บทที่ 29 เจตจำนงกระบี่ของจั่วม่อ
“ศิษย์พี่เคยได้ยินเรื่องสำนักกระบี่สุญตามาบ้างหรือไม่?”
เห็นสองบุรุษเดินทางเคียงกันอยู่บนภูเขา แต่ละคนขี่วัวสีเขียวคนละตัว วัวสีเขียวคู่นั้นขนเรียบลื่น ตลอดทั้งร่างเป็นสีเขียวเข้ม สองเขาดำสนิท พวกมันก้าวเดินอย่างไม่ได้เร่งรีบ ท่วงท่าตามสบาย มั่นคงราบเรียบถึงขีดสุด จนบุรุษสองคนบนหลังของพวกมันดูราวกับรูปปั้น นั่งแน่วนิ่งแทบไม่ไหวติง
“ฮาฮา ด้วยความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้น คิดไม่ได้ยินก็คงไม่ง่ายแล้ว”
บุรุษที่สูงวัยกว่าเรียกว่าซือเสียง มันเป็นศิษย์สำนักกระบี่สีชาดผู้หนึ่ง อีกบุรุษหนึ่ง เป็นศิษย์ผู้น้องของมันนามว่าเหลียงลั่ว สำนักกระบี่สีชาดมีชื่อเสียงอยู่บ้างแถบตงฝู บุรุษคู่นี้ล้วนมีพรสวรรค์แต่กำเนิดไม่ธรรมดา แม้ว่าจะยังถูกจำกัดด้วยวัยอันอ่อนเยาว์ แต่พวกมันทั้งมีฝีมือเข้มแข็ง และชื่อเสียงเลื่องลือไม่เบา
(ซือเสียง – ซือ แปลว่า บริจาค,ให้ทาน เสียง แปลว่า มงคล : เหลียงลั่ว-สะพานแม่น้ำลั่ว )
“ฮ่า ใช่ ใช่ ฟังดูทั้งลึกลับ ทั้งเหลือเชื่อ จนข้าเชื่อไม่ลงจริงๆ” เหลียงลั่วกล่าวพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
ซือเสียงเหลือบมองศิษย์ผู้น้อง ลอบหัวร่อในใจ ศิษย์น้องผู้นี้อื่นใดล้วนดีไปหมด เสียแต่ทระนงตนมากเกินไปหน่อย แต่ตัวมันเองก็พอเข้าใจได้ ศิษย์น้องอ่อนเยาว์กว่ามันสิบปีเต็ม แต่พลังบำเพ็ญเพียรเกือบจะใกล้เคียงกัน หากศิษย์น้องอยู่ในสำนักใหญ่ อนาคตของมันแทบจะไร้ขีดจำกัด
“ปราณกระบี่ในราตรีนั้น ข้าเห็นกับตาตัวเองด้วยซ้ำ มันเป็นภาพนิมิตแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริง” ซือเสียงทอดถอนปนรำพึง “สามารถก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินหนหนึ่ง คนผู้นี้ ความเข้าใจในกระบี่ของมันน่าแตกตื่นสะท้านโลกแล้ว”
เหลียงลั่วไม่แน่ใจอยู่บ้าง “น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสพบหน้ามัน หากได้ลองประมือสักครา มิใช่ประเสริฐยิ่งหรอกหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสำนักกระบี่สุญตามาก่อน น่าสงสัยว่ามหาโชคลาภเช่นไรที่พวกมันได้ประสบมา”
ซือเสียงยิ้มอย่างไม่เป็นสุขนัก กล่าวว่า “หลายปีที่ผ่านมา สำนักกระบี่สุญตาไม่ค่อยมีความสำคัญนัก แต่เพียงดูจากสี่ปรมาจารย์จินตันที่อยู่เบื้องหลังของพวกมัน ต่อให้ทอดตามองทั่วตงฝู แน่นอนว่ายังนับเป็นสำนักชั้นแนวหน้าได้อย่างเกินพอ”
“สี่ปรมาจารย์จินตัน?” เหลียงลั่วตะลึงลาน สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ศิษย์พี่ ท่านแน่ใจว่าไม่ผิด? กระทั่งสำนักเรายังมีแค่สามปรมาจารย์จินตันเท่านั้น แต่สำนักกระบี่สุญตาถึงกับมีสี่คน?”
“ไม่ผิดแน่” ซือเสียงสลายรอยยิ้ม หัวใจหนักอึ้ง สมดุลอำนาจรอบ ๆ ตงฝูอยู่ในสภาวะชะงักงันมานานแล้ว หากจู่ ๆ ปรากฏค่ายสำนักอันเข้มแข็งขึ้นมาสำนักหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อสภาวะสมดุลนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าสำนักกระบี่สุญตาได้อดทนเฝ้ารอเวลาของพวกมันมานาน บันดาลให้ผู้คนอดไม่ได้ ต้องครุ่นคิดระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
“ในหมู่พวกมันทั้งสี่ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สุดคือผู้อาวุโสซินหยาน หากมิใช่ผู้อาวุโสเทียนซงจื่อเปิดเผยตัวตนของมัน ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าที่แท้กระบี่มังกรน้ำแข็งผู้ทรงเกียรติ อยู่ในตงฝูของเรานี่เอง เวลานี้เรียกได้ว่ามีอีกหนึ่งค่ายสำนักที่เข้มแข็งอย่างยิ่งในตงฝู”
เหลียงลั่วถามอย่างช่วยไม่ได้ “กระบี่มังกรน้ำแข็งกระไรนั่น ชื่อเสียงเลื่องลือถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ซือเสียงฝืนยิ้ม ตอบว่า “บอกตามตรง ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน แต่ตามที่เหล่าผู้อาวุโสกล่าว นามนี้โด่งดังกระฉ่อนในช่วงเวลาหนึ่ง มันเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในการล่าอสูร ขีดความสามารถในด้านเข่นฆ่าสังหารของมันสูงส่งมาก ในอดีต มีอสูรปิศาจตกตายอยู่ใต้คมกระบี่ของมันนับไม่ถ้วน”
เหลียงลั่วสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เพียงสามารถเอาชีวิตรอดท่ามกลางเหล่าอสูรปิศาจ ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว เมื่อสามารถสร้างชื่อเสียงจนลือเลื่องในการล่าอสูร เช่นนั้นย่อมหมายความว่านี่เป็นบุคคลอันเข้มแข็งสุดขั้วผู้หนึ่ง กับความรู้พื้นฐานเช่นนี้ตัวมันยังล่วงรู้อยู่บ้าง
ในเวลานี้เอง พวกมันพลันเงยหน้าขวับ มองตรงแน่วไปข้างหน้า
“เจตจำนงกระบี่อันเข้มแข็งกระไรเช่นนี้!” เหลียงลั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบกระตุ้นวัวสีเขียวใต้ร่าง วัวสีเขียวอันอ่อนโยนเชื่องช้า จู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นร่างสั่นพร่า แล้วหายวับไป
ซือเสียงยังคงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง มันเร่งผลักดันวัวสีเขียว ชั่ววูบก็อันตรธานหายไปเช่นกัน
จั่วม่อรู้สึกราวกับมือข้างขวาที่สวมใส่แหวนกระบี่ทอง หนักอึ้งกว่าสามหมื่นจิน กว่าจะยกขึ้นได้แต่ละชุ่น แทบต้องใช้เรี่ยวแรงหมดทั้งร่าง พลังปราณทั้งมวลในกายประหนึ่งม้าป่าที่หลุดจากเชือก ทั้งห้อตะบึงอย่างคลุ้มคลั่ง ทั้งควบคุมไม่อยู่ พากันถาโถมเข้าสู่แหวนกระบี่ทองในมือขวามัน
จิตสำนึกของมันจมอยู่ภายใต้ความว่างเปล่าและเงียบงันอันพิสดารชนิดหนึ่ง เปลวเพลิงเริงรำในทะเลแห่งจิตสำนึกกลายเป็นแข็งค้าง ราวกับว่าตกอยู่ภายใต้เวทวิชาตรึงร่างประเภทหนึ่ง ทั้งแข็งค้างและเงียบเชียบ
บนท้องฟ้าของทะเลแห่งจิตสำนึก ดวงดาวนั้นก็ปลดปล่อยแสงเจิดจ้าออกมา ขณะที่ค่อยๆ หมุนวนอย่างช้าๆ
นั่งอยู่บนป้ายหินสุสาน ผูเยาแหงนเงยขึ้น ทอดตามองดวงดาวพราวแสงที่เหนือศีรษะ มันหัวร่อออกมาโดยไร้เสียง
จั่วม่อไม่เคยรู้สึกจิตใจกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้มาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน มันเพียงรู้สึกว่า ต้องการส่งปราณกระบี่เล่มนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นปราณกระบี่อาจระเบิดขึ้นในร่างกาย และตัวมันจะเหลือเพียงเลือดเนื้อเลอะเลือนกองหนึ่ง มันยังทราบอีกว่า กระบี่บินของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เจตจำนงกระบี่ เพียงประจุปราณกระบี่ไว้อย่างเบาบาง ไม่สม่ำเสมอ มันสามารถค้นพบจุดอ่อนไม่น้อยกว่าเจ็ดจุด
ใช่แล้ว จั่วม่อไม่พบคำอธิบายอื่น คำ ‘จุดอ่อน’ คำนี้ มันรู้สึกว่าใช้ได้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว
ช่างเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
มันจมอยู่ในความเพลิดเพลิน
แต่ในสายตาของเสี่ยวกั่วกับคนอื่นๆ ยามนี้ศิษย์พี่ดูคล้ายกระบี่อันเย็นเยียบเล่มหนึ่ง ทุกผู้คนที่สบตากับมันล้วนใจสั่นสะท้าน นัยน์ตาสีดำอันเงียบสงบและอุ่นระอุ ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาขาว ทั้งว่างเปล่าและไม่แยแส ประหนึ่งท้องทุ่งหิมะอันรกร้างไร้ที่สิ้นสุดผืนหนึ่ง
กระทั่งเหลียงลั่วกับซือเสียงผู้เพิ่งจะมาถึงยังตื่นตระหนก เหลียงลั่วถึงกับอุทานอย่างอดไม่อยู่ “ไฮ้ย่า!”
ซือเสียงเป็นบุคคลอันหนักแน่นมั่นคงผู้หนึ่ง มันเพ่งมองรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น แต่เมื่อมันพบว่าคนผู้นั้นมีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด ยังอดไม่ได้ ต้องสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นกระบี่บินห่อหุ้มด้วยแสงสีเขียว แปรเปลี่ยนเป็นลำแสง ส่งเสียงกรีดแหลม พุ่งวาบลงหาจั่วม่อ!
ในช่วงเวลานี้เอง มือขวาที่ยกขึ้นอย่างเชื่องช้าของจั่วม่อ พลันตวัดจี้ออก
ซี่อ!
ราวกับสัตว์ประหลาดแยกเขี้ยวขู่คำรามใส่กัน เสียงแหวกผ่าอากาศสองเสียง ทั้งไม่ประสานสอดคล้อง ทั้งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อุณหภูมิรอบข้างลดต่ำลงอย่างฉับพลัน
ปราณกระบี่น้ำค้างแข็งสีขาวสายหนึ่ง พวยพุ่งออกจากปลายนิ้วจั่วม่อ!
พิ้ง!
ลำแสงสองสาย หนึ่งเขียวหนึ่งขาว กระแทกใส่กันอย่างดุดัน!
ไม่มีเสียงระเบิดเหมือนที่คาดไว้ ปราณกระบี่สีขาวของจั่วม่อคลับคล้ายหมอกผืนหนึ่ง ล้อมกรอบโจมตีกระบี่บินของอีกฝ่าย
กระบี่บินหยุดกึก แข็งค้างอยู่กลางอากาศ
ฝ่ายตรงข้ามสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายอย่างรุนแรง!
ติ๊ง! กระบี่บินร่วงลงบนพื้น ไม่ขยับเคลื่อนไหวดุจปลาตายตัวหนึ่ง
ความแข็งแรงของร่างกายถูกดึงออกมาใช้จนเกลี้ยงเกลา จั่วม่อคล้ายจิตวิญญานว่างเปล่ามึนงง ความรู้สึกกระจ่างแจ้งอันพิสดารนั้นราวกับกระแสน้ำ ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนหน้านั้น มันสามารถส่งปราณกระบี่น้ำค้างแข็งเข้าจู่โจมจุดหนึ่ง ที่ด้านหลังของกระบี่บินอย่างถนัดถนี่!
ตำแหน่งนั้นคือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดที่จั่วม่อค้นพบมาก่อน มันเลือกโจมตีใส่จุดนั้นโดยสัญชาตญาณ
น่าเสียดายที่ยังไม่อาจทำลายกระบี่บินลงได้!
จั่วม่อเศร้าเสียดายอยู่บ้าง แต่แล้วมันจิตใจหมุนคว้าง ล้มฟาดลงกับพื้น
เหล่าศิษย์สตรีเบื้องหลังมันกรีดร้องอย่างหวาดกลัว
ฝ่ายตรงข้ามสีหน้าแปรเปลี่ยน วิ่งเข้ามาหยิบฉวยกระบี่บินของมัน เห็นตัวกระบี่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ฉับพลันนั้นมันทั้งขุ่นแค้นทั้งโศกเศร้า ครั้นหันมามองจั่วม่อบนพื้น ความเกลียดแค้นชิงชังพลุ่งขึ้นในใจมัน มันคำรามใส่ศิษย์ร่วมสำนักอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าพวกสวะ มัวยืนนิ่งเฉยหาอันใด? รีบสับเจ้าบัดซบนี่เป็นชิ้นๆ ให้แก่ข้า!”
เหล่าศิษย์ร่วมสำนักสบถพึมพำ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวไปข้างหน้า ความห้าวหาญของจั่วม่อสร้างความตระหนกแก่พวกมันอย่างลึกล้ำ อีกทั้งพวกมันไม่ได้โง่ ดูจากรูปการณ์แล้ว เหตุการณ์นี้จะบานปลายใหญ่โต หากเวลานี้กระโดดออกไป ไม่ใช่หาที่ตายหรอกหรือ? หากเป็นเรื่องราวเล็กน้อยที่มักเกิดขึ้นทุกวี่วัน เหล่าผู้อาวุโสก็คร้านจะใส่ใจ แต่หากพวกมันทำร้ายผู้คนเข้าจริงๆ แล้วผู้อาวุโสของอีกฝ่ายเกิดไปเอาเรื่องถึงสำนัก ต่อจากนั้นเกรงว่าพวกมันจะประสบกับความทุกข์ยากแล้ว
พอเห็นสหายร่วมสำนักอึกอักรีรอ เจ้าหัวหน้ากลุ่มก็ไม่สิ้นเปลืองวาจาอีก ใบหน้ามันบิดเบี้ยว มือกำกระบี่บินแน่น สาวเท้าเข้าหาจั่วม่อ
เสี่ยวกั่วสะอื้นฮัก ถลาเข้ามาเอาตัวบังร่างจั่วม่อ ใบหน้าผลผิงกว่อน้อยๆ ของนางเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แต่นางยังคงซ่อนจั่วม่อไว้ด้านหลัง เหล่าศิษย์สตรีอื่นๆ เห็นดังนั้น สบตากันวูบ แล้วกัดฟัน พากันลุกขึ้น
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“กลางวันแสกๆ ยังกล้าทำร้ายผู้คน?”
“ข้าจะบอกเจ้า เหล่าเหนียงทนเจ้ามานานแล้ว เข้ามาเลย เข้ามา ลองมาสับเหล่าเหนียงดูเซ่! หากคราวนี้ผู้อาวุโสของเจ้าไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนให้เรา ข้าบอกเจ้าไว้เลย เหล่าเหนียงไม่ขอเป็นสตรี!”
(เหล่าเหนียง – แม่ผู้ชรา คำแทนตัวเองเป็นแม่ ในที่นี้ใช้ด่าอีกฝ่าย)
……
มันอาจจะเป็นไปได้พวกนางนัดแนะจังหวะก่นด่าจนคุ้นชิน พวกนางผู้หนึ่งกล่าวคำ อีกผู้หนึ่งก็กล่าวอีกคำ กล่าวไปกล่าวมา พลังสภาวะของพวกนางคล้ายด่าจนเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ
มองดูห่างๆ จากนอกวง เหลียงลั่วในที่สุดค้นพบเงื่อนงำ ต้องกล่าวอย่างตระหนกว่า “มันเพียงอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดจริงๆ? นี่สามารถครอบครองเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์ได้อย่างไร?”
“โลกนี้มีอัจฉริยะมากมายเหลือเกิน อ้า” ซือเสียงอดทอดถอนไม่ได้ “เพียงด่านเลี่ยนชี่ แต่กลับมีเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์ อนาคตของมันก็ไร้ขีดจำกัดแล้ว! และนี่เดิมทีเป็นปราณกระบี่ธาตุทอง แต่กลับถูกเจตจำนงกระบี่เปลี่ยนเป็นปราณกระบี่น้ำแข็ง มิทราบว่าสำนักใดสามารถฝึกอบรมศิษย์เช่นนี้ได้?”
เหลียงลั่วยังคงจ้องมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไปยังจั่วม่อที่นอนแผ่อยู่บนพื้น
จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันยังไม่อาจเชื่อได้ลง ว่าศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่ง ถึงกับครอบครองเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์เช่นนี้ได้!
สำหรับเซียนกระบี่ผู้หนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดและยากจะฝึกฝนที่สุด ย่อมเป็นเจตจำนงกระบี่!
การฝึกอบรมเซียนกระบี่สักคนหนึ่ง เริ่มแรก พวกมันต้องร่ำเรียนเคล็ดวิชากระบี่ทุกประเภท ลับคมผ่านการต่อสู้จริงนับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นกลั่นกรองขัดเกลาเพิ่มเติม พวกมันจะค่อย ๆ ตระหนักถึงเจตจำนงกระบี่ในที่สุด
เจตจำนงกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ความเข้าใจขึ้นอยู่กับเฉพาะตัวแต่ละบุคคลเอง เซียนกระบี่ที่สามารถเข้าถึงเจตจำนงกระบี่ จึงจะนับเป็นผู้ฝึกตนกระบี่อย่างแท้จริง แม้ว่าพวกมันจะไม่มีกระบี่บินอยู่ในมือ แต่พวกมันยังคงคมกล้า และยากจะโค่นล้มลงได้
เคล็ดวิชากระบี่เป็นรูปร่าง พลังปราณเป็นเส้นชีพจรเชื่อมโยง แต่หัวใจหลักที่แท้จริงกลับเป็นเจตจำนงกระบี่!
พวกมันศิษย์พี่น้องเป็นผู้ฝึกตนด่านหนิงม่าย ยังเพียงเพิ่งวางเท้าลงบนธรณีประตูสู่เจตจำนงกระบี่เท่านั้น จู่ๆ ก็พบว่าศิษย์ด่านเลี่ยนชี่ผู้หนึ่งครอบครองเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์ จะไม่ให้พวกมันตื่นตระหนกได้อย่างไร?
ถือกระบี่บินที่แตกร้าว ฟังคำก่นด่าประณามจากเหล่าศิษย์สตรีสำนักกระบี่สุญตา เจ้าผู้นั้นใบหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำ เดี๋ยวซีดขาว กระชากเสียงตวาด “พวกเจ้าทั้งหมด จงหลีกไปให้พ้นทาง!”
“อ๊า!” เหล่าศิษย์สตรีที่กำลังก้าวร้าวเมามัน ต้องกรีดร้องอย่างกะทันหัน และหวาดกลัวจนกระจัดกระจายไป
เหลือเพียงเสี่ยวกั่วผู้เดียว นางร่ำไห้ไปพลาง ขวางอยู่เบื้องหน้าจั่วม่อไปพลางอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
คนผู้นั้นกระชับกระบี่บินในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ตะคอกใส่เสี่ยวกั่ว “หลีกไป!”
เสี่ยวกั่วสะอื้นพลางปกป้องจั่วม่อ นางสั่นศีรษะสุดชีวิต
“นังสตรีชั้นต่ำ!” ชายผู้นั้นขุ่นแค้นยิ่ง เงื้อกระบี่ขึ้น ฟันลง ข่มขู่จนเสี่ยวกั่วหลับตาปี๋
เปรี้ยง!
โดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า คนผู้นั้นคล้ายถูกฟาดด้วยค้อนยักษ์อันหนึ่ง ร่างมันปลิวลิ่วไปห้าหกจั้ง ร่วงฟาดอย่างรุนแรง นอนนิ่งไม่กระดิกตัว
“กลางวันแสกๆ ยังกล้าทำร้ายผู้คนอย่างเปิดเผย พวกเจ้ามาจากสำนักใด?” เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่ง จู่ๆ ก็ดังขึ้นด้านหลังเสี่ยวกั่ว
สองบุรุษผู้ฝึกตนก้าวออกมาช้า ๆ นั่งอยู่บนหลังวัวสีเขียว ผู้กล่าววาจาคือซือเสียง
เพียงกระบวนท่าเดียว ซือเสียงขู่ขวัญทุกผู้คนจนลนลาน กระทั่งคนโง่งมที่สุดยังทราบว่า ความเข้มแข็งของคนผู้นี้เหนือชั้นกว่าระดับของพวกมันมาก ทุกผู้คนล้วนมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง แต่ไม่มีผู้ใดตอบวาจา
“หือ?” ซือเสียงแค่นเสียงหนักอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูด?”
ในเวลานี้เอง คนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาอย่างสั่นเทา มันค้อมกายคำนับ “พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ตงฉี (แยกบูรพา) ที่ล่วงเกินผู้อาวุโส ต้องขออภัยด้วย! ขออภัยอย่างยิ่ง!”
สำนักกระบี่ตงฉี ซือเสียงกับเหลียงลั่วสบตากันวูบ พวกมันแทบจะขมวดคิ้ว
ซือเสียงแสยะปาก “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สำนักกระบี่ตงฉี สามารถล่วงเกินศิษย์สตรีสำนักอื่นได้ตามอำเภอใจ? ข้าสมควรถามไถ่จั่วเหมยเทียนดูสักครา นี่ใช่เป็นวิธีการฝึกอบรมศิษย์ของมันหรือไม่?”
นามจั่วเหมยเทียน บันดาลให้สีหน้าของทุกผู้คนแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พวกมันกลายเป็นหวาดผวาขึ้นมาทันที
“ไสหัวไป! หากพวกเจ้ากระทำเยี่ยงนี้อีก อย่าตำหนิว่าข้าไม่เกรงใจ!” ซือเสียงสะบัดแขนเสื้อ ออกคำสั่งที่คล้ายนิรโทษกรรมให้พวกมัน
เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่ตงฉีไหนเลยกล้าชักช้า รีบหอบหิ้วศิษย์พี่ของพวกมัน วิ่งตาลีตาเหลือกจากไป
หมุนตัวกลับมา ซือเสียงมองกลุ่มศิษย์สตรี พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องกังวล น้องชายผู้นี้เพียงใช้พลังปราณไปจนหมดสิ้นเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง... พวกเจ้ามาจากสำนักใด?”
----------------------------
เทพมารฯ รำพึง : เผื่อใครงง เกี่ยวกับเรื่องเจตจำนงกระบี่ ขั้นสมบูรณ์ของเจตจำนงกระบี่ น่าจะต้องใช้ร่วมกับกระบี่บิน ผนึกลงไปในกระบี่บินของจริง แล้วแปลงรูปเป็นรูปลักษณ์เฉพาะตัว แต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างมังกรน้ำแข็งของซินหยาน ก็เป็นการใส่เจตจำนงกระบี่ลงไปในกระบี่บิน แล้วแปลงเป็นมังกร พลังจะเพิ่มมากขึ้นกว่ากระบี่บินที่ใส่ปราณลงไปแบบธรรมดาๆ หลายเท่า
ส่วนของจั่วม่อตอนนี้ไม่มีกระบี่บิน เลยได้แต่ใส่เจตจำนงกระบี่ลงไปในปราณกระบี่อีกที ซึ่งอันนี้เรียกว่าเจตจำนงกระบี่บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้ใส่ลงไปในกระบี่บิน