บทที่ 33 ป้ายหยกชุนหยาเปลี่ยนชีวิต
(ป้ายหยกชุนหยา - ป้ายหยกต้นอ่อนใบไม้ผลิ)
ตงฝู
หนึ่งในสิบสามเมืองใหญ่แห่งเขตปกครองนภาจันทร์ ที่นี่สมาคมของซิวเจ่อทุกประเภทได้รับการพัฒนาไปค่อนข้างสมบูรณ์ แม้ว่าเขตปกครองนภาจันทร์จะอยู่ภายใต้อำนาจของแดนคุนหลุน ทั้งยังประกอบด้วยสำนักกระบี่เป็นหลัก แต่ต่อให้เป็นเหล่าเซียนกระบี่เอง ความต้องการทรัพยากรทุกชนิดก็หาได้เล็กน้อยแต่อย่างใด
ดังนั้นในขณะที่เหล่าศิษย์เอกของสำนักต้องทุ่มเทฝึกปรือกระบี่ ผู้ดูแลสำนักยังคงพยายามอย่างหนัก เพื่อดึงดูดซิวเจ่อประเภทอื่น ๆ เข้ามาทำงานให้แก่สำนัก
ซิวเจ่อที่แตกต่างกันย่อมได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน กระทั่งซิวเจ่อประเภทเดียวกัน ก็ยังคงได้รับการเลี้ยงดูแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพลังฝีมือของพวกมัน ด้วยเหตุนี้เอง การประเมินผลจากสมาคมผู้เชี่ยวชาญทุกประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากกระอักกระอ่วนพอดู หากจะให้เซียนกระบี่สักคน เป็นผู้วัดระดับทักษะของเกษตรกรปราณ
สำหรับผู้ฝึกตนแต่ละคน เมื่อได้รับใบอนุญาตเป็นผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพแล้ว พวกมันสามารถหางานที่น่าพึงพอใจได้อย่างรวดเร็ว ในทุกที่ทุกเวลา
ซิวเจ่อทุกประเภทล้วนมีสมาคมของพวกมันเอง เกษตรกรปราณมีสมาคมพืชปราณ ผู้สื่อสารสัตว์ร้าย ก็มีสมาคมภาษาสัตว์ร้าย
“ขอแสดงความยินดีด้วย ช่างหาได้ยากที่จะพบเห็นเกษตรกรปราณอายุเยาว์ในตงฝู อีกทั้งยังบรรลุเคล็ดเมฆฝนหล่นรินถึงระดับที่สี่ อนาคตของเจ้าไร้ขีดจำกัดจริงๆ!”
เกษตรกรปราณผู้รับผิดชอบการทดสอบ ยิ้มให้จั่วม่อพร้อมกับส่งป้ายหยกให้ชิ้นหนึ่ง ในป้ายหยกมีลวดลายต้นอ่อนที่ทั้งวิจิตรบรรจง ทั้งเล็กบางจนแทบจะมองไม่เห็นต้นหนึ่ง พลังปราณเบญจธาตุหมุนวนอยู่รอบๆ ต้นอ่อนต้นนั้น
ป้ายหยกประจำตัวเกษตรกรปราณจัดเรียงได้สี่ระดับ ต้นอ่อนใบไม้ผลิ บุปผาฤดูร้อน ผลไม้ใบไม้ร่วง และจำศีลฤดูหนาว แต่ละระดับยังแบ่งแยกได้ละเอียดลงไปอีก แต่การประเมินรายละเอียดเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ดังนั้นเกษตรกรปราณจำนวนมาก เพียงทำใบอนุญาตสำหรับสี่ระดับใหญ่นี้เท่านั้น
จั่วม่อรับป้ายหยกมาอย่างเบิกบานใจ เพื่อป้ายหยกอันนี้ มันไม่ได้มานะบากบั่นอย่างเสียเปล่าจริงๆ !
สมาคมเกษตรกรปราณในตงฝู มีอำนาจในการออกป้ายหยกชุนหยา (ต้นอ่อนใบไม้ผลิ) เท่านั้น หากต้องการป้ายหยกระดับสูงกว่านี้ ได้แต่ต้องไปยังสถานที่ที่มั่งคั่งรุ่งเรืองกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาอันสั้นจั่วม่อยังไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนี้ การยกระดับของเกษตรกรปราณเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ ป้ายหยกเซี่ยฮวา (บุปผาฤดูร้อน) ซึ่งเป็นระดับถัดไป ต้องการให้เวทวิชาห้าชนิดบรรลุถึงขั้นที่ห้า นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องเรียนรู้วิธีบุกเบิกทุ่งปราณให้ได้คุณภาพสูงกว่าระดับที่สี่อีกด้วย
หลังจากคำนับขอบคุณผู้อาวุโส จั่วม่อตั้งใจจะออกไปจากสมาคมและกลับภูเขา แต่ทันทีที่มันออกมาพ้นประตูสมาคมเท่านั้น ผู้คนมากมายก็รุมล้อมเข้ามารอบกาย
“ท่านจั่ว สำนักเราต้องการเกษตรกรปราณอย่างเร่งด่วน มิทราบท่านจั่วสนใจ.... ...”
“อย่าไปฟังมัน สำนักมันเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ ไม่สามารถมอบผลประโยชน์อันดีงามให้แก่ท่าน สำนักเรามั่งคั่งร่ำรวยยิ่งกว่า ท่านสามารถร้องขอผลประโยชน์เท่าที่ท่าน... ...”
“หากท่านตกลงไปยังสำนักเรา... ...”
… …
เสียงเหล่านี้ระเบิดขึ้นพร้อมกัน จั่วม่อรู้สึกสมองลั่นอึงอล ในศีรษะดังหึ่งๆ ยุ่งเหยิงไปหมด
ในเวลานี้เอง สุ้มเสียงทุ้มลึกเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นอย่างกะทันหัน “ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย ทุกท่าน โปรดอย่าได้ขวางทางศิษย์หลานของข้า กรุณาหลีกทางด้วย”
เสียงนั้นไม่ได้ดังกึกก้อง แต่ทุกผู้คนล้วนได้ยินชัดเจน พลังงานอันลี้ลับแพร่กระจายออกมา เป็นธรรมดาที่ฝูงชนย่อมเปิดทางออกเป็นช่องกว้าง เพียงพลังบำเพ็ญเพียรนี้ ก็มากพอที่จะทำให้ทุกผู้คนหุบปากของพวกมันเอาไว้
เห็นบุรุษร่างอวบสมบูรณ์ใบหน้ายิ้มแย้มผู้หนึ่งเดินใกล้เข้ามา จั่วม่อหัวใจแทบกระดอนออกมา มันรีบประสานมือค้อมกายคำนับ “คารวะอาจารย์อาสาม!” จากนั้นหันไปทักทายหลี่อิงฟ่งที่ติดตามมาด้านหลังหยานเล่อ “ศิษย์พี่หญิง!”
หยานเล่อใบหน้าแย้มยิ้มอ่อนโยนเป็นกันเอง ตบไหล่จั่วม่ออย่างยินดี “ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเกษตรกรปราณผู้หนึ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาจากสำนักเรา ครั้งนี้ศิษย์พี่เจ้าสำนักคงได้ปลาบปลื้มจนน้ำตาไหลเป็นแน่แท้ หากมิใช่ว่าข้ามีธุระบางอย่างในตงฝู เกรงว่ากระทั่งข้ายังไม่อาจล่วงรู้เรื่องนี้”
ถึงตอนนี้หลี่อิงฟ่งกล่าวเสริมเข้ามา “ครั้งที่ศิษย์น้องช่วยกำจัดวัชพืชให้ข้าเมื่อไม่นานมานี้ ข้าตระหนักดีว่าสำนักเราจะมีเกษตรกรปราณเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่กระทั่งตัวข้าเองก็คาดไม่ถึง ว่าศิษย์น้องจะรวดเร็วทันใจถึงเพียงนี้ ศิษย์น้องจั่วม่อ ยินดีด้วย!”
“ข้าแค่โชคดี แค่โชคดีเท่านั้น!” พอเผชิญหน้ากับอาจารย์อาหยานเล่อ จั่วม่อกลายเป็นใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที ก็เจ้าปิศาจจอมวายร้ายตัวหนึ่งยังคงอาศัยอยู่ในหัวของมันนี่เอง
หากอาจารย์อาเกิดค้นพบเจ้าบ้านั่นเข้า... ...
