บทที่ 30 ลูกคิด
*ดีดลูกคิด เป็นสำนวน หมายถึงคำนวณผลได้ผลเสียไว้แล้ว, หรือวางแผนไว้แล้ว
“คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเราเป็นศิษย์สำนักกระบี่สุญตา” ศิษย์สตรีหัวไวผู้หนึ่งรีบตอบอย่างรวดเร็ว พลังฝึกตนของผู้อื่นน่าตระหนก อีกทั้งมันยังช่วยเหลือพวกนางเอาไว้ ดังนั้นไม่น่ามีความเป็นปรปักษ์ใด
สำนักกระบี่สุญตา!
ซือเสียงกับเหลียงลั่วสีหน้ากลายเป็นแปลกพิกลในฉับพลัน พวกมันไหนเลยจะคาดคิด กล่าวถึงโจโฉ โจโฉก็มา อันใดจะเหมาะเจาะถึงเพียงนี้ เพิ่งจะสนทนากันถึงสำนักของผู้อื่น จากนั้นก็ช่วยเหลือศิษย์ของสำนักนั้นเอาไว้ ศิษย์กลุ่มใหญ่เสียด้วย
สายตาของทั้งคู่ เลื่อนลงไปที่จั่วม่อบนพื้นอย่างอดไม่อยู่
“เช่นนั้น น้องชายผู้นี้คือ?” ซือเสียงพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ แต่อันที่จริง ใบหน้ามันยังคงแปลกพิกลอยู่ไม่น้อย ศิษย์ที่นอนแผ่บนพื้นผู้นี้ เพียงมีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด ย่อมไม่ใช่เหวยเสิ้งอย่างแน่นอน
สำนักกระบี่สุญตาฝึกอบรมอัจฉริยะอีกผู้หนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?
ซือเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มันได้เห็นนิมิตแห่งฟ้าดินยามที่เหวยเสิ้งเข้าสู่ด่านจู้จีด้วยตาตัวเอง ภาพปราณกระบี่ทะลวงขึ้นฟ้าฝังลึกในใจไม่รู้ลืม ทุกครั้งที่หวนคิดถึงภาพนั้น มันจะรู้สึกเกรงขามขึ้นมา แต่เดิมมันคาดคิดว่าอัจฉริยะเยี่ยงนั้น ทั้งหมดในโลกนี้สมควรมีอยู่ไม่กี่คน
แต่สิ่งที่มันพบเห็นในวันนี้ สร้างความตื่นตะลึงอย่างลึกซึ้งแก่มันอีกหน
มันไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง ถึงกับเข้าใจเจตจำนงกระบี่ได้!
เจตจำนงกระบี่ของศิษย์ผู้นี้แม้ยังไม่สมบูรณ์ ด้วยสายตาของมัน ซือเสียงสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่แวบแรก ว่าศิษย์ผู้นี้เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูแห่งเจตจำนงกระบี่ เจตจำนงกระบี่ของมันเพียงเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นตอนเริ่มก่อรูปร่างเท่านั้น แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้มันประหลาดใจมากแล้ว ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่า เจตจำนงกระบี่ของศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้นี้ แม้จะยังอ่อนแออยู่มาก แต่ก็บริสุทธิ์ยิ่งนัก
คุณภาพระดับนี้ทำให้มันยิ่งอึ้งงันกว่าเดิม
เมื่อผู้ฝึกตนธรรมดาสามัญผู้หนึ่งบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ ในยามแรกเริ่มที่สุด เจตจำนงกระบี่มักผสมปนเป ไม่อาจหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว จากนั้นผ่านการทดสอบของกาลเวลา มุ่งมั่นขัดเกลาภาวะทางอารมณ์อย่างยาวนาน เจตจำนงกระบี่จะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์อย่างช้า ๆ
หากเพียงแค่เริ่มสัมผัสถึงเจตจำนงกระบี่ แล้วจะสามารถถือครองเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์ได้ในทันที นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสมบูรณ์ หวนนึกถึงความพยายามแทบล้มประดาตายในปีนี้ของตัวเอง ในใจซือเสียงรู้สึกขมฝาดอยู่ไม่น้อย
นี่เจตจำนงกระบี่กลายเป็นของเล่นของศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ไปตั้งแต่เมื่อใด?
สำนักกระบี่สุญตา!
ทันใดนั้นในสายตาของซือเสียง สำนักที่ไม่เคยเป็นที่รู้จักนี้ กลับกลายเป็นลี้ลับสุดหยั่งถึงในฉับพลัน
ผู้หนึ่งก็เหวยเสิ้ง ที่ก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินเมื่อเข้าสู่ด่านจู้จี ยามนี้ยังเพิ่มศิษย์ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ที่อยู่เพียงด่านเลี่ยนชี่ก็เข้าถึงเจตจำนงกระบี่อีกผู้หนึ่ง!
“นี่คือศิษย์พี่จั่วม่อของพวกเรา” ศิษย์สตรีคนเดิมตอบอย่างภาคภูมิใจ “ศิษย์พี่เป็นผู้มีพลังฝีมือเข้มแข็งที่สุดในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเรา!”
ศิษย์สตรีคนอื่นๆ พากันพยักหน้า แสดงอาการเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นคราวนี้ เปลี่ยนแปลงมุมมองของพวกนางที่มีต่อจั่วม่อไปอย่างสิ้นเชิง ศิษย์พี่ผีดิบอาจละโมบโลภมากไปบ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญอันตรายขึ้นมามันไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่ถอยหนี ทั้งยังมีสำนึกรับผิดชอบ อีกทั้งยามที่จั่วม่อบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ ปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกมา แรงกดดันอันน่าสยดสยองนั้นถึงกับขู่ขวัญพวกนางอย่างลึกล้ำ
ศิษย์...ฝ่ายนอก......
เหลียงลั่วแทบกระอักเลือด เส้นเลือดเขียวคล้ำปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก...ยอดอัจฉริยะที่สามารถบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ทั้งที่อยู่ในด่านเลี่ยนชี่ เป็นเพียงแค่ศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง... ...
มันให้สงสัยเป็นกำลัง ว่าตัวเองใช่ฟังผิดไปหรือไม่?
ซือเสียงก็สะอึก ปากอ้าตาค้างไปเช่นเดียวกัน ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว รอยแย้มยิ้มบนใบหน้ามันยิ่งอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม “สมแล้ว สมแล้ว วีรบุรุษก่อเกิดจากวัยเยาว์อย่างแท้จริง โอ้ จริงสิ ข้ามีเม็ดยาฟื้นฟูปราณอยู่เม็ดหนึ่ง ช่างเหมาะสมกับเวลานี้เสียจริง มา ๆ ข้าจะช่วยให้มันกลืนกินเม็ดยา”
มันล้วงขวดหยกจากอกเสื้อ เทเม็ดยาขนาดเมล็ดถั่วเขียวเมล็ดหนึ่งออกมา จากนั้นลงจากหลังวัวสีเขียว เดินเข้าไปทรุดคุกเข่าข้างหนึ่ง พลางยัดเม็ดยาฟื้นฟูปราณเข้าไปในปากจั่วม่อ
เหลียงลั่วดวงตาเบิกกว้าง เหม่อมองความกระตือรือร้นอย่างออกหน้าออกตาของศิษย์ผู้พี่ เม็ดยาฟื้นฟูปราณไม่ใช่สิ่งของราคาถูก เพียงหนึ่งเม็ดก็เท่ากับยี่สิบชิ้นจิงสือระดับที่สองแล้ว กระทั่งพวกมันยังได้รับเพียงส่วนที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือนเท่านั้น ศิษย์พี่ถึงกับให้เม็ดยาแก่คนแปลกหน้าจริง ๆ ?
มันสีหน้างวยงง ศิษย์พี่ดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ใช่เพียงสละเม็ดยาป้อนให้แก่ผู้อื่น กระทั่งยังช่วยเหลือผู้อื่นดูดซึมเม็ดยาอย่างเต็มอกเต็มใจ
จั่วม่อค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อมันลืมตา แวบแรกพลันพบเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ทันใดนั้นมันแตกตื่นลนลาน ผุดลุกนั่งขึ้นตามสัญชาตญาน
“น้องชาย อย่ากังวลไปเลย พวกเราไม่ได้ประสงค์ร้าย” อีกฝ่ายกล่าวอย่างแย้มยิ้ม พลางขยับหลบไปด้านข้าง
จั่วม่อลุกขึ้นอย่างมึนงง พลันพบว่าร่างกายอบอุ่นกว่าเดิม เส้นสายใยปราณแผ่ซ่านกระจัดกระจายอยู่ทั่วร่าง ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปหมดสิ้น พอเห็นมันฟื้นคืนสติ เหล่าศิษย์สตรีพากันห้อมล้อมเข้ามาทันที สนทนากันพลางเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น
จั่วม่อยามนี้ค่อยทราบว่ามันถูกผู้อื่นช่วยเหลือเอาไว้ มันรีบก้าวไปตรงหน้าซือเสียงกับเหลียงลั่ว ประสานมือคำนับขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ พระคุณนี้ผู้น้อยขอจดจำใส่ใจไม่ลืมเลือน”
“จั่วเสี่ยวตี้ (น้องชายคนเล็กจั่ว) ไม่ต้องเกรงใจเกินไป ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าตั้งแต่แรกเห็น เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ อย่าได้ถือเป็นบุญคุณอันใด” ซือเสียงตอบอย่างยิ้มแย้ม “พวกเรามาจากสำนักกระบี่สีชาด อันที่จริงสำนักกระบี่สีชาดกับสำนักกระบี่สุญตาของเจ้า ก็มิได้ห่างไกลกันเท่าใด พวกเราย่อมเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”
เหลียงลั่วได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะเหลือกตาขึ้น อันใดเรียกว่าไม่ห่างไกลกันเท่าใด? มันไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำว่ามีสำนักกระบี่สุญตาสำนักหนึ่ง ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณโดยรอบสำนักมัน ศิษย์พี่วันนี้มิทราบเป็นไรไปแล้ว ไฉนมีท่าทีแปลกพิกลถึงเพียงนี้?
จั่วม่อกล่าวอย่างซาบซึ้ง “หากผู้อาวุโสทั้งสองไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เกรงว่า... ...”
ซือเสียงโบกมือตัดบท “เราจะถือว่าเป็นรุ่นเดียวกัน ข้าจะเรียกเจ้าว่าจั่วเสี่ยวตี้ ฮาฮา จั่วเสี่ยวตี้เจ้าแน่นอนว่าจะมีอนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด เกรงว่าอาจจะเป็นพวกเราเองที่ไม่ประมาณตนไปบ้าง”
“ผู้อาวุโสกล่าวกระไรเช่นนั้น” จั่วม่อไม่อาจเข้าใจความหมายของผู้อื่น การยกย่องเช่นนี้ทำให้มันยิ่งงงงวย “ผู้น้อยเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง เรื่องในอนาคตเกรงว่าไม่มีปัญญาจะกล่าวถึงแล้ว”
ซือเสียงชักสีหน้าไม่พอใจ “จั่วเสี่ยวตี้เจ้าใช่รังเกียจพวกเราหรือไม่? ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส ช่างเรียกจนระคายหูเสียจริง”
“นี่......” จั่วม่ออดอึดอัดใจอยู่บ้างไม่ได้ ควรทราบว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร นอกเหนือจากสำนักเดียวกันแล้ว ระหว่างค่ายสำนักต่าง ๆ มักไม่มีการแบ่งแยกระดับอายุ หรือจะกล่าวว่าอายุไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเหล่าผู้ฝึกตน อีกทั้งยังยากจะแยกแยะวัยที่แท้จริงจากรูปโฉมภายนอก ดังนั้นโดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่จะแบ่งระดับชนชั้นด้วยพลังฝึกตน ผู้ที่พลังฝึกตนสูงล้ำกว่าย่อมถือเป็นผู้อาวุโส ไม่ว่ามันจะอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม
แม้ว่าจั่วม่อไม่อาจหยั่งทราบระดับพลังบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่าย แต่เมื่อสามารถขับไล่คนเหล่านั้นไปอย่างง่ายดาย สองบุรุษเบื้องหน้านี้ย่อมสมควรแก่คำผู้อาวุโสได้อย่างเกินพอ จั่วม่อเป็นคนรู้ความอย่างยิ่ง อย่างเช่นกระเรียนน้อยพันตัวในตอนนั้น หากมันไม่แน่ใจว่าผู้อื่นมิอาจเสาะหามันได้ มันจะไม่เขียนตอบลงไปเป็นอันขาด
ดังนั้นต่อหน้าบุรุษสองคนนี้ เป็นธรรมดาที่มันจะทำตัวว่านอนสอนง่ายยิ่ง
ในเวลานี้ ซือเสียงหัวร่อพลางแนะนำว่า “เจ้าสามารถเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้า ซือเสียง ส่วนมันเป็นศิษย์ผู้น้องของข้า เหลียงลั่ว”
จั่วม่อก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ค้อมคำนับลงอีกครั้ง “พี่ใหญ่ซือ พี่ใหญ่เหลียง!”
เหล่าศิษย์สตรีมองจั่วม่ออย่างเลื่อมใสระคนอิจฉา สามารถผูกสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนที่เข้มแข็ง ต่อไปย่อมมีประโยชน์มากมายเป็นธรรมดา ผู้อาวุโสเบื้องหน้านี้เห็นได้ชัดว่าชื่นชมศิษย์พี่จั่วม่อไม่น้อย ศิษย์พี่หนนี้ถือว่าวิ่งชนโชคลาภเข้าอย่างแท้จริง
อย่างที่คาดไว้ พวกนางได้ยินซือเสียงหัวร่อพลางกล่าวว่า “เจ้าเมื่อเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ เช่นนั้นข้าย่อมต้องมอบของขวัญแรกพบหน้าให้ นี่คือ[กระบี่ผลึกน้ำแข็ง] แม้ว่ามันเป็นเพียงกระบี่บินระดับที่สาม แต่คุณสมบัติเอนเอียงไปทางหยินเย็นเยือก ข้าเห็นว่าเจตจำนงกระบี่ของจั่วเสี่ยวตี้ก็เอนเอียงไปทางน้ำแข็ง ดังนั้นกระบี่บินเล่มนี้เหมาะสมกับเจ้าไม่น้อย”
ภายใต้การจ้องมองจนน้ำลายแทบไหลย้อยของฝูงชน จั่วม่อรับกระบี่บินมาอย่างมึนงง
กระบี่ยาวสองฉื่อกับอีกเจ็ดหรือแปดชุ่น ตัวกระบี่โปร่งแสง เป็นประกายแวววาว ราวกับว่ามันถูกแกะสลักขึ้นมาจากน้ำแข็ง แผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยือกชนิดหนึ่งออกมา
ราวกับเสี้ยนปิ่ง(ขนมอบคล้ายพาย)ชิ้นหนึ่ง จู่ๆ ร่วงลงมาจากฟากฟ้า ฟาดใส่มันจนแทบสิ้นสติ รูปลักษณ์ของกระบี่บินเล่มนี้ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญ ในใจจั่วม่อแปลงค่ากระบี่บินเป็นจิงสือโดยตรง... ...
จิงสือจำนวนมหาศาล... ...
ซือเสียงส่งสายตาให้เหลียงลั่ว เหลียงลั่วได้แต่ล้วงเข้าไปในอกเสื้ออย่างจนใจ คลำหาอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยล้วงเอากระดาษยันต์พับหนึ่งออกมา สีหน้าเจ็บปวดอยู่บ้าง มันโยนให้จั่วม่อ บอกอย่างเย็นชา “ยันต์เทพสัญจร”
จั่วม่อยามนี้สมองลั่นตูม เบิกบานใจจนเกือบจะเป็นลม!
มันไม่ทราบราคาที่แน่ชัดของกระบี่บิน แต่ล่วงรู้ราคาของยันต์เทพสัญจรอยู่บ้าง ยันต์เทพสัญจรมีข้อจำกัดไม่สูงนักสำหรับผู้ใช้ มันเป็นหนึ่งในกระดาษยันต์หายากที่ด่านเลี่ยนชี่ก็ยังสามารถใช้งานได้ แปะยันต์นี้บนขา เดินทางพันหลี่โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งยังรวดเร็วกว่ากระเรียนกระดาษบินมาก
รับยันต์เทพสัญจรมาอย่างระมัดระวัง มันจ้องมองไม่วางตา ในใจประเมินได้ในทันที นี่เป็นยันต์เทพสัญจรระดับที่สาม!
โอ้!
สองคนนี้มีน้ำใจไม่น้อย! แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้อกังขาในใจมัน แทนที่จะลดลงกลับยิ่งเพิ่มขึ้น
ไม่มีความรักที่ไม่มีเหตุผลในโลกนี้ ของสองสิ่งนี้ ไม่ว่าอันไหนก็มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดของมันรวมกัน ผู้อื่นไม่มีเหตุผลที่จะมอบให้ใครบางคนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นี่ทำให้มันงงงวยไม่คลาย
“วันนี้พวกเรายังมีเรื่องราวติดพัน คงต้องขออำลาไปก่อน แต่ไม่กี่วันให้หลัง เราจะไปเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขาสุญตา เพื่อร่ำดื่มกันสักครา!”
ซือเสียงยิ้มพลางโบกมือให้จั่วม่อ จากนั้นขี่วัวสีเขียวหายลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหลียงลั่ว
จั่วม่อเหม่อมองอย่างโง่งม เห็นทั้งคู่อันตรธานหายไป ครู่หนึ่ง มันจู่ ๆ ก็หันไปกล่าวกับเหล่าศิษย์สตรี “ผู้ใดลองหยิกข้าที นี่ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่?”
เจ็ดแปดมือยื่นเข้ามาพร้อมเพรียงกันในบัดดล
เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วเส้นทางภูเขา!
“ศิษย์พี่ ท่านทำอะไร?” เหลียงลั่วไม่พอใจอยู่บ้าง แน่นอนว่ายันต์เทพสัญจรไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดสำหรับมัน แต่มันก็ไม่ได้ใจกว้างขนาดที่จะมอบให้คนแปลกหน้าไปเปล่าๆ หากมิใช่ว่ามันเชื่อมั่นในตัวศิษย์พี่อย่างมาก มันกระทั่งจะไม่ให้ความสนใจเลย
นั่งอยู่บนหลังวัวสีเขียว ซือเสียงกลับมีทีท่าพออกพอใจ “มันเป็นศิษย์ฝ่ายนอก”
“ศิษย์ฝ่ายนอกแล้วเป็นไร? มีศิษย์ฝ่ายนอกมากมายในโลกใบนี้” เหลียงลั่วตอบโต้อย่างมึนตึง
ซือเสียงเหลือบมองเหลียงลั่ว มันย้อนถามว่า “ศิษย์น้องเจ้าคิดเช่นไรกับพรสวรรค์ของจั่วม่อ?”
เหลียงลั่วถึงกับสะอึก ครู่ต่อมา ค่อยเค้นออกมาได้ประโยคหนึ่ง “ไม่เลวเลย เหนือกว่าข้าเสียอีก”
“ศิษย์น้องอย่าได้ตีค่าตัวเองต่ำเกินไป หากเจ้าทุ่มเทฝึกหนัก เจ้าไม่มีวันด้อยกว่ามันแน่นอน” ซือเสียงเกรงว่าศิษย์น้องจะสูญเสียความมั่นใจ จึงรีบปลอบโยน จากนั้นกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “อย่างไรก็ตาม ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ว่าอยู่ในสำนักใด มันสมควรเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของสำนัก แต่ในความเป็นจริง มันยังคงเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่ง!”
เหลียงลั่วไม่ใช่คนโง่ มันบังเกิดปฏิกิริยาทันที “ที่แท้ศิษย์พี่คิดชักนำมันเข้าสู่สำนัก?”
“ไฉนข้าจึงไม่สามารถ? สำนักกระบี่สุญตายังไม่ตระหนักถึงตัวมัน นี่ไม่ใช่ดียิ่งสำหรับเราหรอกหรือ? ศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่งเปลี่ยนไปเข้าร่วมสำนักอื่น ต่อให้สำนักกระบี่สุญตามาเยือนถึงหน้าประตูสำนักเรา ยังไม่มีเหตุผลให้อาละวาดออกมา” ซือเสียงหัวร่ออย่างเย็นชา
เหลียงลั่วทราบดีว่าศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง อัตราการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นสูงมาก ที่เข้าสู่สำนักอื่นก็มีมากมายนับไม่ถ้วน หากพวกมันสามารถเกลี้ยกล่อมจั่วม่อ สำนักกระบี่สุญตาก็ไม่มีปัญญาเรียกร้องอันใด
“ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ผู้อาวุโสของมันล้วนตาบอดหรือไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจงใจวางมันไว้ในตำแหน่งศิษย์ฝ่ายนอก เพื่อขัดเกลาให้มันเข้มแข็งขึ้น?” เหลียงลั่วน้ำเสียงยังกังขา
ซือเสียงหัวร่อพลางตอบว่า “ฮาฮา จำที่มันตอบข้ายามที่ข้าเยินยอถึงอนาคตอันไร้ขีดจำกัดของมันได้หรือไม่? สิ่งที่มันกล่าว สามารถยืนยันได้ ว่ามันไม่ได้ถูกจัดวางไว้ฝ่ายนอกโดยผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ลองขบคิดดูอีกที ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ... บางทีมันอาจเพิ่งบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ และผู้อาวุโสสำนักมันยังไม่ทันจะได้พบเห็นความจริงข้อนี้”
เหลียงลั่วหัวใจโลดขึ้น “เช่นนั้น ไฉนเราไม่พามันไปกับเราเสียเดี๋ยวนี้เลย? หากปล่อยมันกลับไปที่ภูเขา แล้วมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น นี่จะไม่เสียการเอาหรอกหรือ?”
“อย่าเพิ่งแตกตื่น ข้าเห็นว่ามันค่อนข้างระมัดระวังเราอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีหูตามากมายสับสน หากเราแสดงเจตนาโจ่งแจ้งเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่ได้เรื่องเสียมากกว่า ทางที่ดีเรากลับไปก่อน รออีกสองสามวันค่อยไปเยี่ยมเยือนมันอีกครั้ง โน้มน้าวอย่างจริงใจ ดึงดูดด้วยผลประโยชน์ ข้าจึงไม่เชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ” ซือเสียงแจกแจงอย่างมั่นอกมั่นใจ
เหลียงลั่วพลันตระหนักรู้แจ้งในทันใด “ศิษย์พี่เฉียบแหลมยิ่ง!”
ทั้งคู่แย้มยิ้มอย่างรู้กัน