ตอนที่แล้วบทที่ 25 ซื่อซือกู*
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27 เงยหน้าขึ้นในความมืดมน

บทที่ 26 รูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงไป จิตใจที่ถูกลบล้าง


จั่วม่อเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่อฟัง

สือฟ่งหรงเดินชดช้อยมาอยู่ตรงหน้ามัน เพ่งพิศอย่างระมัดระวังสองสามอึดใจ นางพลันขมวดคิ้ว “เจ้าใช่เด็กที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักนำกลับมาหรือไม่?”

จั่วม่อตีหน้าเหลอหลา ตอบพลางพยักหน้า “ใช่แล้วอาจารย์อา”

“เจ้าจดจำอันใดไม่ได้เลยจริงๆ?”

จั่วม่อจู่ ๆ ก็หัวใจเต้นกระหน่ำ เลือดฉีดย้อนขึ้นศีรษะ มันรู้สึกว่าตัวเองสั่นสะท้าน ทั้งร่างสั่นน้อย ๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ได้ยินเสียงสั่นพร่าของตนเองตอบไปว่า “ใช่แล้วอาจารย์อา”

“โอ้” สือฟ่งหรงพยักหน้า นางไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวมากไปกว่านี้ ดังนั้นหันหลังกลับ ก้าวเดินต่อ

จั่วม่อตะโกนแทบไม่รู้สึกตัว “อาจารย์อาหญิง!”

สือฟ่งหรงชะงัก เหลียวมองจั่วม่อด้วยสีหน้าไม่พอใจ

จั่วม่อไม่ทราบว่าความกล้าของมันมาจากที่ใด มันจ้องสือฟ่งหรงเขม็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความหวัง

“ศิษย์นี้ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือจากความทรงจำก่อนหน้า ศิษย์เคยเรียกว่าอะไร บิดามารดาคือผู้ใด ไม่มีสิ่งใดที่ศิษย์ทราบเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ครุ่นคิดพะวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หัวใจโศกเศร้าแสนสาหัส อาจารย์อาหญิงโปรดชี้แนะศิษย์ด้วย!”

สือฟ่งหรงทอดสายตามองจั่วม่ออยู่นาน ก่อนจะส่ายศีรษะ “สำหรับเจ้า บางทีไม่ทราบคงจะดีกว่า”

“ได้โปรดเถิด อาจารย์อาหญิง กรุณาศิษย์ด้วย!”

จั่วม่อแทบจะใช้เรี่ยวแรงไปหมดทั้งร่าง

สือฟ่งหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างเฉื่อยชา “ในเมื่อเจ้ากระหายใคร่รู้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า ...หากข้ามองไม่ผิด เจ้าอาจตกเป็นเหยื่อของวิธีลับบางประการ ที่ทำให้คุณลักษณะร่างกายของเจ้าเปลี่ยนไป มีใครบางคนเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของเจ้า”

“เปลี่ยนแปลง... ...” จั่วม่อพึมพำกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย

“สำหรับความทรงจำเดิมของเจ้า สมควรถูกใครบางคนนั้นลบล้างจนหมดสิ้น ข้าไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดจึงเกลียดชังเจ้าอย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้” กล่าวถึงตอนนี้ นางมองจั่วม่ออย่างลึกซึ้งแฝงความนัย “แต่ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของเจ้า หรือลบล้างจิตใจเจ้า ล้วนต้องใช้ฝีมือสูงล้ำปานเทพยดา หากจะให้ข้ากล่าว ข้าว่าเจ้าสมควรอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ช่วยข้าดูแลสวนยาอย่างเชื่อฟังเถอะ”

จั่วม่อราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ ยืนร่างแข็งทื่ออยู่กับที่

กว่าหัวใจมันจะสงบลงดังเดิม ฟ้าก็มืดค่ำลง อาจารย์อาหญิงสี่ก็จากไปนานมากแล้ว

จั่วม่อจิตใจยุ่งเหยิงงงงวย ดวงตาแข็งทื่อดุจปลาตาย

เปลี่ยนแปลงรูปโฉม ... ... ลบล้างจิตใจ... ...

ดังนั้นความทรงจำของมันถูกลบล้างโดยใครบางคน ดังนั้นใบหน้ามันถูกเปลี่ยนแปลง... ...

ดังนั้นความฝันนั้น.... ...

ทำไม...

ไฉนจึงเป็นเช่นนี้...

มันก้มศีรษะต่ำ มือค่อย ๆ กำจนแน่น ข้อกระดูกลั่นอย่างดุดัน ปลายนิ้วขาวซีด ร่างผอมดุจลำไผ่ประหนึ่งต้นหญ้าแห้งสั่นไหวในแรงลม ทั้งเล็กจ้อยทั้งอ่อนแอ หุบเขาหมอกเย็นเยือกในยามค่ำคืนอุณหภูมิลดต่ำลงมาก แต่ความชื้นสูงมาก เส้นใยบางเบาของความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของจั่วม่อ ทั้งยังเข้าไปในหัวใจมันด้วย

ปริศนาที่เคยกวนใจมันมาตลอด ในที่สุดก็เปิดเผยออกมา แต่ปริศนามากกว่าเดิม กลับวางรออยู่เบื้องหน้า

ข้าคือใคร?

ผู้ใดกระทำเรื่องเช่นนี้?... ...จิตใจที่ยุ่งเหยิงจู่ๆ ก็สงบระงับลงอย่างฉับพลัน

จั่วม่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำราวกับถูกย้อมด้วยโลหิต มันคิดว่ามันจะขุ่นแค้น จะคำราม จะก่นด่าสาปแช่ง แต่มันไม่ได้ทำ หัวใจมันห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง เยือกเย็นเสมือนเป็นคนนอกผู้หนึ่ง ที่เพียงเฝ้ามองอย่างสุขุมจากด้านข้าง

หัวใจมันคล้ายทะเลสาบน้ำแข็ง ภายใต้ชั้นน้ำแข็งอันหนาหนัก อาจมองเห็นร่องรอยเลือนรางของกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่ม้วนคลั่งอยู่ในส่วนลึก

คำพูดของอาจารย์อาหญิงสี่สะท้อนอยู่ในหู ใครบางคนที่กระทั่งอาจารย์อาหญิงสี่ ยังกล่าวขานว่าฝีมือสูงล้ำปานเทพยดา อย่างน้อยที่สุด เส้นผมหนึ่งเส้นของอีกฝ่าย ก็น่าจะหยาบหนากว่าต้นขาของมันเสียอีก แม้ว่าต้องการสะสางบัญชีอย่างยิ่งยวด มันก็ไม่มีปัญญากระทำ

ทันใดนั้น แสงแดด ข้าวปราณ ชีวิตอันสงบสุข ทุกประการในช่วงสองปีมานี้... ...คลับคล้ายเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง พลันถูกมือมหายักษ์ที่มองไม่เห็น บดขยี้เป็นผุยผงในพริบตา!

ไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้ว

มันคลายกำมือ ก้าวเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกที่เปลวเพลิงกำลังเต้นรำ

เหมือนเช่นทุกครั้ง ผูเยานั่งอยู่บนป้ายหินสุสาน ปกคลุมด้วยควันดำ ทอดสายตามองจั่วม่อ มุมปากขยับยกแย้มยิ้ม

“ฮะฮ่ะฮาฮาฮ่าฮ่าฮาฮาฮ่า!”

เสียงหัวร่ออันคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือน ดังสะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งทะเลแห่งจิตสำนึก

เหวยเสิ้งตามติดด้านหลังเจ้าสำนัก กับอาจารย์อาซินหยานอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่พวกมันเดินไปตามเส้นทางด้านหลังภูเขา

ผู้อาวุโสทั้งสองเคร่งขรึมจนน่ากลัว ขณะที่เดินนำอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างหน้า เหวยเสิ้งยังคงระมัดระวังขณะที่ติดตามไปอย่างใกล้ชิด นี่เป็นพื้นที่ต้องห้ามระดับสูงสุดของสำนัก ตลอดทางตั้งแต่แรกเริ่มมาจนถึงที่นี่ เพื่อเปิดเส้นทาง เจ้าสำนักกับอาจารย์อาซินหยานร่ายเวทวิชาไม่ต่ำกว่ายี่สิบครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่าสถานที่นี้ถูกปกป้องไว้อย่างแน่นหนาถึงเพียงไหน ตัวมันแม้เพิ่งเข้าสู่ด่านจู้จี  แต่จิตตานุภาพของมันทรงพลังกว่าเดิมร่วมสิบเท่า กระนั้นแรงกดดันที่อาคมหวงห้ามแผ่ซ่านออกมา ยังทำให้มันรู้สึกราวกับถูกรัดคอจนแทบหายใจไม่ออก

ในสำนักถึงกับมีสถานที่อันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!

เหวยเสิ้งรู้สึกคล้ายเลือดลมเดือดพล่าน เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อถ้ำกระบี่ ที่ที่พวกมันกำลังจะไปเยือน

หลังจากเสียเวลาเดินทางร่วมสองชั่วยาม คนทั้งสามในที่สุด ก็มาหยุดอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง

เผยเหยียนหรานกับซินหยานล้วนมีสีหน้าตึงเครียด เจ้าสำนักเผยเหยียนหรานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ถ้ำกระบี่แห่งนี้ ท่านปฐมาจารย์ เจ้าสำนักรุ่นแรกเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ใช้สำหรับศิษย์สำนักเพื่อขัดเกลาเจตจำนงกระบี่ของพวกมัน มีเพียงศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าด่านจินตัน จึงจะสามารถเข้าไปได้”

กล่าวถึงตอนนี้ สีหน้ามันพลันปรากฏเค้าความละอายใจบางประการ

“ท่านปฐมาจารย์แข็งแกร่งเทียมฟ้า เพียงเพื่อจะเปิดถ้ำกระบี่ เราต้องใช้ซิวเจ่อด่านจินตันสองคนลงมือพร้อมกัน สำนักเราเสื่อมทรุดลงไม่น้อย ในรุ่นก่อนๆ ล้วนแล้วแต่ปรากฏปรมาจารย์จินตันเพียงรุ่นละหนึ่งคน ดังนั้นถ้ำกระบี่ไม่เคยได้เปิดออกมาก่อน ทั้งข้าและอาจารย์อาของเจ้า ฝึกปรือเจตจำนงกระบี่ได้ด้วยตนเองในช่วงเทศกาลล่าอสูร ครั้นเมื่อเราบรรลุผ่านด่านจินตัน ก็เข้าไปในถ้ำกระบี่ไม่ได้เสียแล้ว ดังนั้นด้านในถ้ำกระบี่มีสิ่งใดอยู่บ้าง พวกเราล้วนไม่ล่วงรู้ เจ้าได้แต่ต้องพึ่งพาตนเองแล้ว”

เหวยเสิ้งฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าสงบราบเรียบ

เผยเหยียนหรานทอดตามองศิษย์เอก ดวงตาทอแววห่วงกังวล

“ทุก ๆ สิบวัน เราจะจัดส่งเสบียงอาหารที่เพียงพอให้เจ้า ยิ่งตอนนี้อาจารย์อาหญิงสี่ของเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องสมุนไพรปราณหรือเม็ดยา แต่ภายในถ้ำกระบี่เปี่ยมล้นภยันตรายรอบด้าน เจ้าต้องจดจำให้มั่น สิ่งสำคัญคือความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง เจ้าเพียงเพิ่งเข้าสู่ด่านจู้จี พลังฝึกตนยังต่ำเกินไป อันที่จริงเจ้ายังไม่สมควรเข้าไปในถ้ำกระบี่ แต่พรสวรรค์ในกระบี่ของเจ้าสูงล้ำเทียมฟ้า ชนิดที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพื่อไม่ให้กีดขวางความก้าวหน้าของเจ้า เราตัดสินใจให้เป็นข้อยกเว้น ยินยอมส่งเจ้าเข้าไปในถ้ำกระบี่ ดังนั้นหากเจ้าเผชิญอันตรายที่เกินกว่าจะรับมือได้ ให้รีบออกจากถ้ำกระบี่ทันที!”

เผยเหยียนหรานอดสำทับเสียงดังเป็นหนสุดท้ายไม่ได้ มองดูศิษย์เอกผู้สัตย์ซื่อจริงใจเบื้องหน้าพรสวรรค์ของมันทั้งน่าทึ่ง ทั้งยังเกินความคาดหวังทั้งหมดของพวกมัน มันประหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นเซียนกระบี่ นอกเหนือจากพลังฝึกตนที่จำเป็นต้องฝึกปรือ ยกระดับอย่างต่อเนื่องแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่อันใด หากผ่านเข้าสู่มือมัน ล้วนกลายเป็นราบรื่นช่ำชองอย่างรวดเร็ว

กระทั่งผู้ที่เข้มแข็งที่สุดอย่างซินหยาน ยังตื่นตะลึงกับระดับความรุดหน้าของเหวยเสิ้ง นอกเหนือจากความปิติยินดี พวกมันยังลอบวิตกกังวลอย่างช่วยไม่ได้ ชิ้นหยกงามเช่นนี้ หากพวกมันไม่สามารถฝึกอบรมอย่างเหมาะสม จะไม่ผิดต่อเหล่าบรรพบุรุษหรือไร?

พวกมันไตร่ตรองอยู่เป็นนาน และในที่สุดตัดสินใจเปิดถ้ำกระบี่

นอกเหนือจากเชื่อมั่นในตำนานของถ้ำกระบี่แล้ว พวกมันยังหวังว่าเหวยเสิ้งจะสามารถเสาะหา และฝึกปรือเคล็ดกระบี่สุญตาฉบับสมบูรณ์ได้สำเร็จ เคล็ดกระบี่สุญตาคือเคล็ดวิชากระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดของสำนัก ทั้งยังเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของท่านปฐมาจารย์บรรพบุรุษรุ่นแรก อู๋คงเจินเหริน

แต่เมื่อล่วงมาถึงรุ่นของพวกมัน ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกเคล็ดกระบี่สุญตาสำเร็จ ส่วนเคล็ดวิชาอื่น เช่นเคล็ดกระบี่มังกรน้ำแข็งของซินหยาน มันถูกสร้างขึ้นโดยหนึ่งในปรมาจารย์บรรพบุรุษ แต่ย่อมไม่ใช่เคล็ดวิชากระบี่ที่เข้มแข็งที่สุดของสำนัก

ก่อนหน้านี้พวกมันตั้งความคาดหวังอย่างสูงที่หลัวหลี ผู้สำเร็จเคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง ผู้ใดจะคาดคิดว่าเหวยเสิ้ง ผู้ที่เป็นเพียงข้ารับใช้กระบี่ของหลัวหลี จะมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าหลัวหลี?

ยิ่งไปกว่านั้น แม้หลัวหลีจะเปี่ยมพรสวรรค์อันโดดเด่น แต่นิสัยใจคอเย่อหยิ่งจองหอง หากเทียบกับความสัตย์ซื่ออ่อนน้อมของเหวยเสิ้งแล้ว มิทราบว่าด้อยกว่าถึงเพียงไหน

ในหัวใจพวกมัน เวลานี้เหวยเสิ้งย่อมเป็นศิษย์เอกลำดับที่หนึ่งอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“ศิษย์เข้าใจ!” เหวยเสิ้งรับคำ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

เผยเหยียนหรานกับซินหยานสบตากันวูบหนึ่ง พยักหน้าพร้อมกัน แล้วพลันโคจรพลังปราณ ร่ายเวทวิชาออกมา

สองปรมาจารย์จินตันลงมือพร้อมเพรียงกัน ก่อเกิดพลังสภาวะน่าพรั่นพรึงยิ่ง!

เหนือศีรษะของพวกมัน ทะเลเมฆรวมตัวกันจากทุกทิศทาง  ภายในชั่วกระพริบตาเดียว หุบเขาน้อยพลันถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆดำที่ม้วนคลั่ง มืดทะมึนดุจยามวิกาล

เห็นบนกำแพงด้านนอกของถ้ำภูเขา อักขระยันต์นับไม่ถ้วนเริ่มเปล่งแสงเรืองรอง กระพริบประกายวูบวาบ อาคมหวงห้ามรอบด้านก็สว่างไสวขึ้นพร้อมกัน อักขระยันต์เหลือคนานับลอยคว้างขึ้นกลางเวหา ราวกับว่าพวกมันกำลังเชื่อมโยงกับอักขระยันต์ที่แกะสลักบนกำแพงภูเขา

รู้สึกถึงความตื่นตะลึงและการสั่นสะเทือนจากส่วนลึกของกระดูก ดวงตาอันสงบราบเรียบของเหวยเสิ้งดูราวกับมีเปลวเพลิงลุกไหม้ มันก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นและปรารถนา

เผยเหยียนหรานกับซินหยานสีหน้ามืดทะมึน พวกมันตวาดพร้อมกัน “จงเปิด!”

อักขระยันต์พลิกตลบ ค่ายกลเวทสลับเปลี่ยน

ถ้ำภูเขาจู่ ๆ ก็กลายเป็นมืดทึบ ยาวไกล และลึกล้ำ ราวกับว่ากลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าชนิดหนึ่ง เหวยเสิ้งผู้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ไม่มัวลังเลใจ รีบพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว!

ถึงยามนี้ เผยเหยียนหรานกับซินหยานค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งคู่รั้งสองหัตถ์กลับเข้าหาตัว ผ่อนเวทวิชาลง กระจายพลังปราณบนฝ่ามือ อักขระยันต์บนผนังภูเขา กับอักขระยันต์จากอาคมหวงห้ามค่อยๆ จางหายไป  กลุ่มเมฆหนาบนศีรษะก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว แสงแดดสาดส่องลงมาในหุบเขาอีกครา

“กลับกันเถิด มันจำเป็นต้องสร้างวิถีทางของมันเอง” เผยเหยียนหรานกล่าวพลางทอดถอน

“แน่นอน” ซินหยานประหยัดถ้อยคำ ราวกับวาจาของมันมีค่าดุจทองคำ

ภายในทะลเพลิง จั่วม่อนั่งไม่ห่างจากผูเยา รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“อันใดเรียกว่าอสูรปิศาจ? ย่อมมีหลายวิธีในการแยกแยะ แต่ที่สำคัญที่สุดคือแยกแยะจากวิธีฝึกตน ซิวเจ่อหรือผู้ฝึกตน ดูดซับพลังปราณธรรมชาติของโลก และใช้งานเพื่อตัวเอง สิ่งที่พวกมันฝึกฝนคือพลังปราณ

สำหรับอสูร สิ่งที่พวกมันสนใจ คือพลังงานจิตวิญญาณที่สามารถเขย่าสวรรค์สั่นพิภพ การฝึกฝนหลักย่อมเป็นฝึกปรือจิตสำนึก แล้วปิศาจเล่า? พวกมันส่วนใหญ่ล้วนโง่งมจนถึงจุดที่ไม่อาจเยียวยา ดังนั้นเพียงสามารถฝึกฝนกายาของพวกมัน ใช้ร่างกายดุจดั่งยุทธภัณฑ์เวท”

จั่วม่อพยักหน้า คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ

“โอ้ แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่ล้วนไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เรามากล่าวถึงการปฏิบัติจริงกันดีกว่า วิถีทางของเจ้ามิได้ผิด ที่อาศัยเพลงกระบี่บังคับใช้ปราณทองคำคร่ำคร่า เพียงแต่น่าเสียดาย เจ้ามิใช่ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นั้น ดูจากความสามารถของเจ้า ข้าคาดว่าสมควรใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองปีสามปี กว่าจะพอใช้การได้” ผูเยาแย้มยิ้มพิกล เผยให้เห็นลิ้นสีแดงเข้มครึ่งหนึ่ง “แต่ข้าย่อมมีวิธีการที่รวดเร็วทันใจ ต้องการทดลองดูหรือไม่?”

“วิธีการที่รวดเร็ว?” จั่วม่อดวงตาเป็นประกาย โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

ผูเยาดวงตาหยีแคบลงไปอีก น้ำเสียงมันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดใจ “แน่นอน รวดเร็วทันใจยิ่ง! ภายในหนึ่งเดือน เจ้าจะสามารถทะลวงเคล็ดทองคำคร่ำคร่าขั้นที่สามได้อย่างแน่นอน”

“จริงหรือ?” จั่วม่อยังกังขา ท่าทีของผูเยาทำให้มันบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี

“เจ้าจะไม่ทราบจนกว่าจะทดลองดู” ผูเยายักไหล่ “โลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่สามารถรับประทานเปล่า เจ้าต้องการพลัง แต่ไม่คิดจ่ายค่าตอบแทนหรือไร?”

จั่วม่อเงียบกริบ

เมื่อต้องการทราบคำตอบ ทั้งปรารถนาจะเสาะหาตัวบุคคลที่เปลี่ยนแปลงรูปโฉมมัน มันย่อมต้องการพลัง ต้องการพลังอย่างเร่งด่วน ต้องการอย่างยิ่งยวด! ผูเยากล่าวไม่ผิด เพื่อไขว่คว้าพลัง ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง มันเป็นเพียงซิวเจ่อตัวเล็ก ๆ ที่กระทั่งยังไม่ได้เข้าสู่ด่านจู้จี แล้วมันสามารถพึ่งพาอันใดไปเสาะหาคำตอบ?

ผู้เดียวที่มันสามารถปรึกษาได้คือผูเยา มันยังคงมิทราบว่าที่แท้ผูเยาต้องการสิ่งใด แต่มันมีทางเลือกอื่นหรือไร?

มีเพียงผู้แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้น ที่มีปัญญาเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องทางเลือก ไม่ใช่สำหรับมดปลวกเยี่ยงมัน

สิ่งที่มันพึงพอใจคือผูเยาเต็มใจช่วยเหลือมัน หากไม่คำนึงมากความถึงเหตุผลของผูเยาที่กระทำเช่นนั้น มันย่อมยินดียอมรับความช่วยเหลือ

“ข้าตกลง” จั่วม่อตอบพลางลุกขึ้นยืน

ริมฝีปากบางเฉียบดุจคมมีดของผูเยาฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีก มันหัวร่อเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ฮ่า ยังจะมีสิ่งใดง่ายดายไปกว่าเพลงกระบี่? ... ลองถูกสับสักหลายพันครั้ง เจ้าจะไม่เรียนรู้มัน ก็คงไม่ได้แล้ว!”

วาจายังไม่ทันจะกล่าวจบ เจตจำนงกระบี่หิมะขาวอันสุดไพศาลเล่มหนึ่ง จู่ ๆ ก็ฟาดฟันลงจากสวรรค์ชั้นฟ้า ผ่าครึ่งจิตสำนึกของจั่วม่อในชั่วกระพริบตา ประดุจสับใส่ก้อนเต้าหู้

ความเจ็บปวดกระชากหัวใจพลุ่งขึ้นอย่างรุนแรง จั่วม่อรู้สึกราวร่างกายฉีกขาดเป็นสองท่อน

ความเจ็บปวดระเบิดพล่าน ตลบกลับไปกลับมา สติของมันดับวูบไป!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด