บทที่ 37 สองกระบี่ !
สองผู้ฝึกตนจากสำนักกระบี่ตงฉีเห็นได้ชัดว่าคาดคิดไม่ถึง ว่าจั่วม่อจะกล้าจู่โจมตอบโต้ทันควัน!
โดยเฉพาะเจ้าคนที่ลงมือทำร้ายฟู่จิน ทีแรกมันยังเห็นว่า หากคราวก่อนซิวเจ่อด่านหนิงม่ายสองคนนั้นไม่ยื่นมือยุ่งเกี่ยว จั่วม่อได้แต่รอรับการเชือดเฉือนแต่ถ่ายเดียว เจ้าสวะด่านเลี่ยนชี่ผู้นี้ วันนี้ถึงกับกล้าท้าทายพวกมันทั้งสองเชียวหรือ?
พริบตาดุจประกายไฟ ปราณกระบี่พุ่งเข้ามาเกือบจะถึงตัวของศิษย์สำนักตงฉี ในฉับพลันนั้นกลิ่นอายเย็นเยือกปลุกเร้าสติของมันกลับมา มันรีบเรียกกระบี่บินตามสัญชาตญาณ แต่วิบตาต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่ากระบี่บินของมันถูกทำลายไปแล้วโดยเจ้าคนตรงหน้านี้เอง!ความผิดพลาดพอบังเกิดขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ทำให้มันไม่ทันหลบหลีก ปราณกระบี่ที่ล้อมรอบด้วยหมอกเบาบาง ทิ่มแทงใส่หว่างคิ้วมันอย่างถนัดถนี่
ฉั้วะ!
โลหิตสาดกระเซ็น ปากแผลเท่าปลายนิ้วปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้ว ศิษย์สำนักตงฉีหน้าสะบัดเริด ซวนเซถอยหลังสองสามก้าว สายตาขุ่นแค้นถลึงมองจั่วม่ออย่างดุร้าย ปรารถนาจะสับสังหารอีกฝ่ายให้เป็นแปดส่วนสิบส่วน
เจ้าบัดซบเบื้องหน้ามันผู้นี้เห็นได้ชัดว่าอยู่เพียงด่านเลี่ยนชี่ แต่ไฉนทุกครั้งที่ประมือกัน ตัวมันต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอยู่เรื่อย พอยกมือลูบบาดแผลตรงหว่างคิ้ว ก้มมองนิ้วมือที่เปื้อนเลือด ความเคียดแค้นก็พลุ่งพล่าน ตวาดด้วยโทสะ “เจ้าอยากตายนักใช่หรือไม่!หากวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า.....”
ฉวยโอกาสที่มันเอาแต่พร่ำพูด จั่วม่อผนึกท่าปางมือ จี้ดัชนี ปราณกระบี่พุ่งวาบออกมาอีกหน!
ปราณกระบี่เรียวแหลมประจุเต็มไปด้วยหมอกเบาบาง แทงใส่ปากที่อ้าค้างของอีกฝ่ายอย่างแยบคาย ปราณกระบี่สายนี้ยังเข้มแข็งยิ่งกว่า หมอกขาวหนาหนักกว่าเดิมปกคลุมทั่วทั้งเล่ม หากผู้ใดตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง บางทีอาจได้ยินกระแสเสียงกังวาลใสของผลึกน้ำแข็งกระแทกชนใส่กัน
ศิษย์สำนักตงฉีอีกผู้หนึ่งที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ม่านตาหดแคบลงทันที
กระบี่นี้เลือกช่วงเวลาจู่โจมได้อย่างเหมาะเจาะพอดีถึงที่สุด ทั้งยังเพิ่มความรวดเร็วขึ้นไปอีกขั้น
กระบี่บินของอีกฝ่ายถูกจั่วม่อทำลายไปตั้งแต่ประมือกันคราวก่อน วันนี้ที่จริงเจ้าผู้นี้มาพร้อมศิษย์พี่ของมัน เพื่อให้ช่วยเหลือมันเลือกกระบี่บินเล่มใหม่ ย่อมไม่คาดคิดว่าจะบังเอิญพบพานศัตรูน เสี้ยววินาทีที่ปราณกระบี่จู่โจมเข้ามา มันไม่เพียงตระหนักในทันทีว่ามันไม่มีกระบี่บิน อีกทั้งยังไม่มียุทธภัณฑ์เวทช่วยปกป้องร่างกายแม้แต่ชิ้นเดียว
คนผู้นี้ปกติเอาแต่ข่มขู่รังแกผู้คนสนองตัณหาของตัวเอง ทั้งยังไม่ค่อยใส่ใจบำเพ็ญเพียร เห็นปราณกระบี่แทงใกล้เข้ามา ภายใต้ความประหวั่นพรั่นพรึง มันแข้งขาอ่อนยวบ ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี ไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง
เพี๊ยะ!
ปราณกระบี่หมอกน้ำแข็งทะลวงเข้าในปากอย่างแม่นยำ โลหิตฉีดพ่นเป็นฟูฝอย ฟันสองซี่กระเด็นกลิ้งไปตามพื้น การจู่โจมติดต่อตามกันอันหมดจดทำให้มันได้แต่ยืนเซ่อซึม ยกมือขึ้นกุมปาก มองฟันสองซี่บนพื้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
จั่วม่อรักษาท่วงท่าสภาวะของมันได้ดีขึ้น เทียบกับความลุกลี้ลุกลนในการต่อสู้คราวก่อน ยามนี้ท่าทีมันสงบเยือกเย็นไม่น้อย
สิ่งเดียวที่มันสามารถพึ่งพาคือแหวนกระบี่ทอง แต่แหวนกระบี่ทองเก็บกักปราณกระบี่ไว้ได้สามเล่มเท่านั้น ดังนั้นยามนี้มันหลงเหลือเพียงหนึ่งกระบี่ ทั้งยังจะเป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายของมัน หากฝ่ายตรงข้ามมีเพียงผู้เดียว มันจะโจมตีซ้ำทันทีโดยไม่รีรอ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่โทษว่ามันโชคไม่ดี มันทราบชัดว่าฝ่ายตรงข้ามทั้งสองพลังฝีมือเหนือล้ำกว่ามันมาก ทว่ามันก็มิอาจยืนนิ่งเฉยมองดูฟู่จินถูกหยามหยันเพราะมันได้
ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด มันอาจจะถูกกลุ้มรุมทำร้ายอย่างต่ำช้า แต่มันเตรียมใจพร้อมอดทนรับมือเท้า มันจะไม่ยอมใช้กระบี่สุดท้ายง่าย ๆ หากจะใช้ต้องใช้อย่างดุดันอำมหิตที่สุด!
พวกมันก็ต้องไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน!
จั่วม่อคิดอย่างดุเดือด
“อ๊า!” ชายผู้นั้นกรีดร้องอย่างน่าตระหนก สีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาลุกเป็นไฟ “ข้าจะ......”
แต่แล้วเสียงพลันขาดหายไปอย่างกะทันหันอีกรอบ
ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรอบลำคอ ร่างของมันค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น เทียบกับเสียงตวาดกราดเกรี้ยวเมื่อครู่แล้ว มันคล้ายปลาที่หลุดออกจากบ่อน้ำตัวหนึ่ง ตาถลน ปากพะงาบ พยายามจะกล่าววาจา แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
จั่วม่อตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตามองไปทางด้านข้างอย่างช่วยไม่ได้
เห็นบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งเดินตรงมายังพวกมันด้วยฝีเท้าสบายๆ ท่วงท่าปลอดโปร่ง ไม่เหลือบแลศิษย์สำนักตงฉีที่ถูกขึงกลางอากาศแม้สักแวบ “ตงฝูไม่อนุญาตให้ต่อสู้กัน หรือพวกเจ้าไม่ทราบ?”
ศิษย์สำนักตงฉีอีกผู้หนึ่งขมวดคิ้ว มันพลันตวัดมือผนึกท่วงท่า ปราณกระบี่สายหนึ่งพวยพุ่งออกจากปลายนิ้ว ชะงักค้างที่กลางอากาศ บิดเบี้ยว ก่อเป็นภาพกิ่งก้านดอกท้อราวกับวาดขึ้น ทันใดนั้นศิษย์คนที่ต่อสู้กับจั่วม่อหล่นร่วงลงมาดังตุบ ใบหน้าสีม่วงคล้ำ สลบไสลไม่ได้สติ
“ท่านที่นับถือไม่ลำเอียงเกินไปหรือ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันแต่ท่านลงโทษเพียงฝ่ายเดียว นี่ไม่ยุติธรรมเลย”
บุรุษชุดขาวทอดตามองอีกฝ่าย “สำนักตงฉี จงหมิงเอี้ยน?”
“เพียงนามอันต่ำต้อย นึกไม่ถึงว่าท่านที่นับถือจะจดจำได้ เป็นเกียรติยิ่งนัก เป็นเกียรติยิ่งนัก” จงหมิงเอี้ยนประสานมือทักทาย แต่สีหน้ายังเย็นชา
“จงหมิงเอี้ยน ศิษย์เอกของผู้อาวุโสจั่วเหมยเทียน นามนี้ดุจฟ้าร้องกรอกหู คิดไม่ได้ยินคงไม่ได้” บุรุษหนุ่มชุดขาวกล่าวราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์
จงหมิงเอี้ยนเลิกคิ้ว “แล้วท่านที่นับถือคือ?”
“หวีป๋าย” บุรุษชุดขาวตอบเพียงสองคำ
“อ้อ” จงหมิงเอี้ยนรับคำเบา ๆ แต่ประโยคถัดมาเปลี่ยนเป็นแหลมคม “เช่นนั้นก็เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสเทียนซงจื่อนี่เอง อย่างไรก็ตาม พี่หวีสามารถบอกได้หรือไม่ ไฉนลงโทษเฉพาะศิษย์น้องของข้าผู้เดียว? พี่หวีใช่มีอคติต่อศิษย์สำนักตงฉีของข้าเป็นพิเศษหรือไม่?”
หวีป๋ายเพียงแย้มยิ้ม ชี้ไปยังป้ายหยกชุนหยาที่เอวของจั่วม่อ
ยามนี้เอง จงหมิงเอี้ยนค่อยพบเห็นป้ายหยกชุนหยาอันนั้น มันงงงันวูบ จากนั้นพยักหน้า “เกษตรกรปราณ อ้อ เป็นเช่นนี้เอง”
จ้องมองจั่วม่ออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง มันหมุนตัวจากไป
หวีป๋ายอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านที่นับถือ ไม่นำศิษย์น้องของท่านไปด้วยหรือ?”
จงหมิงเอี้ยนไม่แม้กระทั่งจะชายตากลับมามอง เพียงมุ่งตรงไปข้างหน้า ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว
“สวะที่กระทั่งเกษตรกรปราณด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่งยังไม่สามารถเอาชนะได้ ยังจะเอามันไปทำอะไร?”
หวีป๋ายส่ายศีรษะ ไม่กล่าววาจา มันเพียงตวัดมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ส่งลำแสงสีขาวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระบี่บินส่งสาร!
เมื่อเทียบกับกระเรียนน้อยพันตัว กระบี่บินส่งสารรวดเร็วกว่ามาก! อย่างที่คาดไว้ เพียงชั่วครู่เดียวก็ปรากฏซิวเจ่อสองคนเหินบินมา หลังจากทิ้งร่างลงสู่พื้นก็น้อมกายคารวะหวีป๋าย
หวีป๋ายชี้ไปยังศิษย์สำนักตงฉีที่หมดสติ กล่าวว่า “คนผู้นี้ละเมิดข้อห้ามของตงฝู ให้เนรเทศออกจากตงฝูในบัดดล ห้ามเข้ามาอีกเป็นหนที่สอง”
“ขอรับ” ทั้งคู่คำนับหวีป๋ายอีกหน แล้วยกร่างเจ้าผู้นั้นเหินบินห่างออกไป
“หากข้าดูไม่ผิด เจ้าสมควรเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสซินหยานแห่งสำนักกระบี่สุญตา” หวีป๋ายหันมากล่าวอย่างอบอุ่นกับจั่วม่อ
จั่วม่อส่ายศีรษะ “ซือฟู่ของข้าเป็นสือฟ่งหรง”
ช่วงเวลาที่ยอดฝีมือทั้งสองประลองกำลังกันกระชั้นสั้นยิ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณหรือการบังคับใช้เวทวิชา พวกมันล้วนเข้มแข็งกว่าจั่วม่อร้อยเท่าพันเท่า อีกทั้งยอดฝีมือทั้งคู่ยังแผ่ซ่านกลิ่นอายเฉพาะตัวอันลึกล้ำและขู่ขวัญออกมา จงหมิงเอี้ยนแหลมคมเย็นชา หวีป๋ายเชื่อมั่นและไม่อินังขังขอบ แต่ไม่ว่าผู้ใดล้วนเด่นล้ำเหนือผู้คน
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นจงหมิงเอี้ยนหรือหวีป๋าย แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่ร่างกายของพวกมันล้วนถ่ายทอดความรู้สึกสูงส่งกว่าออกมา จั่วม่อไม่ชมชอบกลิ่นอายเช่นนี้อย่างยิ่งยวด ดังนั้นลึก ๆ ในใจมันไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับหวีป๋ายมากจนเกินไป
“ผู้อาวุโสสือฟ่งหรง?” หวีป๋ายประหลาดใจไม่น้อยกับคำตอบนี้ ยามที่พวกมันเริ่มลงไม้ลงมือกัน หวีป๋ายก็สังเกตเห็นแต่แรกแล้ว ทีแรกมันไม่รู้สึกอะไรกับปราณกระบี่ที่จู่โจมใส่หว่างคิ้ว เพียงแปลกใจอยู่บ้างที่เกษตรกรปราณผู้หนึ่งก็สามารถใช้ปราณกระบี่ออกมา จากนั้นมันค่อยพบเห็นแหวนกระบี่ทองบนนิ้วจั่วม่อ ดังนั้นเข้าใจในทันที
ในช่วงเวลานั้น มันตระเตรียมจะลงมือแทรกแซงอยู่แล้ว ควรทราบว่าเขตปกครองนภาจันทร์เป็นเขตปกครองแบบดั้งเดิม ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยเซียนกระบี่เป็นหลัก ดังนั้นซิวเจ่อประเภทเกษตรกรปราณจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าและหายากมาก ไม่เพียงแค่ตงฝู แต่เกือบทุกเมืองใหญ่ของเขตปกครองนภาจันทร์ มีข้อกำหนดเป็นพิเศษในการพิทักษ์รักษาผู้ฝึกตนสายการผลิต ดังเช่นเกษตรกรปราณ
แต่ชั่วขณะนั้นเอง ที่จั่วม่อจู่โจมปราณกระบี่เล่มที่สองออกไป
หวีป๋ายสายตาแหลมคม ทั้งยังเห็นอย่างชัดเจน
ปราณกระบี่เล่มแรกแฝงเจตจำนงกระบี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่มีความสำคัญอันใด แต่กระบี่ที่สองกลับประจุเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ ที่คล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับเจตจำนงกระบี่ของเซียนกระบี่มังกรน้ำแข็งแห่งสำนักกระบี่สุญตา ซินหยาน
การทะยานขึ้นอย่างฉับพลันของสำนักกระบี่สุญตา ดึงดูดสายตาของทุกผู้คน และในฐานะผู้ปกครองที่แท้จริงของตงฝู เทียนซงจื่อเป็นธรรมดาที่จะให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น หวีป๋ายเป็นศิษย์เอกของเทียนซงจื่อ มันย่อมล่วงรู้เรื่องราวของสำนักกระบี่สุญตามากกว่าผู้คนทั่วไป
นิมิตแห่งฟ้าดินในยามที่เหวยเสิ้งทะลวงด่านจู้จี ได้กระตุ้นเตือนเทียนซงจื่อ ราตรีนั้นหวีป๋ายก็ร่วมทางไปกับซือฟู่ของมันเพื่อสืบเสาะสาเหตุ จึงได้พบเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อปราณกระบี่ของเหวยเสิ้งทะลวงผ่านฟ้าสวรรค์ มันไม่เคยตระหนกถึงเพียงนี้มาก่อน จากนั้นฉากเหตุการณ์ที่กระบี่ของซินหยานแปลงกายเป็นมังกร บันดาลให้มันถึงกับอ้าปากค้าง และมิอาจลืมเลือนจนกระทั่งถึงตอนนี้
ตัวมันมีพรสวรรค์เป็นพิเศษ วิชาความรู้ยังเหนือล้ำกว่าผู้คนรุ่นเดียวกันทั้งหมด ในบริเวณรอบตงฝู ผู้คนที่สามารถยืนกระทบไหล่มันอาจสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว แต่ภายในค่ำคืนเดียว มันคล้ายถูกกระแทกอย่างรุนแรงต่อเนื่องถึงสองหน สำนักกระบี่สุญตาที่ไม่เคยสลักสำคัญอันใด กลับทิ้งความประทับใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่มัน
หวีป๋ายอดประเมินจั่วม่ออย่างละเอียดรอบคอบไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มแรก ใบหน้าของจั่วม่อไม่เคยเปลี่ยน หวีป๋ายไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก มันเคยพบพานบุคคลพิสดารนับไม่ถ้วน ผู้คนที่พลังฝีมือเข้มแข็งมักมีลักษณะพิเศษพิสดารอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้มันตกใจจริง ๆ เป็นอายุของจั่วม่อกับพลังฝึกตนของมัน นั่นไม่ได้สูง แต่ถึงกับต่ำเกินไป
การประเมินอายุของผู้ฝึกตนแม้เป็นเรื่องยากลำบาก แต่โดยทั่วไปสามารถพิเคราะห์ได้จากดวงตา ลักษณะการพูดจา และท่วงท่าความประพฤติ เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่สุญตาล้วนอายุไม่มากนัก ด้วยวัยเท่านี้เป็นธรรมดาที่จะพบเห็นผู้ฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง
แต่ด้วยอายุเยาว์เช่นนี้ ด้วยพลังฝึกตนต่ำต้อยเช่นนี้ กลับสามารถบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่! นี่บันดาลให้หวีป๋ายประหลาดใจอย่างยิ่ง
เจตจำนงกระบี่ที่แฝงอยู่ในปราณกระบี่เล่มที่สอง อยู่ในระยะลูกนกเพิ่งงอกขน กลุ่มหมอกขาวรอบปราณกระบี่อาจทำให้ผู้อื่นสับสนได้ง่าย นั่นไม่ใช่หมอกที่เกิดจากความเย็นของปราณกระบี่ แต่อันที่จริงมันประกอบไปด้วยเจตจำนงกระบี่ขนาดเล็กจำนวนมาก เจตจำนงกระบี่อันกระจัดกระจายเหล่านี้ยังคงห่างไกลจากความสำเร็จดังเช่นเจตจำนงกระบี่ของซินหยาน แต่ศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้นี้ ก็สามารถควบคุมบังคับได้ดังใจภายในระยะเวลาหนึ่ง
นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย!
หวีป๋ายรู้สึกเหลือเชื่อนัก มันมักจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่เมื่อได้พบศิษย์ผู้คล้ายผีดิบผู้นี้ มันต้องรู้สึกอับจนถ้อยคำ ยามที่มันบรรลุเจตจำนงกระบี่ครั้งแรก ก็อยู่ในด่านจู้จีขั้นกลางแล้ว ทั้งยังต้องนั่งเข้าฌานในเตาหลอมกระบี่ของซือฟู่มากกว่าสามสิบวัน กว่าจะบรรลุความเข้าใจบางประการ
ยิ่งไปกว่านั้น ป้ายหยกชุนหยาของเกษตรกรปราณก็ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะครอบครองได้ง่ายๆ!
หวีป๋ายเติบโตขึ้นมาในตงฝู ย่อมตระหนักดีว่านี่เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงไหน
เมื่อรวมเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว มีเพียงข้อสรุปเดียวสำหรับมัน... ตัวตนอันเข้มแข็งอีกผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากสำนักกระบี่สุญตา! แม้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรยังไม่สูงล้ำ แต่อนาคตของมันผู้นี้ยาวไกลไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง
สำนักกระบี่สุญตาที่ลึกลับอยู่แล้วในใจหวีป๋าย กลับกลายเป็นลี้ลับสุดหยั่งคาดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ฝากคารวะผู้อาวุโสสือฟ่งหรงให้แก่ข้าด้วย” หวีป๋ายประสานมือคำนับอย่างอบอุ่น แต่แล้วสังเกตเห็นความระมัดระวังในดวงตาจั่วม่อ มันเองก็เป็นบุคคลอันภาคภูมิผู้หนึ่ง ดังนั้นความตั้งใจสร้างสัมพันธ์จู่ ๆ ก็เลือนหายไป “แม้ว่าตงฝูจะปกป้องเกษตรกรปราณ แต่เจ้าต้องระมัดระวังตัว อย่าได้พยายามล่วงเกินผู้คนมากเกินไป”
จบคำ มันโบกมือและเหาะเหินจากไป
จั่วม่อหัวใจที่เขม็งเครียดพลันคลายลง ทีแรกมันเตรียมพร้อมจะรับบาดเจ็บอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะแคล้วคลาดปลอดภัยมาได้ กระทั่งตัวมันเองยังรู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่บ้าง
ฟู่จินไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงมากนัก ทั้งยังปฏิเสธจิงสือที่จั่วม่อจะชดเชยให้อย่างแข็งขัน พายุที่พัดเข้ามาหนนี้เปลี่ยนแปลงมิตรภาพระหว่างพวกมันไปตลอดกาล จั่วม่ออาจไม่ชมชอบหวีป๋าย แต่มันสำราญใจยิ่งที่ได้คบหาฟู่จินเป็นสหาย
ทุกผู้คนล้วนเป็นประชาชนตัวเล็ก ๆ ที่ไร้คุณค่าความสำคัญเช่นเดียวกัน!
ฟู่จินเป็นงูเจ้าถิ่น มันทราบกระจ่างว่าที่ไหนขายสินค้าอันใด ดังนั้นภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม มันก็ช่วยจั่วม่อซื้อหาทุกสิ่งที่ต้องการจนครบถ้วน
ในถุงผ้าใบโตของจั่วม่อ บรรจุเมล็ดพันธุ์สมุนไพรปราณกับหญ้าปราณหลากชนิด สามสิบชิ้นจิงสือที่เพิ่งได้รับมา ถูกจับจ่ายออกไปจนเกลี้ยงเกลา
ถือถุงผ้าขึ้น มันร่ำลาฟู่จินเล็กน้อย แล้วนั่งห่านจะงอยเทาตรงกลับไปยังเทือกเขาสุญตา
จั่วม่อตกลงใจว่าจนกว่าจะบรรลุด่านจู้จี มันจะไม่ลงจากภูเขาอีก มันยังคงหวาดหวั่นไม่คลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตัวมันกับสำนักกระบี่ตงฉีเกิดความบาดหมางขึ้นแล้ว หากต้องเผชิญพบกับศิษย์สำนักตงฉีอีก สำหรับมันคงไม่มีจุดจบที่ดี หรือจะคาดหวังว่าจะโชคดีเหมือนวันนี้ทุกครั้งไป นั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันแล้ว
ตงฝูไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป!