บทที่ 32 ปฏิเสธ
ปราณกระบี่สีทองเข้มเล่มน้อยบินวนอย่างร่าเริง รอบๆ ดัชนีของจั่วม่อ มันรวดเร็วอย่างยิ่ง พอพุ่งวาบ ก็ทิ้งแสงสีทองไว้เบื้องหลัง ประดุจสายฟ้าสีทองสายหนึ่ง
จั่วม่อดวงตาทอแววสุขสำราญบานใจ
เคล็ดทองคำคร่ำคร่า ในที่สุดก็บรรลุถึงขั้นที่สาม!
หลังจากเข้าสู่ขั้นที่สาม ปราณทองคำคร่ำคร่าก็แปรเปลี่ยนไป เม็ดทรายสีทองเข้มแต่เดิม กลายเป็นยิ่งละเอียดและเงางาม ทำให้กระบี่ทองที่ก่อรูปจากเม็ดทรายยิ่งวิจิตรพิสดารมากขึ้น มองผ่านๆ ประหนึ่งปลาสีทองบางเฉียบตัวน้อย ที่โลดแล่นอย่างลื่นไหลปราดเปรียว
กระบี่ทองเล่มน้อยมีขนาดเล็กอย่างยิ่ง มันเหินบินฉวัดเฉวียนอยู่บริเวณรอบๆ ฝ่ามือของจั่วม่อเท่านั้น การแปรเปลี่ยนกระบวนท่าไปมาก็เรียบง่ายสามัญถึงขีดสุด ไม่ปรากฏกระบวนท่ายิ่งใหญ่ตระการตาอันใด อย่างไรก็ตาม หากมีเซียนกระบี่มากประสบการณ์อยู่ที่นี่สักคน มันจะต้องประหลาดใจ ที่ได้พบว่าภายใต้กระบวนท่าอันจำกัดของกระบี่ทองเล่มน้อยนี้ กลับปรากฏเส้นใยเจตจำนงกระบี่อันเบาบางแฝงเร้นอยู่ภายใน
จั่วม่อเองก็รู้สึกถึงเส้นใยเจตจำนงกระบี่สายเล็กๆ เหล่านี้เช่นกัน นอกเหนือจากความเบิกบาน มันยังอดไม่ได้ ต้องปวดร้าวใจอย่างสุดแสน
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน ไม่ว่าจะเพียรพยายามหวนระลึกอย่างยากลำบากสักเท่าใด ยังคงไม่สามารถจับความรู้สึกของการจู่โจมกระบี่สุดท้ายในวันนั้นได้ เมื่อไม่มีทางออกอื่นใด ในความสิ้นคิด มันได้แต่จ่ายจิงสือให้ผูเยา เพื่อแลกกับการสัมผัสกับเจตจำนงกระบี่
สิบชิ้นจิงสือระดับที่สองต่อครั้ง!
จั่วม่อจ่ายจิงสือจนสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นที่เรียบร้อย ในที่สุดค่อยตระหนักถึงเศษเสี้ยวของเจตจำนงกระบี่!
และเส้นใยเจตจำนงกระบี่เสี้ยวเล็กๆ นี่เอง เป็นเหตุให้เคล็ดทองคำคร่ำคร่าของมันทะลวงผ่านสู่ขั้นที่สามได้สำเร็จ
เมื่อเทียบกับกาลก่อน ผูเยาในตอนนี้เป็นพ่อค้าที่ไร้ยางอายอย่างสมบูรณ์แบบ มันรู้จักเพียงจิงสือและไม่สนใจอะไรอื่น
จั่วม่อไม่ทราบว่าที่แท้คราวก่อนเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่ ไฉนผูเยายอมปลดปล่อยมันในท้ายที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่ามุมมองที่ผูเยามีต่อมัน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง
ผูเยาดูใจร้อนมากขึ้น สนทนาวิสาสะด้วยยากขึ้น หากไม่มีธุระกับมัน แล้วจั่วม่อเรียกหามัน มันจะทำเป็นเมินเฉย... ...
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ จั่วม่อกลับรู้สึกว่าผูเยาในตอนนี้ดูปลอดภัยกว่าเดิม ทำให้มันรู้สึกสบายใจมากขึ้น แม้ว่าจำเป็นต้องจ่ายจิงสือเป็นจำนวนมากก็ตาม
ยามนี้เมื่อเคล็ดทองคำคร่ำคร่าทะลวงผ่านถึงขั้นที่สาม หมายความว่ามันต้องการเวทวิชาอีกเพียงชนิดเดียว ให้เข้าสู่ขั้นที่สาม จากนั้นมันจะกลายเป็นเกษตรกรปราณ และเมื่อกลายเป็นเกษตรกรปราณ สถานะของมันในสำนักย่อมมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สำนักจะสนับสนุนมันด้วยทรัพยากรจำนวนมาก ต่อไปมันสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองได้เร็วขึ้น
ปัญหาที่มันต้องเผชิญในตอนนี้ ก็คือสมควรเลือกเวทวิชาใดเพื่อพัฒนาสู่ขั้นที่สาม
ในท้ายที่สุด จั่วม่อเลือกเคล็ดสารพันพฤกษ์
ในบรรดาเวทวิชาระดับต่ำ เคล็ดสารพันพฤกษ์โด่งดังเรื่องกระบวนท่าดัชนี นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จั่วม่อเลือกวิชานี้
เวทวิชาระดับต่ำเกือบทุกวิชา ล้วนแฝงร่องรอยของกระบวนท่าดัชนีอยู่ภายใน ผู้ฝึกตนชั้นต้นๆ มีพลังบำเพ็ญเพียรไม่มากเพียงพอ บ่อยครั้งที่มักจะต้องอาศัยกระบวนท่าดัชนีช่วยเหลือในการร่ายเวทวิชาให้สมบูรณ์ แม้ว่าหลังจากผ่านสู่ด่านจินตัน กระบวนท่าดัชนีแทบจะหายไปอย่างสิ้นเชิงก็ตาม แต่ช่วงก่อนหน้านั้น กระบวนท่าดัชนีเป็นทักษะที่มีประโยชน์มากมายทีเดียว
เมื่อจั่วม่อจดจ่ออยู่กับการฝึกปรือกระบวนท่าดัชนี ผูเยา ผู้นั่งอยู่บนป้ายหินสุสานในทะเลแห่งจิตสำนึก แค่นเสียงพลางกล่าวกับตัวเอง “เศษสวะเช่นนี้หรือที่เจ้าเลือก?”
หลังจากพากเพียรฝึกปรืออยู่เป็นนาน จั่วม่อพบว่ามันติดค้างอยู่ที่ระดับเดิม หากต้องการรุดหน้าไปมากกว่านี้ เป็นเรื่องที่น่าจะยากเย็นแสนเข็ญไม่น้อย อันที่จริงกระบวนท่าดัชนีของมันนับว่ามีฝีมือมากแล้ว แต่มักจะขาดความราบเรียบและลื่นไหล หวนนึกถึงสภาวะพิเศษเฉพาะที่เคยเกิดขึ้นตอนที่มันใช้เคล็ดสารพันพฤกษ์ ช่วยเหลือศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งกำจัดวัชพืช มันคิดว่านั่นคือวิถีทางที่สมควรพัฒนามุ่งหน้าไป
แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกอันลึกซึ้งนั้น คลับคล้ายกับตอนที่มันปลดปล่อยปราณกระบี่จู่โจมศัตรูเมื่อคราวที่แล้ว ไม่ว่าจะครุ่นคิดพยายามเพียงใด ก็ไม่อาจหาพบอีกเป็นหนที่สอง
ขอความช่วยเหลือจากผูเยา? น่าเสียดายที่จั่วม่อไม่มีจิงสือมากกว่านี้แล้ว
อีกหลายวันต่อมา มันยังคงไม่มีความคิดใด ความดื้อรั้นในกระดูกของมันเริ่มถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกหน
กระบวนท่าดัชนีเป็นสิ่งใดกันเล่า?
มันเค้นสมองคิดพลิกแพลงหาวิธีการ
ในที่สุด จั่วม่อยกอ่างล้างหน้าเข้ามา จุ่มสองมือจมลงในน้ำจนมิด จากนั้นเริ่มฝึกฝนกระบวนท่าดัชนีใต้น้ำ
ใต้น้ำให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างที่คาด แรงต้านทานสูงขึ้นมาก กระบวนท่าดัชนีที่เดิมทีคล่องแคล่วช่ำชอง กลับกลายเป็นมั่วซั่วกระเจิดกระเจิงไปในทันที
จั่วม่อตระหนักขึ้นมาในฉับพลัน มันรู้สึกว่าค้นพบแล้ว!
สิ่งที่มันกลัวที่สุดคือหาทิศทางไม่พบ ตราบเท่าที่มันหาหนทางที่สมควรเดินไปได้ ไม่ว่าจะปัญหาใหญ่สักเท่าใด มันก็สามารถเอาชนะจนได้
ในช่วงเวลาอันวุ่นวายกับการฝึกปรือนี้เอง ซือเสียงกับเหลียงลั่วก็มาเยี่ยมเยือนมันตามที่เคยกล่าวไว้ การมาของพวกมันบันดาลให้จั่วม่อรู้สึกเหนือคาดอยู่ไม่น้อย ทีแรกมันคิดว่าทั้งคู่ไม่มีความจริงใจ เพียงกล่าวผ่านๆ เท่านั้น ไม่เคยคาดคิดว่าพวกมันจะมาจริงๆ
สองผู้ฝึกตนด่านหนิงม่าย มาเยี่ยมเยือนศิษย์ฝ่ายนอกด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากจะเชื่อ
“ฮาฮา จั่วเสี่ยวตี้ ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่วัน เจ้ากลับมีความรุดหน้าไม่น้อย ข้าเห็นว่าเจ้าสมควรเข้าสู่ด่านจู้จีในอีกไม่นานนัก” ซือเสียงแย้มยิ้ม จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าห่วงกังวลว่า “มิทราบว่าเจ้าจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับเข้าสู่ด่านจู้จีแล้วหรือไม่? หากอย่างไร ข้าในที่นี้มีเม็ดยาจู้จีอยู่บ้าง ระดับคุณภาพไม่เลวเท่าใด”
จั่วม่อยิ่งระมัดระวังมากขึ้น การเอาใจใส่โดยไม่มีเหตุอันควร ถ้าไม่ใช่ในใจมุ่งประสงค์ร้าย ก็อาจเป็นการเตรียมการลักขโมยบางอย่าง อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นมากเกินพอดี สัญชาตญานป้องกันตัวของมันเริ่มทำงานขึ้นมาเอง
จั่วม่อในใจครุ่นคิด แต่ปากรีบตอบคำ “ไม่รบกวนพี่ใหญ่ซือแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์อาหญิงสี่ประทานเม็ดยาจู้จีให้แก่ข้า มันเพียงพอสำหรับผู้น้องแล้ว”
เหลียงลั่วกับซือเสียงลอบสบตากันเงียบๆ แต่นี่ไม่ได้รอดพ้นจากการเฝ้ามองของจั่วม่อ
ซือเสียงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง!” แต่ในใจมันคิดว่านี่ไม่ดีแล้ว ผู้อาวุโสของจั่วม่อใช่เริ่มตระหนักถึงศักยภาพในตัวมันแล้วหรือไม่?
“อัจฉริยะบุรุษเช่นจั่วเสี่ยวตี้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดย่อมดึงดูดความสนใจผู้คน ฮาฮา เมื่อเจ้ากลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน เราค่อยมาร่วมเฉลิมฉลองกันใหม่” มันยังไม่อยากยอมแพ้ ลองโยนหินถามทางดูอีกที
จั่วม่อส่ายศีรษะ “ศิษย์ฝ่ายนอกต้องบรรลุด่านจู้จีเสียก่อน จึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับเป็นศิษย์ฝ่ายใน สำหรับข้ายังเร็วเกินไปมาก”
ซือเสียงจุดประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้ามันประหลาดใจอย่างยิ่ง “โอ้ แต่ด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งเช่นจั่วเสี่ยวตี้เจ้า ยังคงถูกจำกัดด้วยธรรมเนียมเก่าแก่ล้าสมัยเช่นนี้ด้วยหรือ?”
