บทที่ 34 ศิษย์ฝ่ายใน
เผยเหยียนหรานทอดตามองจั่วม่อผู้ยังยืนซึมเซา มุมปากกลั้นยิ้ม ดวงตาทอประกายขบขัน กล่าวต่อว่า
“ศิษย์ฝ่ายในทุกคนล้วนกราบอาจารย์เป็นหลักของตน เจ้าในเมื่อครอบครองป้ายหยกชุนหยา สมควรเข้าอยู่ในแนวทางของอาจารย์อาหญิงสี่ อาจารย์อาหญิงสี่ของเจ้าเชี่ยวชาญการหลอมกลั่นโอสถ ไม่มีผู้ใดในสำนักยกขึ้นเปรียบกับนางได้ในความรอบรู้เรื่องสมุนไพรปราณ กระทั่งในตงฝู ความรอบรู้ของนางยังมีชื่อเสียงไม่น้อย หากข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์ของนาง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง แล้วตอบสนองในฉับพลัน รีบคุกเข่าโขกศีรษะไปทางสือฟ่งหรง พลางตะโกนเสียงดัง “ศิษย์คารวะซือฟู่!”(ซือฟู่-ท่านอาจารย์)
การเข้าสู่สายการปกครองของอาจารย์อาหญิงสี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับมัน ทักษะที่มันมีล้วนอยู่ในแนวทางการเพาะปลูกพืชปราณทุกชนิด และสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์มากต่อการหลอมกลั่นโอสถ ควรทราบว่าวิถีแห่งการหลอมกลั่นโอสถนั้น จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรสมุนไพรปราณมากมายมหาศาลทีเดียว
“ลุกขึ้น” สือฟ่งหรงตอบรับเบา ๆ สุ้มเสียงยังคงเย็นชาดังเช่นปกติ
จั่วม่อยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง
“ศิษย์น้องหญิง ต่อไปฝากให้เจ้าดูแลมันด้วย” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่เจ้าสำนักอย่าได้กังวล ข้าจะไม่ปิดบังสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมด แต่หากมันไม่เต็มใจพากเพียรพยายามเอง ศิษย์พี่ท่านไม่อาจโทษว่าข้าทีหลัง”
ถ้อยคำอันเย็นชาของสือฟ่งหรงไม่ผิดอันใดกับอ่างน้ำเย็นเฉียบราดใส่ศีรษะ ปลุกจั่วม่อให้ตื่นขึ้นจากความปลาบปลื้มในบัดดล กลายเป็นรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมาทันที ความหมายที่แฝงนัยในคำพูดของท่านอาจารย์ ทำให้มันหวั่นเกรงไม่น้อย
เผยเหยียนหรานพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ประเสริฐ” จากนั้นหันไปทางจั่วม่อ “เจ้ายังมีคำถามใดหรือไม่?”
จั่วม่อส่ายศีรษะสุดชีวิตเพื่อแสดงว่ามันไม่มีข้อสงสัย เดิมทีมันต้องการถามว่า หากมีปัญหาเกี่ยวกับการหลอมสร้าง มันสามารถไปถามอาจารย์อารองได้หรือไม่
แต่แล้วมันพลันนึกขึ้นมาได้ ถึงเจตจำนงกระบี่หิมะขาวที่ทรมานมันมานับครั้งไม่ถ้วนเล่มนั้น จนถึงขนาดทำให้มันอยากตาย เดิมทีกระบี่นั้นไม่ใช่มาจากอาจารย์อารองซินหยานหรือเล่า? คำถามที่ขึ้นมาถึงปากแล้วกลืนกลับลงไปในทันที มันรู้สึกว่ามันคงเสียสติไปแล้ว ไฉนเผลอบังเกิดความคิดโง่เขลาเยี่ยงนั้นขึ้นมาเสียได้?
นั่นไม่ใช่พาตัวเองเข้าไปติดกับดักเสียเองหรอกหรือ?
เกือบหลงลืมไปว่าผูเยายังคงนั่งเอกเขนกอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน
หลังจากความตื่นตระหนกบรรเทาลงไปบ้าง สมองก็ฟื้นคืนสู่ความแจ่มใส มันรู้สึกว่าต่อไปจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ ต่อให้ตอนนี้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในไปแล้ว แต่หากสัมผัสได้ถึงตัวตนของผูเยา มันแน่ใจว่าปฏิกิริยาแรกของอาจารย์อาซินหยาน คือชักกระบี่ฟันร่างมันไปพร้อมกับผูเยา!
สังหารปิศาจ พิฆาตอสูร!
โอย น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!
ถึงแม้ว่าในระยะหลังเมื่อเผชิญหน้ากับเจตจำนงกระบี่ จั่วม่อจะไม่หวาดกลัวเท่าที่เคยเป็น แต่นั่นก็เฉพาะกระบี่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันเองเท่านั้น
ในโลกแห่งความเป็นจริง เพียงกระบวนท่าเดียวของอาจารย์อาซินหยานก็เพียงพอจะสับมันเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น อย่าได้เห็นว่าผูเยามักหยิ่งยโสโอหังต่อหน้าจั่วม่อ แต่คาดว่าหากผูเยาเผชิญพบอาจารย์อาซินหยาน มันยังจะถูกฆ่าทิ้งในพริบตา
จั่วม่อยังจดจำภาพเหตุการณ์ ยามที่กระบี่ของซินหยานฟาดฟันทะเลดำในคราวนั้นได้ดี
เผยเหยียนหรานพบเห็นความตึงเครียดของจั่วม่อ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก มีศิษย์ผู้ใดในสำนักที่ไม่ตัวสั่นเมื่อต้องพบหน้าอาจารย์ทั้งหลาย? ท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์อาล้วนมีภาระมากมาย แม้ว่าจะปลาบปลื้มยินดีที่จั่วม่อกลายเป็นเกษตรกรปราณ แต่พวกมันจะไม่ใช้เวลามากเกินไปกับเรื่องราวเช่นนี้
ท่านเจ้าสำนักกล่าวให้กำลังใจอีกสองสามคำ เสร็จแล้วลุกขึ้นพร้อมเหล่าอาจารย์อา
สือฟ่งหรงเดินชดช้อยจากไป จั่วม่อรีบติดตามไปจนทัน
สือฟ่งหรงไม่หันกลับมา เพียงกล่าววาจาราวกับพึมพำกับตัวนางเองว่า
“ข้าขอเตือนเจ้า ไม่ว่าท้ายที่สุดเจ้าจะเลือกหนทางใด แต่ตอนนี้เจ้าเมื่อเป็นศิษย์ของข้า ข้าย่อมต้องมีข้อเรียกร้องต่อเจ้า สำหรับเรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าจะไม่ก้าวก่าย แต่สิ่งที่ข้าสั่งให้เจ้าทำ เจ้าต้องทำให้สมบูรณ์”
ติดตามอยู่เบื้องหลัง จั่วม่อหัวใจเกือบกระดอนออกจากโพรงอก มันรีบตอบรับ “ศิษย์เข้าใจ!”
“ไปดูแลเรื่องของเจ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน อีกไม่กี่วัน ข้าจะส่งคนไปหาเจ้าเอง” สือฟ่งหรงกล่าวส่งท้าย
จั่วม่อมองส่งท่านอาจารย์ของมันจากไปอย่างระมัดระวัง ในใจรู้สึกหดหู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าซือฟู่ของมันไม่ใช่คนที่พูดคุยด้วยง่ายนัก!
ครั้นกลับไปยังบ้านหลังน้อยของมัน จั่วม่อพบว่าด้านนอกประตูลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คน ดูท่าศิษย์ฝ่ายนอกเกือบทั้งหมดล้วนรอคอยมันอยู่
“ไอ๊หยาหยา ศิษย์พี่กลับมาแล้ว!”
“ข้าก็เคยบอกแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่ คิดรับตำแหน่งศิษย์ฝ่ายใน ไยมิใช่ง่ายดายอย่างยิ่ง?”
“ศิษย์พี่จั่ว นี่เป็นสินน้ำใจเล็กน้อยจากผู้น้อง อาจไม่มีคุณค่ามากพอ ขอศิษย์พี่อย่าได้รังเกียจ... ...”
…….
จั่วม่อศีรษะพองโต ทีแรกมันเตรียมจะปฏิเสธของกำนัล แต่สังเกตเห็นสายตาวิตกกังวลของคนเหล่านี้ มันได้แต่ยอมรับของกำนัลทั้งหมดไว้ แล้วก็อย่างที่คาด เมื่อพวกมันเห็นจั่วม่อยอมรับของกำนัล ศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ก็เผยสีหน้าปิติยินดี
พวกมันทราบว่าหากมากความจะกลายเป็นรบกวนจั่วม่อ ดังนั้นเพียงแสดงความยินดี สนทนาอยู่ครู่หนึ่งก็พากันอำลากลับไป
ลานบ้านน้อยในที่สุดกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเช่นปกติ จั่วม่อหอบของกำนัลกองพะเนิน เดินเข้าไปในลานบ้าน แล้วค่อยวางของทั้งหมดลง
วันนี้เป็นวันที่น่าอัศจรรย์อย่างล้นเหลือ
หยิบป้ายหยกชุนหยาออกมา มันลูบไล้เบามือ รู้สึกถึงความละเอียดอ่อนและเรียบเนียนของเนื้อหยก
ร่างกายของมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่จิตใจยังคงตื่นเต้น ท่านเจ้าสำนักได้แบ่งหุบเขาทั้งหุบเขาให้แก่มัน แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะเหมาะสมกับอาชีพเกษตรกรปราณของมัน แต่กับผลประโยชน์เช่นนี้ยังถือว่าใจกว้างไม่น้อย นอกเหนือจากศิษย์พี่เหวยเสิ้งแล้ว ก็สมควรเป็นตัวมันเองที่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีที่สุดจากสำนัก
ทันใดนั้นจั่วม่อพลันนึกขึ้นได้ ถึงกล่องหยกที่ฝังทิ้งไว้ใกล้เส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยในห้องสันโดษ มันกลายเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
รีบวิ่งไปยังห้องสันโดษ ขุดกล่องหยกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พอเปิดออกดู มันพบว่าก้อนสินแร่ทองคำอันตรธานหายไปอย่างที่คาดไว้ และเจ้าแมลงทองทมิฬเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด บนเปลือกแข็งสีดำพิสุทธิ์ของมัน เพิ่มรอยสัญลักษณ์คล้ายเหรียญกษาปณ์สีทองรูปหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย
จั่วม่อแล่นเข้าไปในทะลแห่งจิตสำนึก ผูเยายังคงนั่งแช่อยู่บนป้ายหินสุสานและฟังอินกุย มันกระทั่งดวงตายังไม่กระพริบ ล้อมรอบด้วยเมฆดำ อัญมณีสี่เหลี่ยมสีแดงสดดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด
ตั้งแต่ครั้งสุดท้าย ผูเยายังคงรักษาท่าทีเช่นนี้ไว้ ดูคล้ายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ผู แมลงทองทมิฬตัวนี้ใช่เข้าสู่ระดับที่สี่แล้วหรือไม่?” จั่วม่อพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ห้าชิ้นจิงสือระดับที่สอง” ผูเยาแบมือหรา
เป็น...ไปตาม...ที่คาด......
เจ้าผู้นี้กลับกลายเป็นโลภมากเสียยิ่งกว่าตัวมันเองไปตั้งแต่เมื่อใด? จั่วม่อชักรู้สึกรับไม่ได้ จิงสือเกือบทั้งหมดของมันล้วนไปจบลงในถุงเงินของผูเยา แต่มันกลับไม่เคยพบว่าผูเยาเอาจิงสือไปทำอะไร เจ้าผู้นี้อย่างกับหลุมลึกไร้ก้นบึ้งที่เอาแต่สวาปามจิงสือเข้าไป
ว่ากันว่าเผ่าอสูรสามารถสูบกินดวงวิญญาณ แต่จะอย่างไร เมื่อเทียบกับซิวเจ่อด่านเลี่ยนชี่เช่นมัน อสูรปิศาจแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเอาชนะได้ เป็นอัตลักษณ์ที่ห่างไกลอย่างไม่น่าเชื่อ พวกมันมีความสามารถกัดกินวิญญาณได้จริงหรือไม่ ผีเท่านั้นที่จะรู้
ในภายภาคหน้า มันสมควรหาเวลาว่างไปยังหอคัมภีร์ของสำนักบ้าง อาจเป็นไปได้ที่จะเสาะพบร่องรอยบางอย่าง จะอย่างไรตอนนี้มันเป็นศิษย์ฝ่ายใน หอคัมภีร์ย่อมเปิดกว้างสำหรับมันอยู่แล้ว
แต่ในเวลานี้ มันได้แต่ยอมจำนนไปพลาง ๆ ก่อน
“ตกลง” จั่วม่อกัดฟัน ตกลงใจจ่ายจิงสือแลกข้อมูล
เพียงจบคำของมันเท่านั้น ห้าชิ้นจิงสือระดับสองก็หายวับไปจากถุงเงิน ในส่วนนี้ผูเยาคล้ายดีขึ้นกว่าเดิมมาก อย่างน้อยก็ไม่เคยฉกไปเกินราคาที่บอก
“ใช่” ผูเยาพ่นคำตอบออกมาหนึ่งคำ
จั่วม่อตาลุกวาบ ในใจปลาบปลื้มยินดี มันยังจดจำได้แม่น ผูเยาเคยกล่าวว่าแมลงทองทมิฬระดับที่สี่ สามารถเสาะหาเส้นชีพจรปราณปฐพี
“ทำอย่างไรจึงจะเสาะพบเส้นชีพจรปราณปฐพี?”
“ห้าสิบชิ้นจิงสือระดับที่สอง!” ผูเยาทำการขูดรีดโดยกระทั่งตายังไม่ยอมลืมขึ้นมามอง
จั่วม่อได้แต่เหม่อมองอย่างโง่งม ผ่านไปครู่ใหญ่ ค่อยกรีดร้องโหยหวน “เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ!”
นี่มันครุ่นคิดวางแผนไว้ล่วงหน้าชัดๆ ! ทั้งเนื้อทั้งตัวจั่วม่อมีจิงสือเหลือเพียงห้าสิบสองชิ้นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าผูเยาพอเปิดปาก ก็สูบทรัพย์สินทั้งหมดของมันไป
ผูเยาเมินเฉยต่อการแข็งขืนน้อย ๆ อันน่ารักของจั่วม่อ “ข้าจะขึ้นราคาวันละสิบชิ้นทุก ๆ วัน”
จั่วม่อแทบกระอักเลือด แต่ผูเยามีเปรียบอย่างสมบูรณ์ มันไหนเลยจะมีทางเลือกอื่น ได้แต่กัดฟัน กล่าวอย่างเดือดดาล “ประเสริฐมาก ห้าสิบก็ห้าสิบเถอะ!”
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง เสียงจิงสือย้ายกระเป๋าฟังกระจ่างชัดเป็นอย่างยิ่ง
จั่วม่อแน่ใจว่าผูเยาตั้งใจกระทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก!
จั่วม่อขบกรามอย่างชิงชัง แต่มันไม่มีปัญญาต่อต้านเลย ผลประโยชน์มหาศาลดึงดูดใจมันมากกว่า หากเจ้าแมลงทองทมิฬสามารถค้นพบเส้นชีพจรปราณปฐพีได้จริง สำหรับมันแล้ว จิงสือที่เสียไปไม่นับว่ามากมายกระไรเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ระยะยาวที่จะได้รับ หากค้นพบเส้นชีพจรปราณปฐพีจริง ต่อไปมันสามารถบุกเบิกสร้างพื้นที่ทุ่งปราณระดับสูงขึ้นมา เมื่อรวมกับทักษะในฐานะเกษตรกรปราณของมัน ไม่ว่าจะปลูกพืชอันใด ย่อมมั่นใจได้ว่าทำกำไรได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้มันเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้ว ต่อให้ค้นพบเส้นชีพจรปราณปฐพีเส้นใหม่ นอกจากแบ่งปันบางส่วนให้แก่สำนักแล้ว ส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ในมือของมัน
จิงสือเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านข้างของมันยังมีเยาม๋อจอมละโมบ ที่โลภมากยิ่งกว่าซิวเจ่อเสียอีก อย่างเจ้าผูเยาตนนี้!
ผูเยาโยนเวทวิชาเสี้ยวหนึ่งมาให้มัน เวทวิชานี้ช่วยให้จั่วม่อสามารถควบคุมแมลงปราณได้ แต่มีเนื้อหาน้อยมาก ทั้งยังเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย จั่วม่อใช้เวลาเพียงไม่นานก็ร่ำเรียนจนครบถ้วนกระบวนความ
จั่วม่อดูแลรักษาเจ้าแมลงทองทมิฬตัวน้อยอย่างกับสมบัติล้ำค่า
หากแม้แต่ในบ้านมันยังปรากฏเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยเส้นหนึ่ง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเส้นชีพจรปราณปฐพีมากกว่านี้ในภูเขาสุญตา แต่ละส่วนของเส้นชีพจรปราณปฐพีมีคุณค่ามาก แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม
แม้ว่าหุบเขาลมตะวันตกจะถูกจัดสรรให้แก่มันทั้งหุบเขา แต่สำหรับทุ่งปราณ โดยเฉพาะทุ่งปราณระดับคุณภาพสูงค่อนข้างมีอยู่จำกัด อย่างเช่นในด้านของท่านอาจารย์ของมัน จำเป็นต้องมีทุ่งปราณชั้นสูงจำนวนมากคอยสนับสนุน เนื่องจากเหล่าวัตถุดิบคุณภาพสูงนั้นราคาแพงมากเกินไป
ตอนนี้จั่วม่อพยายามเริ่มเรียนรู้ทำการค้า แม้ว่าเกษตรกรปราณจะได้รับผลประโยชน์และการดูแลที่ดี แต่สำหรับเรื่องการทำกำไรจิงสือแล้ว กลับไม่ได้เร็วทันใจเท่าซิวเจ่อประเภทอื่น
เส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยในห้องสันโดษเหือดแห้งหายไปอย่างสิ้นเชิง จั่วม่อสันนิษฐานว่ามันหายไป เนื่องจากถูกแมลงทองทมิฬสูบกลืนพลังปราณปฐพีไปจนเกลี้ยงเกลา แม้ว่าจั่วม่อนั่งเข้าฌานอยู่ตรงจุดนั้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่เส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยไม่ค่อยได้รับผลกระทบนัก อาจเป็นเพราะตัวมันอยู่เพียงด่านเลี่ยนชี่ แต่ละครั้งดูดซับพลังปราณได้น้อยมาก ดังนั้นแทบไม่มีผลต่อการลดลงและการฟื้นฟูตัวเองของเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อย
แต่สำหรับแมลงทองทมิฬ เพื่อยกระดับของตัวมันเอง มันสูบกลืนพลังปราณปฐพีจำนวนมหาศาลเกินไป จึงเป็นเหตุให้พลังปราณปฐพีฟื้นตัวไม่ทัน จนเหือดแห้งหายไปในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ความอาลัยอาวรณ์เส้นสุดท้ายในใจจั่วม่อปลาสนาการไปสิ้น สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในบ้านน้อยหลังนี้ เป็นเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยเส้นนี้เอง เมื่อมันหายไปแล้ว จั่วม่อจึงไม่มีห่วงอันใดอีก
มันตัดสินใจไปยังหุบเขาลมตะวันตกเพื่อดูลาดเลา
หุบเขาลมตะวันตกตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างยอดเขาสามยอด แต่ยอดเขาทั้งสามล้วนไม่สูงนัก ดังนั้นแสงแดดสามารถส่องผ่านลงมายังหุบเขาได้อย่างเต็มที่ หากเทียบกับหุบเขาหมอกเย็นเยือกอันหนาวเหน็บและชิ้นแฉะแล้ว ที่นี่ทั้งอบอุ่นและน่ารื่นรมย์มากยิ่งกว่า
ถือป้ายทองแดงที่ท่านเจ้าสำนักมอบให้ จั่วม่อคอยหลีกเลี่ยงอาคมหวงห้ามตามเส้นทางอย่างระมัดระวัง อาคมหวงห้ามของที่นี่ แม้ไม่ถึงกับเข้มงวดเท่าที่หุบเขาหมอกเย็นเยือก แต่ยังเป็นอะไรที่ไกลเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนด่านจู้จีผู้หนึ่งจะอาจหาญต่อกรได้ อย่าว่าแต่เลี่ยนชี่ตัวน้อย ๆ อย่างมันเลย
แต่พลังแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ ก็แข็งแกร่งเกินกว่าซิวเจ่อด่านเลี่ยนชี่ธรรมดาทั่วไปมาก ดังนั้นพลังกดดันที่มันรู้สึกได้จากอาคมหวงห้าม ก็ยิ่งรุนแรงเกินกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาไปไม่น้อย
ครั้นเดินผ่านอาคมหวงห้ามด่านสุดท้ายเข้าไปอย่างระมัดระวัง จั่วม่อสามารถมองเห็นผืนแผ่นดินว่างเปล่า ขนาดกว้างใหญ่กว่าหุบเขาหมอกเย็นเยือกผืนหนึ่ง
ภูมิประเทศในหุบเขาเป็นที่ราบ มีพื้นที่ทุ่งปราณราวยี่สิบหมู่ เท่าที่มองดูผาดๆ สมควรเป็นทุ่งปราณคุณภาพระดับที่สาม แม้ว่าจะรกรุงรังไปด้วยต้นวัชพืช แต่ดูเหมือนพื้นที่ทุ่งปราณยี่สิบหมู่ผืนนี้ มีใครบางคนคอยมาดูแลอยู่เป็นประจำ ดังนั้นระดับคุณภาพของทุ่งปราณไม่ลดต่ำลง
ท้องทุ่งปราณยี่สิบหมู่อาจดูคล้ายไม่มากมายกระไรนัก แต่ทุ่งปราณยี่สิบหมู่ผืนนี้ จะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมัน หุบเขาลมตะวันตกทั้งหมดจะกลายเป็นลานบ้านของมันผู้เดียว ในที่แห่งนี้มันสามารถทำทุกอย่างที่มันต้องการกระทำ
การเลี้ยงดูเช่นนี้นับว่าใจกว้างอย่างแท้จริง!
มองพลังปราณธรรมชาติที่ไหลเวียนอยู่ในท้องทุ่งปราณ มองหุบเขามหึมาที่เป็นของมันทั้งหมด ความรู้สึกพึงพอใจพลุ่งขึ้นมาจนตันอยู่ในอก สิ่งเดียวที่จั่วม่อเสียดายอยู่บ้าง คือไม่มีน้ำตกอยู่ในพื้นที่ หากมีน้ำตกเล็ก ๆ สักสายหนึ่ง นี่คงจะสมบูรณ์แบบไม่น้อย
เหลียวมองต้นไม้โบราณและพงหญ้ารกเรื้อรอบด้าน หัวใจมันพลันสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง
รีบนำแมลงทองทมิฬออกมาจากอกเสื้อ จั่วม่อร่ายเวทวิชาควบคุม แมลงทองทมิฬตัวน้อยทีแรกหมอบนิ่งบนพื้นดิน จากนั้นเริ่มคลานออกไปอย่างแช่มช้า
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นของมันแล้ว หากจะลองสำรวจดูเป็นการประเดิมเสียหน่อย ก็ไม่เห็นจะมีอันใดไม่เหมาะสม!
ก้าก กั่ก กั่ก กั่ก!
เสียงหัวร่อแปลกประหลาดราวกับเสียงฆ้องแตกของจั่วม่อ ดังสะท้อนสะท้านไปทั่วหุบเขาลมตะวันตก