ตอนที่แล้วบทที่ 3 บ้านน้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 หุบเขาหมอกเย็นเยือก

บทที่ 4 ไร้เหตุผล


เฟซบุ๊คแฟนเพจ

 

แสงสว่างของอรุณรุ่งตัดผ่านความมืดมิด พระอาทิตย์สีแดงลอยขึ้นอย่างแช่มช้า ในยามที่ลำแสงส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้าสู่ห้องสันโดษ นิ้วผอม ๆ ของจั่วม่อพลันเปล่งแสงสีทอง!

จั่วม่อยกดัชนีข้างนั้นขึ้นมาเบื้องหน้า จ้องเขม็งด้วยดวงตาแดงก่ำของมัน

คล้ายจะมีชั้นแสงสีทองเรืองรองอยู่รอบ ๆ นิ้ว นัยน์ตาของจั่วม่อผู้ไร้อารมณ์ เต็มไปด้วยความสุข ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ขยับ แสงตะวันก็เปลี่ยนทิศทางพ้นห่างจากนิ้ว เปิดเผยลักษณะเดิมของมัน เห็นชั้นแสงปราณสีทองซีดห่อหุ้มอยู่รอบดัชนีของจั่วม่อ

มันคือปราณทองคำคร่ำคร่า!

ในเวลานี้เอง เสียงระฆังเสนาะใสพลันดังรัวห้าครั้ง หง่าง หง่าง หง่าง หง่าง หง่าง เสียงกังวานสะท้อนไปทั่วขุนเขา

แสงสีทองบนนิ้วพลันสั่นไหว แล้วปราณทองคำคร่ำคร่าก็หายวับไปในทันใด

ด้วยรูปลักษณ์กระเซอะกระเซิง จั่วม่อกระโดดผลุงขึ้นจากพื้น บัดซบ! นี่เช้าแล้วหรือไร มันไม่สนใจความหิวโหย รีบวิ่งออกไปดุจสายลมกรรโชก

ในช่วงเวลานี้ หากมีผู้ใดมองลงมาจากด้านบน จะเห็นหลายร้อยร่างวิ่งออกมาจากลานบ้านของพวกมัน และมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด

จั่วม่อก่นด่ากฎที่ห้ามศิษย์ฝ่ายนอกบินในเขตภูเขาอีกครั้ง สองเท้าเคลื่อนไหวอย่างเมามัน ขณะที่รีบวิ่งปานพายุบุแคมพัดพา

———–

โถงฟังธรรม ตั้งอยู่บนยอดดอยเขาวัวแห่งเทือกเขาสุญตา ยอดดอยแห่งนี้ย่อมตั้งนามตามรูปร่างประหนึ่งเขาวัวของมัน

ครั้นจั่วม่อวิ่งมาถึงโถงฟังธรรม เห็นผู้คนจำนวนมากนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย มันรีบสุ่มหาเสื่อผืนหนึ่ง แล้วทรุดลงนั่ง พลางอ้าปากหอบหายใจอย่างรุนแรง

ด้านหน้าสุดนั่งไว้ด้วยบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มผู้หนึ่ง มันอายุราวยี่สิบปี ใบหน้าหล่อเหลาประดุจหยก สองตาเป็นประกายดุจดวงดาว ท่ามกลางผู้คนหลายสิบในห้องโถง การคงอยู่ของมันโดดเด่นไม่ผิดอันใดกับกระเรียนกลางฝูงไก่

มันเรียกว่าสวี่อี้ ศิษย์ลำดับที่สามในบรรดาศิษย์ฝ่ายในของสำนัก โดยปกติแล้วรับผิดชอบสอนวิชาศิษย์ฝ่ายนอกในวันธรรมดา ตัวมันเป็นศิษย์ของอาจารย์อาซินหยาน และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านการหลอมสร้างมากที่สุดในบรรดาศิษย์ฝ่ายใน นอกจากนี้มันยังรอบรู้กว้างขวางในหัวข้อเบ็ดเตล็ดหลากหลาย

ติ๊ง!

ระฆังหยกบนโต๊ะสั่นระรัว สุ้มเสียงดังกังวานแผ่กว้างออกไป จั่วม่อรู้สึกคล้ายหัวใจกระโดดขึ้น ร่างกายเปลี่ยนเป็นแช่มชื่นแจ่มใส ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งคืนหายวับไป

ชุดระฆังหยกวารีเขียว ของศิษย์พี่สวี่อี้ เป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์เวทที่จั่วม่อปรารถนามากที่สุด ชั้นแขวนระฆังทำจากทองแดง ระฆังหยกเขียวเจ็ดใบเรียงรายตั้งแต่ใหญ่สุด ไปจนเล็กสุด แต่ละใบปกคลุมไปด้วยอักขระยันต์ขนาดเล็กจำนวนสุดคนานับ ทุกใบเรืองแสงสีเขียวสด อีกทั้งพวกมันช่างน่ารักเสียเหลือเกิน

ระฆังแต่ละใบมีพลังแตกต่างกัน ผลของระฆังที่เพิ่งถูกใช้เมื่อครู่เรียกว่า มนตรามหาสำเนียงกระจ่าง ผู้ใดได้ยินจะช่วยชำระจิตใจ บรรเทาความเหนื่อยล้า ฟื้นฟูเรี่ยวแรง มันเป็นอาคมที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง

จั่วม่อได้แต่อิจฉาริษยาแล้ว ชุดระฆังหยกวารีเขียว เป็นศิษย์พี่สวี่อี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจนับไม่ถ้วนหลอมสร้างขึ้นมา กระทั่งศิษย์พี่คนอื่น ๆ ยังไม่มีปัญญาครอบครอง

ศิษย์พี่สวี่อี้สมกับเป็นที่รักใคร่ของบรรดาศิษย์ฝ่ายนอก ยังจะมีศิษย์พี่คนใดอีกเล่า ที่จะใช้มนตรามหาสำเนียงกระจ่าง เพื่อช่วยชะล้างจิตใจ และฟื้นฟูเรี่ยวแรงให้แก่เหล่าศิษย์ฝ่ายนอก?

สวี่อี้พลันสะบัดแขนเสื้อ แล้วประตูโถงฟังธรรมก็ปิดลงพร้อมเสียงดังสนั่น

ความสนใจของจั่วม่ออยู่ที่โต๊ะด้านหน้าของศิษย์พี่ นอกเหนือจากชุดระฆังหยกแล้ว ยังมีของกระจุกกระจิกหลากหลายชนิดวางอยู่เรียงราย

การหลอมสร้างอุปกรณ์? ในใจจั่วม่อบังเกิดความชื่นชมยินดี มันเข้าร่วมสำนักกระบี่สุญตามาสองปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ฟังศิษย์พี่สาม บรรยายเรื่องการหลอมสร้างอุปกรณ์มาก่อน

ที่ผ่านมาศิษย์พี่สามมักจะสอนเพียงวิธีการฝึกตน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อศิษย์สำนักฝ่ายนอก ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมสำนัก เพียงเพื่อจะร่ำเรียนวิธีการฝึกตนเหล่านี้ จากนั้นเมื่อออกจากสำนักกระบี่สุญตา พวกมันสามารถหาหน้าที่การงานที่ดีทำได้

ผู้อื่นย่อมไม่อาจเป็นเยี่ยงจั่วม่อ ตัวมันเองแม้มีพลังฝึกตนเพียงด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ด แต่อาศัยเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม มันสามารถหาหน้าที่การงานอันดีงามในไร่นาปราณ หรือในสวนยาสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย เขตปกครองนภาจันทร์แม้ไม่มั่งคั่ง ไม่ปรากฏสินค้าส่งออกขึ้นชื่อ แต่สภาพอากาศกลับเหมาะสม พลังปราณธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นเต็มไปด้วยไร่นาปราณ และสวนยาสมุนไพร

เคล็ดวิชาฝึกตนสามารถเพิ่มพูนพลังปราณและตบะบารมี แต่สิ่งที่จำเป็นย่อมหนีไม่พ้นทรัพยากร กับความสามารถในการสะสม ชีพจรปราณปฐพี เม็ดยาปราณ และจิงสือ สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถช่วยเพิ่มพูนพลังฝึกตนอย่างรวดเร็ว แต่หากท่านไม่มีปัญญาเสาะหา ท่านยังสามารถพึ่งพาการใช้เวลาฝึกฝนอย่างเชื่องช้า

แต่เวทวิชาคือศาสตร์แห่งการช่วงใช้พลังปราณ สิ่งจำเป็นในการร่ำเรียน คือบทเรียนอันดีงาม และการทำความเข้าใจ แน่นอนว่าย่อมมีเหล่าอัจฉริยะผู้สามารถรู้แจ้งเวทวิชาได้ด้วยตนเองอยู่บ้าง แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญแล้ว การได้รับการสั่งสอนที่ดี ย่อมบังเกิดประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น

ในสำนักใหญ่บางสำนัก ก่อนที่ศิษย์จะเข้าสู่ด่านจู้จี (สร้างรากฐานปราณ) จะถูกจำกัดการร่ำเรียนเวทวิชา เพราะพวกมันเชื่อว่ารากฐานเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกตน

แต่สำหรับผู้ฝึกตนสามัญทั่วไป การบรรลุมรรคผลเป็นเพียงความใฝ่ฝัน พบเห็นได้แต่สัมผัสไม่ได้ เหมือนเงาจันทร์ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรปราณปฐพี เม็ดยาปราณ หรือจิงสือ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกมันปรารถนา แต่ยากที่จะได้ครอบครอง ดังนั้นหากเทียบกันแล้ว การร่ำเรียนเวทวิชานั้นเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงมากกว่า ด้วยเวทวิชาพวกมันสามารถทำงานดี ๆ ที่มีรายได้งาม นอกจากจะบรรลุผลในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตแล้ว ยังสามารถสนับสนุนลูกหลานรุ่นต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องประสบกับความยากลำบากในการฝึกตน เช่นคนรุ่นพวกมันอีก

“พวกเจ้าได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้สำนัก ข้าย่อมทราบดีถึงความมานะบากบั่น และความยากลำบากที่พวกเจ้าต้องเผชิญ แต่จงอย่าได้ละเลยการฝึกตน มันจะช่วยให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ความพากเพียรของพวกเจ้าจะไม่สูญเปล่า จงเร่งฝึกฝนเคล็ดวิชา ข้าจะไม่กล่าวมากความ ไม่มีอันใดต้องย้ำเตือนกันอีก หากพวกเจ้าทำคะแนนได้ดีในการประเมินผลของปีนี้ ข้าจะมอบเคล็ดวิชาระดับสูงให้”

“วันนี้ข้าจะสอนการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทสองชนิด หนึ่งคือจอบกระตุ้นปราณ อีกหนึ่งคือถุงเข็มด้ายจอมดูด”

“จอบกระตุ้นปราณเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ที่ใช้ดูแลพืชปราณ มันสามารถกระตุ้นพลังปราณธรรมชาติในทุ่งปราณ และช่วยให้พืชปราณดูดซับปราณธรรมชาติเหล่านั้น ส่วนถุงเข็มด้ายจอมดูด ใช้เก็บน้ำเลี้ยงจากต้นพืชปราณ จดจำให้มั่น เจ้าจะต้องรีบนำส่งน้ำเลี้ยงของพืชปราณที่ดูดเก็บมา โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้นหากพลังปราณในน้ำเลี้ยงของพืชปราณกระจายหายไป เจ้าจะมิได้รับแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว

...ตั้งใจฟังให้ดี เนื้อหาทั้งหมดข้าจะสอนเพียงรอบเดียว”

ศิษย์พี่สวี่อี้กล่าวชัดถ้อยชัดคำ วาจาอันทรงพลังของมันสร้างศรัทธาให้ผู้ฟังไม่น้อย

จั่วม่อตั้งใจฟังอย่างระมัดระวังยิ่ง นี่เป็นหนแรกที่มันได้สัมผัสศาสตร์แห่งการหลอมสร้าง ดังนั้นมันจะไม่ยอมพลาดรายละเอียดแม้แต่คำเดียว

เมื่อศิษย์พี่สวี่อี้เสร็จสิ้นการสอนของมัน สามชั่วยามได้ผ่านพ้นไปแล้ว จั่วม่อไม่ได้รับประทานตลอดทั้งคืนทั้งยังจรดจดจ่ออยู่ตลอดสามชั่วยาม มันหิวจนไส้กิ่ว หน้าอกผอมๆ ยุบแฟบเกือบติดกระดูกสันหลัง มันแทบจะเหินบินกลับไปยังบ้านของตน แล้วรีบหาสิ่งของรับประทานเพื่อเติมเต็มกระเพาะของมัน

รับประทานแล้วเสร็จ ยังไม่ทันจะได้เช็ดปาก แสงกระบี่สายหนึ่งพลันพุ่งวาบลงมาจากฟากฟ้า แล่นลงที่ลานบ้าน อาคมหวงห้ามที่มันติดตั้งไว้รอบ ๆ ไม่มีปัญญาต่อต้านผู้บุกรุกแม้สักแวบเดียว ได้แต่ระเบิดไปเองอย่างน่าสมเพช

บุรุษหนุ่มสีหน้าเย็นเยียบผู้หนึ่ง ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าจั่วม่อ

จั่วม่อรีบกลืนคำบริภาษที่ขึ้นมาถึงปาก กลับลงกระเพาะไป มันหัวใจเต้นระรัวแทบกระดอน ลมบ้าบออันใดนำเจ้าเทพมรณะผู้นี้มาเยือนถึงที่นี่ได้?

มันยังไม่ทันจะคำนับทักทาย ก็ได้ยินอีกฝ่ายแค่นเสียง “เจ้าคือจั่วม่อ?”

“จั่วม่อคารวะศิษย์พี่หลัวหลี! (เสาะหาแยกจาก)” จั่วม่อน้ำเสียงนอบน้อมยิ่ง พลางค้อมคำนับลงต่ำยิ่ง

ศิษย์พี่หลัวหลีผู้นี้อาจเพียงรั้งลำดับสี่ในบรรดาศิษย์ฝ่ายใน แต่พลังฝึกตนของมันกลับล้ำลึกที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นนี้ทั้งหมด มันนิสัยเย็นชาและคลั่งไคล้วิชายุทธ์ พรสวรรค์แต่กำเนิดเด่นล้ำเกินใครในหมู่ศิษย์รุ่นที่สอง และเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่ฝึกฝน[เคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง]สำเร็จ นอกจากนี้มันยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ว่าอาจเป็นบุคคลเดียวในรอบสองร้อยปี ที่จะสามารถบรรลุเคล็ดวิชาที่หายไปของสำนัก [เคล็ดกระบี่สุญตา] ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์สำนัก

หลัวหลีมีชื่อเสียงโด่งดังพอ ๆ กันทั้งด้านพรสวรรค์แต่กำเนิด และอารมณ์อันแปรปรวนของมัน มันรับผิดชอบดูแลเหมืองของสำนัก เล่าลือกันว่า หากทาสฝึกตนที่ทำเหมืองเกิดหย่อนยานขึ้นมาสักเล็กน้อย มันจะสังหารทิ้งในกระบี่เดียว

หลัวหลีคร้านกระทั่งจะกล่าววาจาสักคำ มันพลันหายวูบไปอยู่ด้านหลังจั่วม่อ แล้วทะยานร่างขึ้น คว้าคอจั่วม่อเหาะเหินไปพร้อมกัน

จั่วม่ออาจอ้างตัวว่าเป็นคนแรกในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอก ที่เป็นเจ้าของพาหนะบิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันต้องเผชิญกับการเหาะเหินอย่างรวดเร็ว มันรู้สึกเพียงท้องฟ้าและแผ่นดินหมุนคว้าง ลมที่ปะทะหน้ารุนแรงจนเจ็บแสบ ทั้งไม่อาจลืมตาขึ้นได้

เมื่อสองเท้าของมันแตะพื้น จั่วม่อเข่าอ่อนจนเกือบทรุด

“ที่แท้มันมีใบหน้าเยี่ยงผีดิบจริง ๆ”

จั่วม่อผู้เพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการวิงเวียน ได้ยินวาจานี้เข้า พลันบังเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อเจ้าของวาจาในทันที

เห็นสตรีเยาว์วัยในอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่ง กำลังพินิจมันอย่างสนอกสนใจ คางของนางเรียวแหลม โหนกแก้มนูนสูงอยู่บ้าง นางแม้กำลังแย้มยิ้ม แต่ในดวงตาหาได้มีร่องรอยของความอบอุ่นไม่

สายตาของนางทำให้จั่วม่ออึดอัดยิ่ง แต่มันไม่กล้าไม่พอใจแม้แต่น้อย ได้แต่รีบค้อมคำนับอย่างอ่อนน้อม “คารวะศิษย์พี่หญิงห่าว!”

ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น (ห่าวเป็นแซ่ หมิ่นแปลว่าคล่องแคล่ว ว่องไว) กับศิษย์พี่หลัวหลี เป็นศิษย์ของอาจารย์อาหยานเล่อ ว่ากันว่าศิษย์พี่หลัวหลีหลงใหลในตัวนาง ดูท่าข่าวลือจะมิใช่ไร้เหตุผลเสียแล้ว

“ข้าได้ยินว่าเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของเจ้าอยู่ที่ขั้นสามใช่หรือไม่?” ห่าวหมินถาม ขณะที่จ้องมองด้วยสายตาทิ่มแทง

“ใช่แล้วศิษย์พี่หญิง”

“ประเสริฐยิ่ง” นางกล่าวอย่างพออกพอใจ “ข้าจะออกจากสำนักสักระยะหนึ่ง ในช่วงเวลานี้สวนยามอบให้เจ้าดูแลชั่วคราว”

จั่วม่อไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากแม้สักครึ่งคำ ขณะที่นางโยนจี้หยกให้มัน พร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชา “นี่คือจี้หยกที่สามารถอนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสวนยาสมุนไพร จงเสกเรียกฝนให้พวกมันวันละครั้ง จนกว่าข้าจะกลับมา ในช่วงเวลานี้เจ้าต้องดูแลสวนยาให้ดี”

กล่าวถึงตอนนี้น้ำเสียงของนางก็ดุดันขึ้น “อารมณ์ข้าไม่สู้ดีนัก ดังนั้นขอกล่าววาจาไม่น่าฟังเสียก่อน หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับสวนยา เมื่อกลับมา ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าเป็นอันขาด”

กล่าวจบก็คร้านกระทั่งจะมองหน้าจั่วม่อ นางหันไปหาหลัวหลี คล้องแขนมัน พลางแย้มยิ้มเบิกบานปานบุปผา และกล่าววาจานุ่มนวลดุจสายน้ำ “ศิษย์พี่ ไปกันเถิด”

มีร่องรอยความอบอุ่นสายหนึ่งบนใบหน้าของหลัวหลี มันเหลือบมองจั่วม่อแวบหนึ่ง แล้วแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นทั้งคู่ก็เหาะเหินขึ้นไปในเวหา

จั่วม่อมือถือจี้หยก ยืนแข็งทื่อ เหม่อมองไปยังจุดที่ทั้งคู่ลับหายไปในท้องฟ้า

เมื่อพบพานเคราะห์หามยามร้าย กระทั่งดื่มน้ำยังติดซอกฟัน จั่วม่อไหนเลยจะเคยคาดคิด ว่ามันจะโชคร้ายถึงปานนี้

เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกไม่มีผู้ใดชื่นชอบศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น นางทั้งโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัว การเรียกหาของนาง ไม่เคยเป็นประโยชน์ต่อผู้ใด นิสัยใจคอน่ารังเกียจ อารมณ์แปรปรวน ไม่ต่างอันใดกับศิษย์พี่หลัวหลี หากผู้ใดไม่ระวัง บังเอิญล่วงเกินนางสักเล็กน้อย ก็เป็นวิบากกรรมของมันที่ต้องทนรับการดุด่าทุบตี

ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบความ พวกมันทั้งคู่ไม่เคยถามไถ่ความเห็นของจั่วม่อแม้สักครึ่งคำ

จั่วม่อได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ มันยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า?

นับตั้งแต่ฟื้นคืนสติ ตั้งแต่สองปีที่แล้วจนถึงบัดนี้ มันเพียงหมกมุ่นอยู่แต่กับข้าวปราณ ไม่เคยดูแลสวนยาสมุนไพรมาก่อน ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าก็คือ ด้วยพลังฝึกตนของมัน สามารถใช้เคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สามได้เพียงวันละหนเท่านั้น

เมื่อคิดถึงสัญญาในการเสกเรียกฝน ที่มันได้ตกลงไว้กับศิษย์คนอื่น ๆ ในปากมันพลันรู้สึกขมปร่า

ในสำนักกระบี่สุญตามีสวนยาปราณอยู่สามแห่ง สวนที่ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นดูแล เรียกว่าหุบเขาหมอกเย็นเยือก จั่วม่อมือกำจี้หยก หัวใจเต้นรัว ขณะที่มุ่งตรงไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก

หุบเขาหมอกเย็นเยือก ตั้งอยู่ระหว่างยอดดอยสองแห่ง ตลอดทั้งปีถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกหมุนวน ดังนั้นอุณหภูมิต่ำกว่าที่ใดในเทือกเขาสุญตาทั้งหมด และนั่นเป็นเหตุให้ถูกเรียกเช่นนั้น มันเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญของสำนัก โดยทั่วไปแล้วศิษย์ฝ่ายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป หากไม่ใช่เคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สามของจั่วม่อ ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นก็ไม่มีทางที่จะเลือกมัน

ตลอดเส้นทางเห็นต้นไม้โบราณและพงหญ้าอยู่ทุกหนแห่ง กลิ่นหอมสดชื่นของป่ากระจายฟุ้งไปทั่ว  จั่วม่อถูกล้อมรอบไปด้วยพลังแห่งชีวิตชีวา บางครั้งสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่นกระต่าย หรือกระรอก กระโดดผ่านไปอย่างร่าเริง แต่จั่วม่อหาได้ใส่ใจกับทัศนียภาพอันงดงามนี้ไม่ หัวใจของมันกำลังเต้นกระหน่ำอย่างดุเดือด ขณะที่มันกำจี้หยกแน่น ขาสั่นเทา ค่อย ๆ เดินย่องไปตามทาง

นั่นเพราะทุกหนแห่งบนถนนสายนี้ ล้วนเต็มไปด้วยอาคมหวงห้าม พวกมันทั้งอยู่ในที่แจ้ง และแอบซ่อนในเงามืด อาคมหวงห้ามอันแข็งแกร่งบางครั้งยังปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา มันรู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ด้วยพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ดอันต่ำต้อยของมัน หากเผลอไปสัมผัสอาคมหวงห้ามเหล่านี้เข้า เกรงว่าแม้เศษเสี้ยวธุลีเดียว ก็คงไม่เหลือไว้ดูต่างหน้า

หากไม่ใช่ว่าใบหน้าของจั่วม่อแข็งทื่อดุจผีดิบ ยามนี้ใบหน้าของมันคงจะซีดเผือด มองไม่เห็นสีเลือดแม้สักนิดเดียว!

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ชื่อวิชา เคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง ในภาษาต้นฉบับใช้คำว่า คงเจี้ยน คงแปลว่าว่างเปล่า, เวิ้งว้าง เจี้ยนคือกระบี่ ส่วนวิชาเคล็ดกระบี่สุญตา ใช้คำว่า อู๋คงเจี้ยน อู๋แปลได้ประมาณว่า ไม่มี, ไม่มีสิ่งใดเลย อู๋คงก็คืออนัตตาหรือสุญตา และอู๋คงเจี้ยนเป็นคำเดียวกันกับในอู๋คงเจี้ยนเหมิน หรือสำนักกระบี่สุญตานั่นเอง ดังนั้นตามท้องเรื่องแล้ว คงเจี้ยนหรือเคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง จึงเป็นส่วนหนึ่งของอู๋คงเจี้ยนหรือเคล็ดกระบี่สุญตา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด