู้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าขลาดอายบนใบหน้านาง
คราวก่อนที่มันต่อสู้จนสิ้นสติ แม่นางน้อยผู้นี้หวาดกลัวแทบตาย แต่ก็ยังยืนกรานเสี่ยงชีวิตปกป้องมัน เมื่อมันได้ยินเรื่องนี้จากผู้อื่นทีหลัง ต้องสะท้านใจไม่น้อย และรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณนาง
“เป็นไร? เห็นข้าแล้วไม่ยินดีหรือไร?” จั่วม่อตกลงใจเย้าหยอกดรุณีน้อยสักครา ใบหน้ามันไม่แสดงอารมณ์ตั้งแต่แรกแล้ว ยามนี้ยังเพิ่มน้ำเสียงดุดันอีกเล็กน้อย รวมแล้วน่ากลัวมาก
เสี่ยวกั่วตกใจกลัวทันที สั่นศีรษะเล็ก ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ละอองหมอกรื้นขึ้นในดวงตากลมโตของนาง ปากสั่นรีบอธิบาย “ไม่ใช่ ไม่ใช่......”
จั่วม่อตระหนักในทันทีว่าหากมันไม่ยอมเลิกรา นางคงจะร่ำไห้ออกมาจริง ๆ แล้ว พลันรู้สึกเสียใจกับการกระทำของมันอย่างกะทันหัน
นี่ไม่เท่ากับเพิ่มปัญหาให้กับตัวมันเองหรอกหรือ?
มันรีบผ่อนคลายน้ำเสียง “เอาละ เอาละ ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะมีสิ่งของบางอย่างจะมอบให้เจ้า”
ละอองหมอกในดวงตาเสี่ยวกั่วเหือดหายในฉับพลัน นางจ้องมองจั่วม่ออย่างงงงวย ถามอย่างขลาดเขลา
“สิ่งของอันใดหรือศิษย์พี่?”
“นี่เป็นวิชากระบี่จำนวนหนึ่ง จงนำไปฝึกปรือ เจ้าสามารถมอบต่อให้กับศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้อื่นของเจ้าได้” กล่าวพลางส่งม้วนหยกสองม้วนให้แม่นางน้อย
ม้วนหนึ่งบันทึกกระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน ที่มันเลือกออกมาจากม้วนหยกที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเคยมอบให้มัน พร้อมกันนั้น ก็ถอดแหวนกระบี่ทองออกจากนิ้ว แล้วส่งให้แก่นางด้วย
“ส่วนนี่คือแหวนกระบี่ทอง มันสามารถเก็บกักปราณกระบี่ไว้ได้สามเล่ม แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องฝึกปรือเวทวิชาสายธาตุทองเสียก่อน อืมม์ ในม้วนหยกอีกม้วนหนึ่งนี้ มีเวทวิชาเบญจธาตุบันทึกอยู่ภายใน หลังจากฝึกปรือเคล็ดทองคำคร่ำคร่าสักระยะหนึ่ง เจ้าสมควรใช้งานยุทธภัณฑ์เวทชิ้นนี้ได้”
หลังจากอธิบายจบครบถ้วนกระบวนความ จั่วม่อก็ทอดถอนอย่างโล่งอก แม่นางน้อยจอมสับสนวุ่นวายผู้นี้มักทำให้มันปวดศีรษะเสมอ
แหวนกระบี่ทองตอนนี้ไม่มีประโยชน์ต่อมันมากนัก อีกทั้งมันยังตัดสินใจแล้ว ว่าก่อนที่จะเข้าสู่ด่านจู้จีจะไม่ลงจากภูเขาเป็นอันขาด และหลังจากที่เข้าสู่ด่านจู้จีสำเร็จ หากซือฟู่ไม่มอบกระบี่บินให้แก่มัน มันยังสามารถใช้กระบี่ผลึกน้ำแข็งที่ได้รับกำนัลมาจากซือเสียง ซึ่งจะยิ่งทรงพลังมากกว่าแหวนกระบี่ทอง
ส่วนม้วนคัมภีร์หยกที่จารึกเวทวิชาห้าธาตุ ก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อมันอีกต่อไป ทีแรกมันไม่ได้คิดว่าจะมอบให้แก่เสี่ยวกั่ว แต่หากนางไม่ได้ฝึกปรือเวทวิชาธาตุทอง ย่อมไม่อาจใช้งานแหวนกระบี่ทองวงนั้นได้
สำหรับกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง แม้จะเรียบง่ายแต่มีประโยชน์ใช้สอยไม่น้อย สำหรับเหล่าศิษย์ด่านเลี่ยนชี่เช่นพวกนาง กระบวนท่าเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการป้องกันตัวเอง
กับเหล่าศิษย์สตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์สตรีฝ่ายนอกที่อ่อนแอ สถานการณ์ของพวกนางยิ่งยากลำบากกว่าศิษย์บุรุษ
จั่วม่อไม่สามารถเอาใจใส่ดูแลพวกนางได้เหมือนแต่ก่อน จึงตัดสินใจมอบสิ่งของเหล่านี้ให้แก่พวกนาง ในกรณีที่พวกนางต้องเผชิญกับผู้ฝึกตนที่ไม่ได้แข็งแกร่งเกินไปนัก พวกนางก็ไม่ถึงกับไม่มีปัญญาตอบโต้เหมือนที่ผ่านมา แต่หากพวกนางพบพานผู้ที่แข็งแกร่งเข้าจริง ๆ กระทั่งตัวมันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
โชคดีอยู่บ้างที่ศิษย์สำนักตงฉีผู้นั้นถูกขับไล่ไปจากตงฝู มันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเผอิญพบกับเจ้าผู้นั้นในบริเวณใกล้เคียงอีก
หลังจากส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้น จั่วม่อดีดตัวลอยขึ้น พลิกร่างลงบนหลังห่านจะงอยเทา มันโบกมือให้เสี่ยวกั่วโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง และล่องลอยจากลาจนลับตา
มองไปยังจั่วม่อที่กำลังเลือนหายไปในท้องฟ้า มือน้อย ๆ ของเสี่ยวกั่วที่ถือแหวนกระบี่ทองกับม้วนหยก พลันกำแน่นโดยที่นางไม่รู้สึกตัว
เสร็จสิ้นธุระทั้งหมดนี้ คล้ายสะสางปล่อยวางบางอย่างไป จั่วม่อรู้สึกว่าร่างกายจิตใจผ่อนคลายลงไม่น้อย มันมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนขิงหอม จะอย่างไรยังคงจำเป็นต้องส่งมอบเม็ดยาราชันธัญพืชห้าเม็ดในปลายเดือนนี้ มันไม่กล้าล่วงเกินซือฟู่หน้าเย็นชาของมัน หากทำไม่สำเร็จ มันจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
เข้าสู่ห้องหลอมกลั่นโอสถ จั่วม่อยังไม่ได้เริ่มลงมือในทันที วัตถุดิบของมันมีจำนวนจำกัด หากทำเสียหายจนหมดสิ้นจริง ๆ ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวของมันนี้ ย่อมไม่มีปัญญาซื้อหาเพิ่มเติมอีกแล้ว
ในทางทฤษฎี ด้วยระดับพลังบำเพ็ญเพียรของมัน หลอมกลั่นโอสถราชันธัญพืชสักเม็ดสมควรไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด นี่เป็นเพียงเม็ดยาขั้นพื้นฐานที่สุดอย่างแท้จริง
เฝ้าครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน จั่วม่อรู้สึกว่าคราวที่แล้ว มันไม่ได้ควบคุมพลังปราณอย่างเหมาะสม ดังนั้นสิ้นเปลืองพลังปราณจำนวนมากไปโดยไร้ประโยชน์ เป็นเหตุให้พลังปราณไม่เพียงพอ
หลังจากคิดทบทวนอยู่เป็นนาน จั่วม่อก็เข้าสู่สภาวะฌาน เพื่อให้พลังปราณในร่างฟื้นฟูสู่สภาพที่ดีที่สุด
จากนั้นเริ่มลงมือพยายามหนที่สอง!