จั่วม่อจนบัดนี้ยังมิทราบว่าอีกฝ่ายประสงค์สิ่งใด ได้แต่กล่าวอย่างระมัดระวัง “พี่ใหญ่ซือล้อเล่นแล้ว อย่างข้านับเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อีกด้านหนึ่ง เหลียงลั่วคล้ายหมดความอดทนนานแล้ว มันมักชอบที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมา “จั่วเสี่ยวตี้ ไฉนเจ้าไม่มายังสำนักกระบี่สีชาดของเรา ตราบใดที่เจ้ายินดีมา แน่นอนว่าเจ้าจะได้เป็นศิษย์เอก!”
ซือเสียงมองดูจั่วม่ออย่างกังวลใจ
จั่วม่อตะลึงลาน เบิกตามองอย่างเซื่องซึม หลังจากนั้นสักครู่ค่อยบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง มันยิ้มอย่างลังเล
“พี่ใหญ่ทั้งสอง อย่าได้ล้อเล่นแล้ว ผู้น้องย่อมทราบดีว่าตัวเองมีน้ำหนักอยู่สักเท่าใด”
ซือเสียงกล่าวอย่างจริงจัง “พวกเราไม่ได้ล้อเล่น และเชิญชวนเจ้าด้วยใจจริง จั่วเสี่ยวตี้พรสวรรค์โดดเด่น แต่ความยากลำบากในวิถีทางอันยาวไกลของการบำเพ็ญเพียร ข้าแน่ใจว่าจั่วเสี่ยวตี้เจ้าทราบกระจ่างดีแก่ใจ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าสมควรมานะบากบั่นเข้าสู่ด่านจู้จีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และต้องละทิ้งหน้าที่การงานธรรมดาสามัญทั้งหมด เพื่อมุ่งเน้นเฉพาะการบำเพ็ญตบะ โดยได้รับการช่วยเหลือและคำชี้แนะจากผู้อาวุโส ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปได้สูงสักเพียงใด แต่สำหรับด่านจินตัน นี่มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง!”
จั่วม่อจ้องมองคนทั้งสองอย่างโง่งม
“หากเจ้ายังมัววุ่นวายอยู่กับภาระหน้าที่ทั่วไปเหล่านี้ ไม่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะดีเลิศเพียงใด มันก็มีแต่สิ้นเปลืองเสียเปล่าเท่านั้น” ซือเสียงสำทับอย่างจริงจัง
ที่แท้พวกมันจริงใจ......
จั่วม่อในที่สุดเชื่อในคำพูดของพวกมัน แต่ในฉับพลันนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มันกลายเป็นอัจฉริยะอันโดดเด่น ทั้งยังได้รับเชิญจากผู้อื่นให้เข้าร่วมสำนักด้วยสถานะอันสูงล้ำ?
พรสวรรค์? ตัวมันไม่ได้มีของพรรค์นั้นเสียหน่อย มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจะไม่สังเกตเห็นเชียวหรือ? ในเมื่อท่านเจ้าสำนักเป็นคนที่นำตัวมันกลับมาเอง ที่ผ่านมา บางครั้งมันก็เคยคิดว่า อาจเป็นไปได้ว่าท่านเจ้าสำนักไม่มีดุลยพินิจที่ดีพอ แต่เมื่อดูจากการปรากฏตัวในค่ำคืนอันน่าจดจำนั้น ทั้งท่านเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อาได้เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา ทำให้มันค่อยได้ทราบว่าอาจารย์อาผู้ไม่ค่อยปรากฏตัว เป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและพิเศษพิสดารเพียงใด
แล้วบุคคลเช่นท่านเจ้าสำนักจะตาไม่ถึงได้อย่างไร?
ที่สองคนเบื้องหน้านี้สนใจมัน ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะผูเยา หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นมีโอกาสเช่นเดียวกับมัน เกรงว่าพวกมันยังจะเข้มแข็งล้ำเลิศกว่ามันมากนัก
จั่วม่อหวนนึกถึงสองปีที่แล้ว ยามที่เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมา......
นึกถึงหยาดเหงื่อแรงงานที่หลั่งรินไหลดุจพายุฝนกระหน่ำในทุ่งนาปราณ......
ซือเสียงกับเหลียงลั่วไม่กล่าวเร่งรัด พวกมันเพียงรอคอยทางเลือกของจั่วม่ออย่างเงียบสงบ แม้ว่าพวกมันไม่อาจเข้าใจว่าจั่วม่อลังเลใจด้วยเหตุอันใดก็ตาม พวกมันให้ความจริงใจมากพอแล้ว ผลประโยชน์เช่นนี้ มอบให้แก่ศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักกระบี่สีชาด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อศีรษะที่ก้มต่ำของจั่วม่อเงยขึ้น ทั้งดวงตาอันสับสนของมันกลับคืนเป็นกระจ่างใส พวกมันก็ทราบว่าจั่วม่อได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
จั่วม่อกล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณพี่ใหญ่ทั้งสองมาก สำหรับความปรารถนาดีของพวกท่าน ผู้น้องซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่หลายปีมานี้ ข้าใช้ชีวิตอยู่ในสำนักกระบี่สุญตา ทั้งสำนักและผู้อาวุโสล้วนให้การดูแลข้าเป็นอย่างดี และข้ายังไม่คิดจะจากไป”
น้ำเสียงนั้นไม่หนักแน่นเท่าใด แต่เต็มไปด้วยปณิธานอันมุ่งมั่น
ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ผูเยาถ่มน้ำลายอย่างเหยียดหยาม “เจ้าโง่!”
ซือเสียงกับเหลียงลั่วสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ทราบว่ากล่าวมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด พวกมันสูญเสียความสนใจจะสนทนาต่อ ดังนั้นหลังจากกล่าวอีกไม่กี่คำ ก็อำลาจากไป
พอส่งแขกแล้ว จั่วม่อกลับไปยังลานบ้านของมัน เหม่อมองในความว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นฝังตัวเองลงในการฝึกปรือเคล็ดสารพันพฤกษ์
เวลาผ่านไปอย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ระหว่างนั้นผูเยาไม่สนใจจั่วม่อเลย จั่วม่อย่อมสุขสราญที่ไม่ถูกรบกวน ในเมื่อปิศาจไม่มาทรมานกลั่นแกล้งท่าน ท่านก็สมควรขอบคุณฟ้าดินให้มากๆ แล้ว
ทุก ๆ วัน จั่วม่อจะไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก เพื่อเรียนรู้ที่จะดูแลสมุนไพรปราณทุกชนิด ตั้งแต่เคล็ดทองคำคร่ำคร่าของมันเข้าถึงขั้นที่สาม พลังก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก มันตรวจสอบสมุนไพรปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือก ทีละต้น ทีละต้น และค้นพบศัตรูพืชที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน ยิ่งมันทุ่มเทความพยายามกำจัดศัตรูพืชเหล่านั้นมากเท่าใด เคล็ดทองคำคร่ำคร่าก็ยิ่งช่ำชองชำนาญมากขึ้นเท่านั้น
จั่วม่อยังคงไม่สามารถตรึงรอยประทับวิญญาณของมันลงบนกระบี่บิน ดังนั้นตกลงใจใช้กระบี่ปราณทองคำคร่ำคร่าเล่มน้อย เพื่อฝึกปรือเพลงกระบี่และขัดเกลาเจตจำนงกระบี่
ภายในอ่างน้ำ มันฝึกฝนเคล็ดสารพันพฤกษ์เพื่อเสริมสร้างกระบวนท่าดัชนี
ส่วนเวลาอื่นทั้งหมด จั่วม่อทุ่มเทให้กับเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด อันที่จริงหัวใจหลักในการใช้เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด คือเพื่อเพิ่มพูนพลังแห่งจิตสำนึก แต่จั่วม่อค้นพบว่าเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดยังช่วยเพิ่มพูนพลังปราณได้อีกด้วย ซ้ำผลลัพธ์ที่ได้ถึงกับเหนือล้ำกว่าเคล็ดวิชาหลักเส็งเคร็งวิชาเดิมของมัน อย่างคัมภีร์กฎสิบประการเสียอีก ดังนั้นมันละทิ้งคัมภีร์กฎสิบประการโดยไม่เหลียวแล เปลี่ยนมาฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดเป็นเคล็ดความหลักแทน
ทุกวี่วัน มันจะพักผ่อนเพียงสองชั่วยาม เวลาที่เหลือทั้งหมดใช้ไปกับการฝึกปรือ ฝึกปรืออย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
จั่วม่อตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานี้ เร่งฝึกปรือเคล็ดสารพันพฤกษ์จนทะลวงขึ้นสู่ขั้นที่สามให้จงได้
เนื่องเพราะหลังจากช่วงเวลานี้อีกสักเล็กน้อย รอบการเพาะปลูกข้าวปราณฤดูกาลใหม่กำลังจะมาถึง และเมื่อถึงตอนนั้นมันย่อมยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง เวลาในการฝึกปรือจะลดลงไปไม่น้อย
ในอ่างล้างหน้า มือคู่นั้นเหี่ยวย่น จากปลายนิ้วจรดข้อมือ ทั้งหมดแช่อยู่ในน้ำมายาวนาน มีเพียงส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาที่อยู่ในอากาศ
จั่วม่อดวงตาปิดสนิท ปล่อยลมหายใจออก ตั้งสมาธิจดจ่อ
ทันใดนั้น นิ้วผอมบางทั้งสิบก็ขยับเคลื่อนไหว รวดเร็วประดุจแสง สร้างชั้นคลื่นใต้น้ำทับซ้อนดุจภาพลวงตา แต่ละการเคลื่อนไหวเพิ่มกลิ่นอายเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง แต่ละนิ้วสะบัดพลิ้วแปรเปลี่ยน ปราดเปรียวถึงขีดสุด ผิวน้ำผุดพลุ่งประหนึ่งน้ำเดือดพล่าน คลื่นใต้น้ำนับไม่ถ้วนถาโถมปั่นป่วนอย่างรุนแรง แต่ที่น่าประหลาดก็คือ แทบไม่มีหยดน้ำสาดกระเซ็นออกมาจากอ่างเลย
ข้อมือทั้งสองข้างดุจหล่อหลอมขึ้นมาจากเหล็ก แน่วนิ่งไม่ไหวติง สิบนิ้วแคล่วคล่องว่องไวอย่างน่าตื่นตะลึง กระบวนท่าดัชนีอันแพรวพราวพลิกผันไร้ที่สิ้นสุด
ดวงตาหลับพริ้ม ปิดสนิท ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ลมหายใจของจั่วม่อกลายเป็นหนักหน่วงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
กระบวนท่าดัชนีของมันยังเร่งความเร็วขึ้นอีก แต่ละนิ้วใต้น้ำดูเลือนรางจนมิอาจแยกแยะ เบ่งบานประดุจบุปผา เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ คลื่นใต้น้ำแต่ละลูกปะทะดุเดือดรุนแรงขึ้นในฉับพลัน
น้ำในอ่างล้างหน้าดูราวกับถูกยกขึ้นโดยมือที่มองไม่เห็น พื้นผิวน้ำสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสองกงเฟิน (สองเซนติเมตร)
ยิ่งกระบวนท่าดัชนียิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผิวน้ำก็ยิ่งยกสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
มือเหี่ยวๆ คู่นั้นคล้ายครอบครองแรงดึงดูดอันแปลกพิสดารประการหนึ่ง ดูดกลืนมวลน้ำเป็นก้อนกลม แขวนไว้กลางอากาศ
ทันใดนั้น จั่วม่อลืมตาพรึบ!
สิบนิ้วในน้ำกลายเป็นเหยียดตรงในฉับพลัน ปั้ง มวลน้ำที่ดึงดูดไว้ในมือระเบิดออกเหมือนแจกันแตก กลายเป็นลูกศรน้ำสิบสาย สาดกระจายออกรอบข้าง!
จั่วม่อดวงตาทอประกายปิติยินดีสุดขีด