ตอนที่แล้วบทที่ 26 รูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงไป จิตใจที่ถูกลบล้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 28 ธรณีประตู

บทที่ 27 เงยหน้าขึ้นในความมืดมน


“ศิษย์พี่ ร่างกายท่านใช่สบายดีหรือไม่?” เสี่ยวกั่วต่อสู้กับความสงสัยอยู่เป็นนาน ในที่สุดอดถามออกมาไม่ได้

“ข้าย่อมสบายดี” จั่วม่อตอบเสียงแหบพร่า พลางเดินต่อไปเบื้องหน้า

เสี่ยวกั่วมองจั่วม่ออย่างกังวล รวบรวมความกล้ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ หากท่านรู้สึกไม่ค่อยดี เราสามารถเลื่อนเป็นวันอื่น”

“ข้าบอกว่าสบายดีก็ย่อมสบายดี!” จั่วม่อถลึงตาใส่เสี่ยวกั่ว

เสี่ยวกั่วผงะถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้ นางยังพึมพำอย่างไร้เดียงสา “แต่ศิษย์พี่หญิงเคยบอกว่าร่างกายสำคัญที่สุด”

จั่วม่อตัดสินใจหุบปากตัวเอง ไม่โต้เถียงกับดรุณีน้อยอีก มันไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงมากนัก แต่ไม่ว่าผู้ใด หากต้องถูกผ่าครึ่งซ้ำๆ ซากๆ หนแล้วหนเล่าแทบไม่รู้จบสิ้น ด้วยเจตจำนงกระบี่อันแกร่งกร้าวของปรมาจารย์จินตัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ

เจ้าผูเยาวิกลจริต บ้าคลั่งวิกลจริต จิตฟั่นเฟือนอย่างแท้จริง!

เจตจำนงกระบี่ของอาจารย์อาซินหยานทรงพลังเกินกว่าที่จั่วม่อจะทานทนได้ ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับเจตจำนงกระบี่หิมะขาวสุดไพศาล มันรู้สึกราวกับยืนอยู่บนปากประตูมรณะ ความหวาดกลัวที่คล้ายมาจากส่วนลึกที่สุดในหัวใจ แผ่ซ่านจนตัวมันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความห่างชั้นระหว่างพวกมันกว้างใหญ่เกินไป กว้างใหญ่จนแทบไม่หลงเหลือความหมายอันใด

แม้ว่าความหวาดกลัวนี้จะคล้ายคลึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นก่อนตกตาย แต่จั่วม่อเพียงสามารถรู้สึกได้ชั่วแวบเดียว ก่อนที่จิตสำนึกของมันจะถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงอย่างง่ายดาย ผลลัพธ์เดียวที่เกิดขึ้นคือสติดับวูบลงทันที

แต่จากนั้นมันจะตื่นขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ด้วยความเจ็บปวด! ความเจ็บปวดมหาศาลสุดทานทนจากบาดแผลในจิตวิญญาณ จะกระตุ้นสติสัมปชัญญะของมันให้กลับรู้สึกตัวขึ้นมาเอง

สิ่งเดียวที่จั่วม่อกระทำได้คือกัดฟันทน และเร่งโคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด ซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเยียวยารักษาจิตวิญญาณ และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้แก่มัน

จากนั้นไม่รอให้มันทันได้หายใจหายคอ เจตจำนงกระบี่อีกเล่มหนึ่งก็ฟาดฟันลงมาจากฟากฟ้า แล้วมันก็สิ้นสติไปอีกครา

เช่นนั้นเอง ถูกสับขาดครึ่ง สลบไสล ตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวด วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่หยุดยั้ง ในวันหนึ่ง ๆ มันจะหมดสติไปหลายสิบครั้ง ผู้ใดสามารถคาดเดาได้ ว่าสภาพของมันจะดีได้อย่างไร?

หากจั่วม่อพอมีเวลาเหลือบ้าง คงสงสัยว่าตัวเองจะสามารถทานทนได้จนถึงความสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ผูเยาไม่แม้แต่จะให้เวลามันสงสัย หลังจากความเจ็บปวดซ้ำซาก มันก็กลายเป็นมึนงงเลอะเลือน

จนกระทั่งเมื่อเสี่ยวกั่วมาหา ผูเยาจึงยอมละเว้นมันชั่วคราว ปล่อยให้ติดตามเสี่ยวกั่วไป

เสี่ยวกั่วมาหามัน เพื่อขอให้มันช่วยตรวจสอบทุ่งหญ้าปราณ หลังจากเหตุการณ์วัชพืชรุกรานคราวนั้น เหล่าศิษย์สตรีบนดอยตะวันออกกลายเป็นขวัญอ่อนไม่น้อย

หลี่อิงฟ่งเลื่อนเข้าสู่สำนักฝ่ายใน กลายเป็นศิษย์ภายใต้การดูแลของหยานเล่อ นอกเหนือจากการบำเพ็ญเพียรแล้ว นางยังติดตามอาจารย์ของนางเพื่อเรียนรู้เรื่องการดูแลทรัพย์สินของสำนัก จึงไม่มีเวลาให้กลับมาเยือนดอยตะวันออกเลย แต่เหล่าศิษย์สตรียังระลึกถึงศิษย์พี่ผีดิบจั่วม่อ ทั้งยังจำได้ว่าก่อนที่หลี่อิงฟ่งจะจากไป นางสร้างข้อตกลงกับมันโดยเฉพาะ หวังว่ามันจะคอยช่วยเหลือบรรดาศิษย์สตรีเหล่านี้

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกนางมักจะนำจั่วม่อมาช่วยตรวจสอบทุ่งหญ้าปราณ

ไม่มีปัญหาใหญ่โตเกิดขึ้นกับทุ่งหญ้าปราณอีก นอกเหนือไปจากปัญหายิบย่อยบางประการ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดูแลไม่เหมาะสม ซึ่งสำหรับจั่วม่อผู้เพาะปลูกข้าวปราณเป็นอาชีพหลัก ปัญหายิบย่อยเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ความสนใจส่วนใหญ่ของเหล่าศิษย์สตรีล้วนอยู่ที่สัตว์ปราณ การเพาะปลูกหญ้าปราณเพียงเพื่อเป็นอาหารแก่สัตว์ปราณเท่านั้น ดังนั้นพวกนางมักไม่ค่อยได้เอาใจใส่ดูแลหญ้าปราณมากนัก

เหม่อมองทุ่งปราณที่ถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองเหล่านี้ จั่วม่อรู้สึกปวดร้าวใจ หากทั้งหมดนี้ใช้ปลูกข้าวปราณ ลองคิดดูว่าจะเป็นจิงสือมากมายเท่าใด

“ศิษย์พี่ สิ่งเล็กน้อยนี้ไม่มีราคาค่างวด แต่เป็นสินน้ำใจจากเรา โปรดรับมันไว้เถิด”

ศิษย์สตรีผู้หนึ่งส่งมอบของกำนัลที่พวกนางจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า

จั่วม่อย่อมเข้าใจเจตนาของศิษย์สตรีเหล่านี้ ไม่ว่าที่ใด ศิษย์สตรีมักอ่อนแอกว่าบุรุษเสมอ โดยเฉพาะเมื่อพวกนางเป็นเพียงศิษย์สตรีฝ่ายนอก หลี่อิงฟ่งจากไปแล้ว ทั้งยังไม่มีเวลาดูแลช่วยเหลือพวกนาง พวกนางต้องการใครสักคนที่มีพลังพอที่จะดูแลปกป้องพวกนางได้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด พลังฝึกตนของพวกนางส่วนใหญ่อยู่ที่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้า หรือขั้นที่หก ไม่มีพวกนางคนใดแบกรับภาระนี้ได้

จั่วม่อขบคิดอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายยังรับของกำนัล แม้ว่าเรื่องนี้จะลำบากอยู่บ้าง แต่หากพวกนางประสบปัญหาร้ายแรงเข้าจริงๆ มันเชื่อว่าหลี่อิงฟ่งจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน

เห็นจั่วม่อยินยอมรับของกำนัล เหล่าศิษย์สตรีค่อยมีสีหน้าโล่งอก

ทุกผู้คนล้วนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างยากลำบาก จั่วม่อครุ่นคะนึงอย่างเงียบงัน

ครั้นกลับถึงบ้าน จั่วม่อเปิดกล่องของกำนัลออกดู ข้างในมีแมลงปราณกับสัตว์ปราณเล็กๆ หลากหลายชนิด

และก็เป็นเช่นเดียวกันกับไส้เดือนตลบโคลนที่เคยใช้ไถพรวน พวกมันไม่ได้เข้าระดับคุณภาพที่ดี ส่วนใหญ่ยังเป็นระดับที่หนึ่ง มีเพียงหนึ่งหรือสองตัวอยู่ในระดับที่สอง แต่ก็เห็นได้ว่าพวกนางเอาใจใส่แมลงปราณและสัตว์ปราณเหล่านี้อยู่บ้าง แม้ว่าระดับคุณภาพจะไม่สูงนัก แต่พวกมันล้วนมีประโยชน์มากทีเดียว

ผูเยาจู่ ๆ ก็พุ่งออกมา โน้มร่างอยู่เบื้องหน้าฝูงแมลงปราณและสัตว์ปราณ “กล่าวถึงการเล่นแมลง หึหึ พวกเราเหล่าอสูรปิศาจจึงจะเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงในด้านนี้”

มันสุ่มพลิกๆ ดูเหล่าแมลงปราณ สีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง “เจ้าพวกนี้ล้วนแล้วแต่ระดับต่ำเตี้ย แทบไม่มีคุณค่าใด”

จั่วม่อกระพริบตาปริบๆ ไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง แต่ยังอดกล่าวไม่ได้ว่า “พวกนางล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอก จะไปเอาสิ่งของระดับสูงมาจากที่ใด?”

ผูเยาพลันคีบขึ้นมาตัวหนึ่ง ทั้งยังพินิจพิเคราะห์อยู่เป็นนาน จากนั้นก็โยนอย่างไม่ใส่ใจมาตรงหน้าจั่วม่อ “เอ้า เจ้าตัวนี้พอรับได้อยู่บ้าง นอกนั้นโยนทิ้งไปให้หมด”

เจ้าตัวที่ผูเยาเลือกเป็นแมลงปีกแข็งสีดำตัวหนึ่ง ใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อย จั่วม่อพลิกดูในม้วนหยกที่พวกนางให้มาด้วย ค้นหาจนพบว่าเจ้าแมลงปีกแข็งสีดำตัวนี้เรียกว่าแมลงทองทมิฬ ชมชอบรับประทานทองคำ ปีกของมันสามารถขายได้ราคาดี นอกเหนือจากนั้นแล้ว คาดการณ์กันว่าสามารถใช้ค้นหาแหล่งน้ำ

จั่วม่อผิดหวังอยู่บ้าง สำหรับมันแล้ว แมลงทองทมิฬไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าใด

ความสนใจของผูเยาเห็นได้ชัดว่าถูกแมลงเหล่านี้ดึงดูดมา มันเล่าอย่างกระตือรือร้นว่า

“เล่นกับแมลง ต้องใส่ใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคล็ดวิชาลับ พวกมันมักแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบยอดฝีมือด้านแมลงผู้หนึ่ง เรียกว่านักพรตยุงโลหิต เจ้าผู้นี้แข็งแกร่งมาก ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง มันสามารถให้กำเนิดดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน และผูกติดดวงวิญญาณเหล่านั้นเข้ากับฝูงยุงโลหิต จากนั้นมันสามารถสัญจรผ่านร้อยเขตปกครองอย่างสำราญใจ ทุกครั้งที่มันผ่านไปยังเขตปกครองใด มันจะทิ้งยุงโลหิตไว้สองสามตัว แม้ศัตรูของมันรวบรวมสมัครพรรคพวก ล้อมไล่ล่าเข่นฆ่ามันนับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่มีปัญญาสังหารมันได้”

“ข้าเองก็เคยเล่นแมลงทองทมิฬมาก่อน แต่ไม่ใช่สวะชั้นต่ำเช่นเจ้าตัวนี้ ในระดับที่หนึ่งมันแทบไม่มีประโยชน์อันใด แต่เจ้าสิ่งนี้ ประโยชน์ที่แท้จริงของมันคือใช้เพื่อค้นหาเส้นชีพจรปราณปฐพี... ...”

“เส้นชีพจรปราณปฐพี?” จั่วม่อกังขา “ไม่ใช่ว่ามันใช้ค้นหาแหล่งน้ำหรอกหรือ?”

“แหล่งน้ำ?” ผูเยาแสยะปาก ตอกกลับมาว่า “หากเจ้ามิทราบ ก็ไม่ต้องเสแสร้งทำเป็นทราบ นั่นคือสำหรับแมลงทองทมิฬระดับกระจอกงอกง่อยเท่านั้น ข้าจะบอกให้เอาบุญ แมลงทองทมิฬระดับที่สี่สามารถค้นหาเส้นชีพจรปราณปฐพี ระดับที่เจ็ดสามารถเสาะหาแหล่งกำเนิดปราณปฐพี ฮ่า แต่ระดับที่เก้าจึงจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง สำหรับระดับที่สิบ กระทั่งข้ายังไม่เคยพบเห็นมาก่อน”

ผูเยายังคงอธิบายอย่างเมามัน “การเลือกแมลงปราณ ต้องให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติที่ดี เช่นเดียวกับแมลงทองทมิฬของเจ้าตัวนี้ หากให้อาหารอย่างเหมาะสม มันสามารถเข้าสู่ระดับที่สี่ได้อย่างแน่นอน ส่วนตัวอื่นๆ ทั้งหมด กระทั่งระดับที่สามยังไม่มีโอกาสขึ้นไปถึง”

“เช่นนั้น อืม ทำอย่างไรเจ้าแมลงทองทมิฬตัวนี้ ถึงจะยกระดับขึ้นเป็นระดับที่สี่ได้?” จั่วม่อทำเป็นปรึกษาด้วยน้ำเสียงประจบประแจง

แมลงทองทมิฬระดับที่สี่สามารถเสาะหาเส้นชีพจรปราณปฐพี.... ... นี่เป็นสิ่งดึงดูดใจอย่างไร้ที่สิ้นสุดสำหรับจั่วม่อ

คราวนี้ผูเยาไม่สร้างความลำบากให้ มันตอบทันที “นี่ง่ายดายมาก มิใช่ว่าเจ้ามีเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยในห้องสันโดษหรอกหรือ ใส่แมลงทองทมิฬและก้อนสินแร่ทองคำบริสุทธิ์ลงในกล่องหยก แล้วฝังไว้ใกล้ๆ เส้นชีพจรปราณปฐพี ปล่อยทิ้งไว้สักหนึ่งเดือน มันสมควรเลื่อนขึ้นสู่ระดับที่สาม แต่หากจะให้เข้าถึงระดับที่สี่จริงๆ น่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามเดือน” กล่าวจบก็แย้มยิ้มอย่างพิสดาร

“เอาละ เช่นนั้นเรามาต่อกันดีกว่า” ผูเยากล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลางโบกมือ

วาจายังไม่ทันจะขาดคำ เจตจำนงกระบี่หิมะขาวก็ฟันฉับ จิตใจของจั่วม่อขาดเป็นสองท่อนอีกรอบ จั่วม่อผู้กำลังตั้งใจจดจำสิ่งที่ผูเยาอธิบาย สติดับวูบไปในทันที

มิทราบว่านานเท่าใด ความเจ็บปวดอันแรงกล้าปลุกให้จั่วม่อฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่มันคิด คือมันใช่จดจำวิธีเลี้ยงดูแมลงทองทมิฬให้ยกระดับขึ้นเป็นระดับที่สี่ได้หรือไม่?

ประเสริฐมาก มันยังจดจำได้!

อั่ก เจ็บปวดเหลือเกิน! มันเริ่มโอดครวญอย่างช่วยไม่ได้ เกลือกกลิ้งไปตามพื้น

ไฉนจู่ๆ มันกลายเป็นเจ็บปวดขึ้นมา?

ความเจ็บปวดฉีกกระชากเคี่ยวกรำเส้นประสาทอันเปราะบาง มันทำได้เพียงเร่งโคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด กลุ่มก้อนลมหายใจไหลเวียนในร่างไม่สิ้นสุด ความรู้สึกเย็นซ่านชนิดหนึ่งกระอวลไปทั่ว คลับคล้ายสูดลมหายใจเข้าผ่านรูขุมขนทุกแห่ง แล้วแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย

เปลวไฟกระเพื่อมเป็นระลอกในทะเลแห่งจิตสำนึก ดวงดาวอันสลัวรางในความว่างเปล่าดูราวกับสว่างไสวขึ้นกว่าเดิมมาก ทะเลเพลิงอันน่าลุ่มหลงไม่สามารถบดบังแสงสดใสของมันได้อีก

สลบไสล ตื่นขึ้นอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง สลบไสลไปอีกครา ตื่นขึ้นอย่างเจ็บปวดอีกหน... ...

ช่วงเวลาที่จั่วม่อสามารถซึมซับความเข้าใจในแต่ละรอบนั้นกระชั้นสั้นอย่างยิ่ง ได้แต่กระทำซ้ำไปซ้ำมาหลายร้อยหลายพันครั้ง และยังคงต้องกัดฟันทนต่อไปเรื่อยๆ

“ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่โอชะที่สุดในโลก เจ้าต้องค่อย ๆ ลิ้มรสอย่างละเมียดละไม จงสนุกสนานไปกับมัน รสชาติอันสดใหม่และหวานล้ำยามที่มันเจาะเข้าไปในไขกระดูกของเจ้า  แม้แต่ดวงวิญญาณของเจ้ายังต้องสั่นสะท้านอย่างสุขสม!” ผูเยาแลบลิ้นสีแดงสดเหยียดยาว เลียริมฝีปาก พลางกล่าวสบาย ๆ “ความตายก็เหมือนดอกไม้ไฟ ตระการตาวูบเดียวแล้วดับสูญ แต่เจ้ากลับสามารถสัมผัสกระบวนการเบ่งบานได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดดูว่าช่างโชคดีถึงเพียงไหน!”

เหรินเยาบัดซบ! เจ้าเหรินเยาที่น่าตาย!

จั่วม่อพร่ำด่าทอระงม อย่างไรก็ตาม ด่าทอก็ส่วนด่าทอ แต่ดวงตามันยังเบิกกว้างจนแทบฉีกขาด ถลึงจ้องอย่างแน่วแน่ไปยังเจตจำนงกระบี่หิมะขาวอันรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด!

มันทราบว่าความเจ็บปวดกำลังจะตามติดมา ดังเช่นที่ผูเยากล่าว ดวงวิญญาณของมันสั่นสะท้าน และไม่ว่าจะถูกกระหน่ำฟันไปสักกี่หน แต่เมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้ากับเจตจำนงกระบี่หิมะขาวอีกครา มันก็ยังคงหวาดหวั่นพรั่นพรึงทุกครั้ง หวาดกลัวสุดขั้วหัวใจหาใดเปรียบ พรั่นพรึงจนกระทั่งยามที่มีสติรู้ตัว มันไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้ เนื่องเพราะมันเกรงว่าความทรงจำเหล่านี้ จะทำให้แนวป้องกันทางจิตวิทยาอันเปราะบางของมันพังทลายลงในทันที

เลือดเนื้อกระดูกที่สั่นสะเทือนไปทั้งร่างของมัน คล้ายต้นหญ้ากลางพายุที่พร้อมจะปลิดปลิวเป็นผุยผงได้ทุกเมื่อ อาจบางทีเป็นอึดใจถัดไป มันจะล้มคว่ำลง

แต่ดวงตาของมันยังคงจ้องเขม็งไปเบื้องหน้า!

ทิศทางที่เจตจำนงกระบี่หิมะขาวจะปรากฏขึ้น

ทว่าเจตจำนงกระบี่ของอาจารย์อาซินหยาน เป็นสิ่งที่คนอย่างมันจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือ?

ย่อมไม่!

ความแตกต่างระหว่างพวกมันห่างชั้นราวฟ้ากับดิน อาจารย์อาซินหยานเป็นปรมาจารย์จินตันที่ผ่านศึกเป็นตายมานักต่อนัก กระทั่งเซียนกระบี่เช่นเทียนซงจื่อยังต้องชื่นชม ส่วนจั่วม่อเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกผู้มีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด อาจารย์อาซินหยานใช้เวลาจมอยู่กับกระบี่บินมากกว่าสองร้อยปี และจั่วม่อ กระทั่งเคล็ดวิชากระบี่ขั้นพื้นฐานที่สุดยังไม่เคยฝึกปรือ

มองเผิน ๆ ทุกสิ่งนี้ล้วนไร้ประโยชน์

แต่ไม่ว่าอย่างไร มันยังคงจ้องเป๋งไปด้านหน้า ร่างสั่นเทา ปากก็พร่ำสาปแช่งโดยไม่รู้สึกตัว “เหรินเยาบัดซบ! เจ้าเหรินเยาน่าตาย!”

หิมะขาวสว่างเจิดจ้า ถาโถมลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าราวกับทางช้างเผือกสายหนึ่ง

จั่วม่อพยายามเบิ่งตากว้างสุดชีวิต ชั่วขณะนั้นเอง ร่างกายจู่ๆ ก็หยุดสั่น ถ้อยคำที่พร่ำด่าทอก็หายไปจากปาก โลกทั้งใบเต็มไปด้วยแผ่นผืนหิมะขาวพร่าง มันเพ่งมองเฟ้นหาอย่างขะมักเขม้นในทะเลแห่งหิมะขาว คิดเสาะหาหัวใจหลักของเจตจำนงกระบี่เล่มนี้ให้จงได้

ช่วงเวลาแห่งโอกาสที่มันได้รับกระชั้นสั้นยิ่ง ไม่ถึงแม้แต่ช่วงกระพริบตาครั้งเดียว

จั่วม่อคล้ายผีพนันเสียสติผู้หนึ่ง เดิมพันกับโอกาสที่กระทั่งไม่ถึงหนึ่งในหมื่น

แต่จะอย่างไรมันไม่มีทางเลือก ยิ่งไม่มีหนทางล่าถอย

ลูกนัยน์ตาขยายกว้างในฉับพลัน ไม่มีเวลาจะคืนสภาพ

วู้ซซซซซซซ เจตจำนงกระบี่หิมะขาวผ่าจั่วม่อออกเป็นสองซีก

เนิ่นนานเท่าใดมิทราบ ยังคงเป็นความเจ็บปวดอันบาดลึกที่ปลุกจั่วม่อขึ้นมา พอลืมตา มันอยากหัวร่อให้ดังก้องฟ้า แต่ยามที่เสียงเปล่งออกมา กลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญอย่างหวนโหย

“อ๊า! เจ็บปวดเหลือเกิน! อ้า!”

ตะเกียกตะกายลุกขึ้น อดกลั้นความเจ็บปวดอันรุนแรง มันเริ่มโคจรเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด

กระแสความเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดทุเลาลงทันตา

ครั้นเมื่อมันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด