บทที่ 36 พบกันอีกครั้ง
ลานน้อยลมตะวันตกกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่สุญตา โดยเฉพาะสำหรับเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลาย ที่แห่งนี้ยังสำคัญยิ่งกว่าที่พักของของศิษย์ฝ่ายในอื่น ๆ ทั้งหมด ศิษย์ฝ่ายนอกส่วนใหญ่ล้วนทำอาชีพเกษตรกรรม สิ่งที่พวกมันหวาดกลัวที่สุดย่อมเป็นปัญหาหลากหลายในทุ่งนาปราณ เมื่อมีเกษตรกรปราณผู้หนึ่งอยู่ในสำนัก พวกมันย่อมรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยที่สุดหากเกิดปัญหาอันใด พวกมันก็ทราบว่าสมควรแล่นไปหาผู้ใด
บ้านใหม่เอี่ยมอ่องพร้อมลานบ้านกว้างใหญ่ตั้งตระหง่านในหุบเขา กำแพงด้านนอกก่อด้วยหินปูนสีขาว ด้วยเนื้อหินละเอียดอ่อนและความแกร่งเย็นของหินปูน ช่วยเพิ่มพูนกลิ่นอายเงียบสงบและสันติสุขอันบางเบาชนิดหนึ่ง เถาไม้เลื้อยไหลลู่ราวกับสายน้ำตก มวลหมู่ดารากระพริบแสงเป็นครั้งคราว สว่างแวววามเป็นจุดแต้มกลางนภา สระน้ำในลานไม่ได้เป็นสระโคลนไร้รสนิยมเหมือนที่บ้านหลังเก่า แต่เป็นสระบัวปราณีตที่มีบัวอัคคีม่วงระดับที่หนึ่งปลูกไว้จนเต็ม
บัวอัคคีม่วงดูประหนึ่งเปลวไฟสีม่วงลุกไหม้ในสายวารี ในยามราตรีจะได้เห็นพวกมันเรืองแสงสีม่วงสลัวรางเลือน ระหว่างกอบัวอัคคีม่วง เห็นปลากรรไกรเงินว่ายน้ำอย่างสุขสำราญ พวกมันคล้ายใบมีดนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานไปด้วยกัน ประหนึ่งเส้นสีเงินหลายสิบเส้นตัดไขว้กันไปมา แพรวพราวละลานตาไปหมด
น่าเสียดายที่จั่วม่อไม่ได้อยู่ในอารมณ์ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงาม เช่นเดียวกับกาลก่อน มันยังต้องไปหุบเขาหมอกเย็นเยือกในเวลาเดียวกัน เป็นประจำทุกวัน เพื่อเสกเรียกฝนและดูแลสมุนไพรปราณ
เวลานี้มันเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้ว กฎห้ามบินในภูเขาไม่มีผลกับมันอีกต่อไป จั่วม่อแปะยันต์เทพสัญจรไว้ที่ขา แต่ละก้าวของมันประหนึ่งเหินบินช่วงสั้น ๆ ความรวดเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าพาหนะบินสักเท่าใด ไม่ต้องกล่าวถึงการประหยัดเวลาไปไม่น้อย มันยังเพลิดเพลินติดอกติดใจกับการเดินทางแบบนี้มาก
หลายวันมานี้ ในช่วงเวลากลางวันมันจะดูแลทุ่งปราณเหมือนเช่นปกติ แต่พอตกกลางคืน จะวิ่งไปยังห้องศิลาอย่างเงียบเชียบ เพื่อเข้าฌานและฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด
แม้ว่าจุดประสงค์หลักของเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด จะอยู่ที่การฝึกฝนจิตสำนึก เพิ่มพูนพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่ความสามารถในการเพิ่มพูนพลังปราณยังคงไม่เลวนัก มันดีกว่าคัมภีร์กฎสิบประการไม่น้อย เมื่อรวมกับความช่วยเหลือจากเส้นชีพจรปราณปฐพี ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความก้าวหน้านับว่าน่าประหลาดใจ! พลังบำเพ็ญเพียรของจั่วม่อทะลวงผ่านไปยังด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้าอย่างเงียบเชียบ โดยที่มันไม่ทันได้รู้สึกตัว
เส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องศิลากลายเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจั่วม่อ นอกเหนือจากเรื่องผูเยา
จั่วม่อระมัดระวังเป็นพิเศษในการปกปิดอำพรางปากโพรง มันไม่ได้ใช้เพียงหินอัคนีไม่กี่ก้อนปิดทางเข้าเท่านั้น แต่ยังปลูกต้นหญ้าจำนวนมาก และจัดวางสุมทุมพุ่มไม้ไว้รอบ ๆ มองจากภายนอก ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้ค้นพบได้
ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวของมัน คือผู้อาวุโสเช่นซือฟู่ของมันหรือท่านเจ้าสำนัก อาจมาเยี่ยมเยือนยังที่นี่ด้วยตนเองในเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นมันไม่กล้าจัดตั้งอาคมหวงห้ามใด ๆ ด้วยฝีมือของมันอาคมหวงห้ามที่สามารถจัดตั้ง ล้วนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงกับบุคคลระดับนั้น ทั้งยังจะทำให้พวกท่านเกิดสะกิดใจขึ้นมาแทน
วันคืนของจั่วม่อยามนี้เรียกได้ว่าสะดวกสบายอย่างยิ่ง นอกเหนือจากจิงสือที่ได้รับในแต่ละเดือน มันยังได้รับเสบียงข้าวปราณอีกด้วย ตัวมันทำนาปลูกข้าวปราณมาสองปีกว่า แต่ไม่เคยรับประทานข้าวปราณเลยสักเม็ด
เม็ดข้าวปราณเต็มไปด้วยพลังปราณอันอุดมสมบูรณ์ เมื่อถูกดูดซึม จะให้พลังปราณที่อ่อนโยนอย่างยิ่งยวด แตกต่างจากพลังปราณอันแกร่งกร้าวตามธรรมชาติที่ดูดซับได้จากจิงสือ
อีกทั้งข้าวปราณยังสามารถนำไปใช้ในสถานที่พิเศษบางแห่ง อย่างเช่นมหานครนภาโลหิต
สามพันปีที่แล้ว ครั้นเมื่ออสูรปิศาจพ่ายสงคราม เพื่อรักษาขุมกำลังของพวกมันไว้ สุดท้ายพวกมันหลงเหลืออสูรปิศาจอันทรงพลังไว้ราวหนึ่งร้อยตน พวกมันทั้งหนึ่งร้อยใช้ร่างกายและเลือดเนื้อเป็นเครื่องนำทาง ใช้เขตปกครองขนาดกลางเจ็ดแห่งเป็นแกนหลัก และใช้สี่สิบเก้าเขตปกครองขนาดเล็กโดยรอบเป็นฉากละเลง สร้างพื้นที่มหานครนภาโลหิตอันชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื้อของอสูรปิศาจขึ้นมา และหยุดยั้งการรุกคืบของทัพซิวเจ่อไว้ได้สำเร็จ
ภายในอาณาเขตของมหานครนภาโลหิต พลังปราณธรรมชาติทั้งหมดกลายเป็นทั้งสกปรกปนเปื้อน ทั้งสับสนวุ่นวาย เหล่าผู้ฝึกตนย่อมไม่สามารถดูดซับพลังปราณที่มีสภาพเช่นนั้นได้
จนถึงวันนี้ ผู้ที่เดินทางไปยังมหานครนภาโลหิต จำเป็นต้องพกพาจิงสือและข้าวปราณไปด้วยเป็นจำนวนมาก จิงสือถูกใช้เพิ่อเติมเต็มการใช้งานพลังปราณตามปกติ แต่เนื่องจากความจริงที่ว่าพลังปราณธรรมชาติในจิงสือแกร่งกร้าวเกินไป การพึ่งพาจิงสือเพียงอย่างเดียว อาจบังเกิดผลเลวร้ายตามมาถึงขั้นพลังปราณแตกสลาย ส่วนพลังปราณธรรมชาติในเม็ดข้าวปราณ แม้ว่าจะไม่มีพลังงานมากเท่าที่มีอยู่ในจิงสือ แต่มันอ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งยังสามารถช่วยเหลือผู้ฝึกตนเสริมสร้างความมั่นคงให้กับพลังบำเพ็ญเพียรของพวกมัน
เหล่าศิษย์สำนักใหญ่บางสำนักจะรับประทานข้าวปราณทุกวัน เพื่อเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของพวกมัน
แต่สำหรับสำนักเล็ก ๆ เช่นสำนักกระบี่สุญตา เพียงสามารถจัดสรรให้บางส่วนในแต่ละเดือนเท่านั้น ซ้ำยังเป็นเพียงข้าวปราณคุณภาพระดับต่ำ แต่กล่าวไปกล่าวมา ต่อให้เป็นเพียงข้าวปราณระดับหนึ่ง จั่วม่อก็ยังไม่เคยรับประทานมาก่อนแม้แต่เม็ดเดียว
จั่วม่อยามนี้กำลังศึกษาม้วนคัมภีร์หยกที่ผู้อาวุโสเว่ยหนานทิ้งไว้ ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสเว่ยหนานจะมีพลังฝึกตนจำกัด แต่หลากหลายวิถีทางที่มันเดินผ่านมา ก็มีประโยชน์มากสำหรับจั่วม่อที่จะใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง อย่างเช่นการเกษตรกรรม ผู้อาวุโสเว่ยหนานก็เป็นเกษตรกรปราณ ทั้งยังสามารถหลอมกลั่นโอสถ นั่นไม่ใช่คล้ายคลึงกับจั่วม่ออย่างยิ่งหรือ? จั่วม่อยังไม่คิดจะแตะต้องพวกเคล็ดวิชาอันคลุมเครือเหล่านั้น วิธีการหาจิงสือต่างหาก จึงจะเป็นสิ่งที่มันต้องการมากที่สุดในเวลานี้
สำหรับซิวเจ่อด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง อันใดจึงเป็นวิธีการหาจิงสือที่ง่ายดายที่สุด? ปลูกพืชอะไรดี? นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ตอบได้ง่ายนัก
ในที่สุดได้เป็นเจ้าของทุ่งปราณระดับสามที่มีพื้นที่ถึงยี่สิบหมู่ จั่วม่อย่อมต้องคำนวณและจัดระเบียบให้ดีเป็นธรรมดา ตอนนี้มันไม่มีจิงสือเลย ถูกผูเยาขูดรีดไปจนแห้งกรอบสนิท เบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับจากสำนักในแต่ละเดือน แม้ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย แต่สำหรับมันแล้วไม่ต่างอันใดกับตกลงในถัง*
(*เป็นสำนวน ตรงกับสำนวนไทย น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หมายความว่าเงินที่สำนักให้ มันไม่พอให้จั่วม่อใช้จ่าย)
สิ่งของเช่นเส้นชีพจรปราณปฐพีไม่สามารถแปลงเป็นจิงสือได้โดยตรง แต่แม้ว่าสามารถขายได้จริง ๆ จั่วม่อก็ไม่มีทางขายเป็นอันขาด ละทิ้งผลประโยชน์ระยะยาว เพื่อหวังกำไรในระยะสั้น คนฉลาดเช่นมันจะทำสิ่งโง่เขลาเช่นนั้นได้อย่างไร?
การคิดหาหนทางทำกำไรจิงสืออย่างมั่งคั่งยั่งยืน เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดของเว่ยหนาน อันที่จริงสำหรับผู้ฝึกตนโดดเดี่ยวทุกคน จิงสือเป็นปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งปริมาณจิงสือที่หามาได้ จะส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของพวกมัน
ยุทธภัณฑ์เวท ม้วนคัมภีร์หยก วัตถุดิบ... ...
มีอันใดไม่ต้องใช้จิงสือ?
แม้ว่าตอนนี้จั่วม่อจะเป็นศิษย์ฝ่ายใน ทั้งสำนักยังจะทุ่มเทอบรมบ่มเพาะมัน และอำนวยความสะดวกให้แก่มันในหลาย ๆ ด้าน แต่จะอย่างไรยังคงมีข้อจำกัด
แต่เมื่อเทียบกับสภาพการณ์ของจั่วม่อ สถานการณ์ของเว่ยหนานในอดีตยังยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่า ดังนั้นเส้นทางที่มันได้บุกเบิกทิ้งไว้ มีคุณค่ามหาศาลสำหรับการต่อยอดดัดแปลงของจั่วม่อ
นั่งอยู่บนหลังห่านจะงอยเทาที่สำนักมอบให้แก่มัน จั่วม่อนำถุงผ้าทั้งใหญ่ทั้งเล็กออกมา ขณะที่มันนั่งอย่างเกียจคร้านบนหลังของห่าน ของเหล่านี้ทั้งหมดเป็นของกำนัลที่ผู้อื่นมอบให้มัน แต่มันไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงวางแผนที่จะเปลี่ยนสิ่งของทั้งหมดเป็นจิงสือ แม้ว่าจะได้ไม่มากเท่าใด แต่เวลานี้มันไม่มีทางอื่น หรือจะหวังให้ผูเยาคายจิงสือออกมาบ้าง? นั่นเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
ผูเยาเอาแต่นั่งหลับตาอยู่บนป้ายหินสุสานทุกวี่วัน ดูคล้ายมันนั่งเข้าฌาน แต่อย่างมันยังจำเป็นต้องฝึกปรืออีกหรือไม่? จั่วม่อเองก็กระหายใคร่รู้อยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้จั่วม่อยังไม่คิดจะตอแยมัน ผูเยาอารมณ์แปรปรวน โหดเหี้ยม ซ้ำยังคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือน แต่พลังฝีมือกลับลึกล้ำสุดหยั่งคาด บุคคลเช่นนี้ท่านไม่มีวันรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป ท่านไม่เคยคาดเดาได้ว่าในใจมันกำลังคิดอันใด ท่านยังคงไม่ทราบว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคือสิ่งใด
จั่วม่อรู้สึกว่าผูเยาสมกับเป็นอสูรที่แท้จริง มันจะให้สิ่งล่อใจที่ทำให้วิญญาณของท่านสั่นสะเทือน และเมื่อท่านเผลอเพลิดเพลินถึงขีดสุด จะเป็นเวลาที่ท่านตกลงสู่ก้นบึ้งนรก
ด้วยการทรมานทรกรรมที่ผูเยากระทำต่อมัน จั่วม่อเคยชิงชัง เคยคั่งแค้น เคยรู้สึกสิ้นหวัง แต่เมื่อซือฟู่บอกความจริงแก่มัน ว่าร่างกายมันถูกเปลี่ยน จิตใจถูกลบล้าง อารมณ์เหล่านี้ที่เคยก่อปัญหาให้แก่มัน ก็พลันหายวับไปเหมือนหมอกควัน
เพราะมันต้องการพลัง!
เพราะมันต้องการคำตอบ!
ความทุกข์ทรมานเล็กน้อยแค่นี้ ยังจะนับเป็นอะไรได้?
จั่วม่อจดจำได้อย่างชัดเจน ถึงความรู้สึกแปลกที่แปลกทางกับความไม่คุ้นเคย ยามที่มันตื่นขึ้นมาครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว
ตลอดสองปีมานี้ เสียงในความฝันนั้นทรมานมันนับครั้งไม่ถ้วน มันหวาดกลัว มันขวัญหนีดีฝ่อ มันลังเล มันคลางแคลงใจ มันเคยคิดจะพยายามหาคำตอบ แต่ไม่เคยพบเงื่อนงำแม้แต่น้อย มันไม่มีปัญญาแม้แต่จะเริ่มต้น ดังนั้นมันสับสนกับหนทางที่มันก้าวเดิน และไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง
บัดนี้มันตื่นขึ้นแล้ว!
จั่วม่อคิดเพียงอย่างเดียว มันจะต้องค้นหาคำตอบให้จงได้ ตัวมันเป็นใคร! เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือผู้ใด!
อภัยให้ไม่ได้เป็นอันขาด!
บนหลังของห่านจะงอยเทา จั่วม่อทอดสายตามองตงฝูปรากฏขึ้นกลางหมู่เมฆ กำหมัดแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อ
ตงฝูยังคงเป็นเช่นเดิม กระแสผู้คนหลั่งไหลล้นหลาม จั่วม่อตรงดิ่งไปยังตลาดเสรี เสาะหาฟู่จิน
ฟู่จินนัยน์ตาแหลมคมไม่น้อย ค้นพบป้ายหยกชุนหยาที่เอวจั่วม่อในทันที มันสะท้านขึ้นทั้งร่าง อ้าปากหวอ จากนั้นสักครู่ค่อยกลับเป็นปกติ แม้ว่าร่องรอยตระหนกยังคงค้างอยู่ในสายตาก็ตาม แต่มันก็รีบปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
“ขอแสดงความยินดีด้วย เสี่ยวม่อเกอ! อ้า เสี่ยวม่อเกอ! จุ๊ จุ๊ เกษตรกรปราณอายุเยาว์ถึงเพียงนี้ อ๊า เสี่ยวม่อเกอท่านพิเศษอย่างแท้จริง! เชิญ เชิญ!”
จั่วม่อไม่เสียเวลากล่าวหยอกล้อ เสียงดังโครม มันโยนถุงผ้าใบใหญ่ให้ฟู่จิน “ช่วยข้าขายสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่”
“อันใด?” ฟู่จินถามพลางเปิดถุงผ้าออกอย่างรวดเร็ว เพียงกวาดตามองแวบหนึ่ง มันก็ประเมินค่าสิ่งของเหล่านี้เสร็จสิ้น แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ล้วนไม่มีค่ามากนัก ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ ทุกผู้คนล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกด่านเลี่ยนชี่ พวกมันจะมีปัญญามอบสิ่งมีค่าให้ได้อย่างไร
ในหัวมันหมุนเร็วจี๋ เมื่อคำนวนแล้วเสร็จก็แจ้งราคาที่ใจกว้างไม่น้อย “ห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสอง เป็นอย่างไร?”
จั่วม่อย่อมรู้จักตลาดเป็นอย่างดี สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีคุณค่าถึงห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสอง มันส่ายหัว “มากเกินไป สามสิบชิ้นจึงถูกต้อง”
“ตกลง” ฟู่จินก็ไม่อิดออด ส่งจิงสือให้อย่างรวดเร็ว ส่วนสิ่งของวางทิ้งไว้ทางหนึ่ง มันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ตอนนี้เสี่ยวม่อเกอมีความก้าวหน้าแล้ว อย่าลืมสนับสนุนน้องชายผู้นี้บ้าง!”
พวกมันสนทนากันอีกครู่ใหญ่ จั่วม่อรับฟังอย่างระมัดระวัง อย่าได้ประเมินเจ้าของร้านค้าเล็ก ๆ เช่นฟู่จินต่ำเกินไป คนเช่นพวกมันมีสัญชาตญาณที่ไวมาก การเคลื่อนไหวใด ๆ ในท้องตลาด ไม่อาจปกปิดจากสายตาของพวกมันได้ จั่วม่อพอจะคาดเดาออกว่าฟู่จินกังวลอย่างยิ่งยวด ก่อนหน้านี้ราคาของข้าวปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ในแต่ละปี ผู้คนมักไปยังมหานครนภาโลหิตเพื่อล่าอสูร แต่ราคาของข้าวปราณไม่เคยสูงเกินจริงถึงเพียงนี้ เมื่อเชื่อมโยงกับข่าวลือล่าสุดเกี่ยวกับมหานครนภาโลหิต ผู้คนก็อดวิตกกังวลไม่ได้แล้ว ตามที่ฟู่จินกล่าวมา ไม่ใช่แค่เพียงเขตปกครองนภาจันทร์ แต่ราคาของข้าวปราณในทุกเขตปกครองล้วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าความขัดแย้งในมหานครนภาโลหิต มีแต่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
หรือจะเป็นอสูรปิศาจเริ่มตอบโต้จริง ๆ ?
หลังจากได้ฟังคำพูดของฟู่จิน จั่วม่อหัวใจหนักอึ้งไม่น้อย สำหรับซิวเจ่อระดับต่ำเช่นมัน สิ่งที่อันตรายที่สุดคือสถานการณ์อันสับสนอลหม่าน ในยามที่มหาสงครามเช่นเดียวกับเมื่อสามพันปีก่อนเริ่มต้นขึ้น ซิวเจ่อระดับต่ำไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสุนัขหญ้าฟาง ที่จะตายก่อนใครทั้งหมด
“โฮ่ แม้ภูผาจะไม่เคลื่อน แต่สายธารบนภูผายังรินไหล นี่เรียกว่าคู่แค้นทางคับแคบอย่างแท้จริง!” สุ้มเสียงแปลกประหลาดเสียงหนึ่งพลันขัดจังหวะความคิดของจั่วม่อ
มันเงยหน้าขึ้นมอง และรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที
บุรุษสองคนปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามัน หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์สำนักกระบี่ตงฉี เจ้าของกระบี่บินที่ถูกมันทำลายทิ้งในครั้งก่อนผู้นั้นเอง ส่วนบุรุษที่ด้านข้างเป็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง อาจจะเป็นศิษย์พี่ของเจ้าผู้นั้น พลังสภาวะของมันเข้มแข็งกว่ามาก
ฟู่จินเฉลียวฉลาดยิ่ง พอเห็นสถานการณ์ ในใจก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันที แต่ยังรีบปั้นรอยยิ้มบนใบหน้า “นายท่านทั้งสอง เชิญเชิญเชิญ พวกเรานั่งลงก่อน ดื่มชาสักจอก......”
ปึ้ก!
เสียงกล่าววาจาชะงักขาดหายในฉับพลัน ฟู่จินปลิวลิ่วไปดุจกระสอบทรายใบหนึ่ง
“สวะเอ๊ย! ต่อหน้าข้ามีที่ให้เจ้ากล่าววาจาหรือ?”ศิษย์สำนักตงฉีนั้นชักมือกลับ พลางกล่าวอย่างเย็นชา
จั่วม่อไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจู่ ๆ ก็ลงมือโดยไม่บอกกล่าว จึงไม่ทันได้ตอบสนอง ได้แต่รีบวิ่งไปประคองฟู่จิน เมื่อเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้ากับเลือดที่ทะลักลงจากมุมปากของฟู่จิน จั่วม่อดวงตากลายเป็นมืดมน มันค่อย ๆ ประคองฟู่จินลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นหมุนตัวกลับมาช้าๆ
“ผู้ใดช่างโง่เขลาไม่รู้ความ ปล่อยสุนัขออกมาเที่ยวไล่กัดคนได้อย่างไร?” จั่วม่อจ้องมองผู้ที่เพิ่งลงมือตาเขม็ง ปลายนิ้วลูบแหวนกระบี่ทอง
คนผู้นั้นใบหน้าแดงฉานดุจตับสุกร ตวาดด้วยโทสะ “เจ้า เจ้า มารดาเจ้า... ...”
เสียงของมันขาดหายไปในฉับพลัน
ปราณกระบี่สายหนึ่ง ประจุเต็มไปด้วยเมฆปราณน้ำค้างแข็ง แทงใส่หว่างคิ้วมันอย่างแม่นยำ!