จั่วม่อแทบไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ปากกล่าวละล่ำละลัก “สองสามวันมานี้ข้าเผอิญโชคดีมาก ทีแรกแม้แต่ตัวข้าเองยังคิดว่าต้องใช้เวลาอีกยาวนาน”
“นี่ยิ่งชัดเจนว่าสำนักเรากำลังจะรุ่งโรจน์ในไม่ช้า!” รอยยิ้มบนใบหน้าหยานเล่อกลายเป็นฮึกเหิม “มาเถอะ วันนี้เป็นโอกาสแห่งความยินดี จงเลือกสิ่งที่เจ้าชอบ ถือว่าเป็นของขวัญจากอาจารย์อาผู้นี้”
หลี่อิงฟ่งที่ด้านข้างส่งยิ้มมาให้ พลางกล่าวเสริมว่า “ใช่ ใช่ ศิษย์น้องจู่โจมอย่างคาดไม่ถึง กระทั่งข้าผู้เป็นศิษย์พี่หญิง ยังไม่มีเวลาตระเตรียมของขวัญให้”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ศิษย์พี่หญิงเกรงใจเกินไปแล้ว” จั่วม่อโบกมือเป็นพัลวัน ยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์อาสาม มันขวัญอ่อนถึงขีดสุด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ
แต่จนใจที่อาจารย์อาสามเริ่มสนทนา พลางดึงมันเดินไปพร้อมกัน
หากถามว่าผู้ใดมั่งคั่งที่สุดในสำนักย่อมเป็นอาจารย์อาสามผู้นี้เอง อาจารย์อาสามหยานเล่อรับผิดชอบจัดการดูแลทรัพย์สินของสำนักมานานหลายปี สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย หากพิจารณาจากสิ่งที่เห็นในยามนี้ อาจารย์อาหยานเล่อคล้ายต้องการปลูกฝังศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเป็นผู้สืบทอดของมัน
เรื่องนี้จั่วม่อรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งซื่อสัตย์จริงใจ ตรงไปตรงมา ใจคอกว้างขวาง รู้จักวางตัว ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีงามกับมัน
ร้านค้าที่อาจารย์อาสามพาจั่วม่อเข้าไป ย่อมเป็นร้านค้าชั้นสูงกว่าร้านที่ตัวมันเองมักเข้าไปเยี่ยมเยือน ภายในเห็นยุทธภัณฑ์เวททุกประเภทละลานตา ราวกับงานเฉลิมฉลองอันใดสักงาน
สิ่งที่จั่วม่อเลือกหยิบมากที่สุดคือม้วนคัมภีร์หยก สำหรับมันแล้ว ม้วนคัมภีร์หยกที่จารึกเคล็ดวิชาและเวทวิชาทุกประเภท เป็นสิ่งที่มันปรารถนามากที่สุด
หยานเล่อก็สังเกตเห็นสิ่งนี้ มุมมองของมันที่มีต่อจั่วม่อจึงยิ่งเพิ่มความเอ็นดูมากขึ้น ความจริงที่ว่าจั่วม่อสามารถคว้าป้ายหยกชุนหยามาครอบครองได้ก่อนที่มันจะเข้าสู่ด่านจู้จี เป็นเครื่องยืนยันพรสวรรค์อันโดดเด่นของมันได้เป็นอย่างดี ครั้นเมื่อได้รับป้ายหยกชุนหยามาแล้ว มันก็ไม่ได้ละโมบหรือหลงระเริงกับชีวิต สิ่งที่เลือกหยิบมากที่สุดยังเป็นม้วนคัมภีร์หยก ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะก้าวหน้า
สำหรับศิษย์อายุเยาว์ผู้หนึ่ง เมื่อเพียบพร้อมทั้งพรสวรรค์และความปรารถนาอันแรงกล้า ต่อให้ขาดโอกาสอันดีงามไปบ้าง มันยังจะไต่ขึ้นสู่ระดับความสูงที่ดีได้อย่างแน่นอน
ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนไม่ชมชอบศิษย์เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยานเล่อ ผู้เคยเป็นเพียงศิษย์สามัญธรรมดาในสำนักผู้หนึ่ง มันยังทราบดีว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดให้ความสนใจศิษย์ผู้นี้ หากยามนี้ยังไม่รีบผูกมัดใจมันไว้อีก ตัวมันเองก็นับว่าโง่งมจนไม่อาจอภัยแล้ว
วันนี้มันบังเอิญอยู่ที่ตงฝูเพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ พอได้ยินว่ามีใครบางคนได้รับป้ายหยกชุนหยา มันย่อมต้องมาชมดูสักครา เพื่อดูว่าสามารถหาลู่ทางดึงเข้าร่วมสำนักหรือไม่
ไหนเลยจะคาดคิดมาก่อน ว่าคนผู้นั้นกลับเป็นศิษย์สำนักมันเอง!
หยานเล่อคิดไปพลาง ชมดูไปพลาง อดไม่ได้ต้องช่วยคัดแยกยุทธภัณฑ์เวทออกมากองหนึ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่จั่วม่ออาจใช้ประโยชน์ได้
หลี่อิงฟ่งที่ด้านข้างพลันตระหนักว่าศิษย์น้องผีดิบของนาง แม้ยังไม่ได้เข้าสู่ด่านจู้จี แต่ในความเป็นจริงได้กลายเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของสำนักไปเรียบร้อยแล้ว
อาจบางที หลังจากนี้สำนักกระบี่สุญตา ศิษย์พี่เหวยเสิ้งจะรับหน้าที่ในการสู้รบ ศิษย์น้องจั่วม่อดูแลเรื่องราวภายใน และตัวนางเองรับตำแหน่งแทนอาจารย์ของนาง รับผิดชอบเรื่องราวด้านนอก โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ของนางกับจั่วม่อ ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่ได้
และนับจากนี้เป็นต้นไป ศิษย์พี่หลัวหลีไม่มีปัญญาคุกคามสถานะของศิษย์พี่เหวยเสิ้งได้อีก นอกจากนี้ศิษย์พี่เหวยเสิ้งกับศิษย์น้องจั่วม่อยังมีความสัมพันธ์เป็นเลิศ และสำหรับเหล่าผู้อาวุโส พวกมันย่อมต้องสุขสำราญบานใจ เมื่อเห็นทุกผู้คนปรองดองและร่วมมือกันเป็นอย่างดี
แล้วหลี่อิงฟ่งผู้จัดเรียงความคิดของนางจนชัดเจนแล้ว ก็ยังคงใจกว้างเช่นเคย นางมอบยุทธภัณฑ์เวทเป็นของขวัญให้แก่จั่วม่อถึงสองชิ้น
จั่วม่อใจลอยละล่องไปอย่างสมบูรณ์ ตระกองกอดยุทธภัณฑ์เวทกับม้วนคัมภีร์หยกไว้หอบหนึ่ง สติสัมปชัญญะเลอะเลือนมึนงง แต่ละสิ่งแต่ละชิ้นที่มันถืออยู่ตอนนี้ เมื่อก่อนคือสิ่งที่มันได้แต่เฝ้าใฝ่ฝันถึง บัดนี้ถึงกับหอบหิ้วไว้เป็นกองอยู่ในอ้อมแขน
รอยยิ้มอันชวนสนิทสนมบนใบหน้าอาจารย์อาสาม ทำให้มันหวนนึกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา เมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากครั้งแรกที่มันได้พบท่านเจ้าสำนักตอนที่เพิ่งฟื้นสติ มันก็ไม่เคยพูดคุยกับอาจารย์อาคนอื่นเลยแม้แต่หนเดียว
และทั้งหลายทั้งปวงในยามนี้ ล้วนเกิดขึ้นเพียงเพราะว่ามันได้รับป้ายหยกชุนหยา!
ห่านจะงอยเทาบินอย่างราบเรียบมั่นคง แผ่นหลังของมันทั้งกว้างขวางทั้งนุ่มนิ่ม นั่งอยู่ด้านบนรู้สึกสะดวกสบายอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่อะไรที่กระเรียนกระดาษด้อยสมรรถภาพของจั่วม่อจะสามารถเปรียบเทียบได้
“เสี่ยวม่อยังไม่มีพาหนะใช่หรือไม่” หยานเล่อกล่าวขึ้น พลางหันไปสั่งหลี่อิงฟ่ง “ข้าจำได้ว่ายังมีห่านจะงอยเทาหลงเหลืออยู่บ้าง เจ้าจัดส่งไปให้เสี่ยวม่อสักตัว แล้วบอกกล่าวผู้คนด้านล่าง ให้คอยตระเตรียมหญ้าปราณส่งไปตามระยะเวลาที่จำเป็น”
“ศิษย์ทราบแล้ว” หลี่อิงฟ่งจดจำคำสั่ง
จั่วม่อคิดกับตัวเอง สำนักมันมั่งคั่งไม่เบาทีเดียว
ครั้นพวกมันทั้งสามกลับมาถึงประตูภูเขา เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกตั้งแถวเรียงราย รอคอยต้อนรับการมาของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าท่านเจ้าสำนักได้ทราบข่าวเรื่องที่มันได้รับป้ายหยกชุนหยาแล้ว
สายตาของผู้คนที่จ้องมองจั่วม่อซับซ้อนถึงที่สุด ทั้งอิจฉา ริษยา ชื่นชม นับถือ ไม่พอใจ ไม่ยินยอมพร้อมใจ... ...
ก่อนหน้านี้ พวกมันล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเช่นเดียวกัน แต่มาวันนี้ พวกมันจำเป็นต้องออกมาต้อนรับจั่วม่อ หลายคนไม่แปลกใจที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน เนื่องจากมันเข้มแข็งเป็นลำดับแรกในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งมวล ทั้งยังประทับภาพอันทรงพลังไว้ในหัวใจของพวกมันตั้งแต่แรก
แต่ในหมู่พวกมัน จั่วม่อไม่ใช่ผู้ที่เด่นล้ำถึงเพียงนั้น นอกเหนือจากเคล็ดเมฆฝนหล่นรินกับใบหน้าผีดิบของมันแล้ว แทบไม่มีอันใดให้จดจำเป็นพิเศษ
บางคนลอบมองจั่วม่ออย่างระมัดระวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกมันเคยข่มเหงรังแกจั่วม่อ และเกรงว่ามันจะมาคิดบัญชีคืนในยามนี้ กระทั่งคนที่โง่งมที่สุดยังทราบ ว่าจั่วม่อจะต้องกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในอย่างแน่นอน
มองตาของคนเหล่านี้ จั่วม่อส่วนหนึ่งในใจไม่ค่อยยินดีนัก แต่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง มันในที่สุดหลุดพ้นจากกลุ่มคนเหล่านี้ นั่นหมายความว่ามันมีความรุดหน้า สำหรับมันตอนนี้ ไม่ว่าความรุดหน้าใดก็ล้วนมีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งมันไม่จำเป็นต้องใส่ใจสายตาของบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้อีกแล้ว
ห่านจะงอยเทาไม่ได้หยุดลง แต่ค่อย ๆ บินช้า ๆ อย่างโอ่อ่าสง่างาม ไต่ขึ้นไปตามเส้นทางภูเขา ผ่านบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกที่ยืนนอบน้อมอยู่สองฟากข้าง
ห้องโถงสุญตาเป็นสถานที่ประชุมของสำนักกระบี่สุญตา หลายเหตุการณ์สำคัญของสำนักมักถูกจัดขึ้นที่นี่ ครั้นเมื่อพวกจั่วม่อทั้งสามเข้ามาถึง ท่านเจ้าสำนักกับอาจารย์อาที่เหลือล้วนรอคอยอยู่ในห้องโถงสุญตาแล้ว พวกมันยังคงสีหน้าเบิกบานใจอยู่จางๆ
ความจริงที่ว่าใครบางคนจากสำนัก สามารถมีสิทธิ์ได้รับป้ายหยกชุนหยา แน่นอนว่านำมาซึ่งความปิติยินดีอันไม่คาดฝัน อีกทั้งมันยังเป็นเพียงศิษย์อายุเยาว์ผู้หนึ่ง อนาคตของมันย่อมยาวไกลไร้ขีดจำกัด
เริ่มแรกปรากฏเหวยเสิ้งผู้มีพรสวรรค์อันเด่นล้ำ และยามนี้ยังมีศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่งได้รับป้ายหยกชุนหยา จะไม่ให้พวกมันสุขสราญบานใจได้อย่างไร!
เผชิญหน้าอาจารย์อาครบทุกท่านเป็นครั้งแรก จั่วม่อเกิดวิตกจริตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะอาจารย์อาซินหยานกับดวงตาเย็นเยียบคู่นั้น บันดาลให้มันรู้สึกราวกับถูกกระบี่เล่มหนึ่งจี้ใส่กลางหลังตลอดเวลา ตลอดทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด
กรุณาเถอะ... กรุณาเถอะ... ผูเยาอย่าได้ก่อกวนเอาตอนนี้เป็นอันขาด!
ขณะที่จั่วม่อกระวนกระวายจนแทบทานทนไม่ไหว ท่านเจ้าสำนักเผยเหยียนหรานก็เอ่ยปาก
“ทีแรกที่ข้าเก็บเจ้ามา ข้าไม่ได้คาดหวังกับเจ้ามากนัก ทั้งไม่ได้ให้การดูแลเป็นพิเศษอันใด การที่สามารถบรรลุความสำเร็จเช่นนี้ได้ ล้วนเป็นความดีความชอบและความมานะบากบั่นของเจ้าเอง ช่างหาได้ยากนัก เจ้าไม่เคยยอมแพ้ในสถานการณ์อันไร้ความหวังเช่นนั้น ทั้งยังว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นมาได้ ประเสริฐยิ่ง! ในสำนักของเรา ความเข้มแข็งของเจ้าจะกำหนดสิ่งที่เจ้าจะได้รับ เจ้าเมื่อแสดงฝีมือของเจ้าออกมา สำนักย่อมปฏิบัติต่อเจ้าด้วยดีมากยิ่งขึ้น เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง อย่าได้ขุ่นแค้นชิงชังไปเลย”
เผยเหยียนหรานตรงไปตรงมาอย่างไม่น่าเชื่อ ความไม่พอใจเล็ก ๆ ในหัวใจของจั่วม่อถึงกับสลายไปไม่น้อย หลังจากได้ยินวาจานี้ของเจ้าสำนัก
“ศิษย์ไม่กล้า” มันตอบด้วยศีรษะก้มต่ำ
เผยเหยียนหรานพยักหน้า น้ำเสียงกลับกลายเป็นอบอุ่นขึ้น
“ตอนนี้เจ้าเมื่อครอบครองป้ายหยกชุนหยา ก็ถือเป็นเกษตรกรปราณเพียงผู้เดียวในสำนักเรา สวัสดิการที่เจ้าเคยได้รับย่อมไม่เหมาะสมสำหรับเจ้าอีกต่อไป ข้าได้ยินจากอาจารย์อาหญิงสี่ของเจ้า ว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลสวนยาปราณที่หุบเขาหมอกเย็นเยือก นี่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของเจ้า เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ฝ่ายในของสำนักเราอย่างเป็นทางการ จะได้รับจิงสือและเสบียงรายเดือนเช่นเดียวกับเหล่าศิษย์พี่ของเจ้า นอกจากนั้น ในหุบเขาลมตะวันตกมีพื้นที่ทุ่งปราณระดับสามที่ว่างเปล่าอยู่ผืนหนึ่ง นั่นจะยกให้เจ้า ในหุบเขายังเต็มเปี่ยมด้วยพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น เจ้าสามารถย้ายเข้าไปพักอาศัยในหุบเขา และจงเร่งพากเพียรเข้าสู่ด่านจู้จีโดยเร็ว หากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม สามารถร้องขอจากอาจารย์อาสามของเจ้าได้ ส่วนท้องทุ่งปราณภายในหุบเขานั้น เจ้าสามารถเพาะปลูกสิ่งที่เจ้าต้องการ ทางสำนักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นอกจากนี้เจ้ายังสามารถใช้ทุ่งปราณที่ว่างเปล่าอื่น ๆ ในสำนักได้ตามใจชอบ แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าต้องแบ่งสามในสิบส่วนให้แก่สำนัก”
จั่วม่อดวงตาเบิกกว้าง เหม่อมองอย่างโง่งม มันรู้สึกเหมือนลมจะจับ... นี่... นี่ท่านเจ้าสำนักเพิ่งจะยกหุบเขาทั้งหุบเขาให้แก่มัน!