ตอนที่แล้วบทที่ 24 แสวงหาหนทางอื่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26 รูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงไป จิตใจที่ถูกลบล้าง

บทที่ 25 ซื่อซือกู*


*(อาจารย์อาที่สี่ ที่เป็นหญิง)

แท่นบูชาแจ้งเตือนตั้งอยู่ฝั่งใต้ของตงฝู ทั้งยังเป็นย่านที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและคึกคักที่สุดของตงฝู

เป็นเพราะจั่วม่อเข้าร่วมสำนักแล้ว อีกทั้งเวลาแทบทั้งหมดของมัน ยังเอาแต่ดูแลเพาะปลูกข้าวปราณ ทั้งยังพากเพียรฝึกตนอย่างคร่ำเคร่ง ดังนั้นมันไม่เคยไปยังแท่นบูชาแจ้งเตือนมาก่อน และนี่คือเหตุผลว่าไฉนมันนึกไม่ออกตั้งแต่ทีแรก

ครั้นหยุดลงหน้าแท่นบูชาแจ้งเตือน มันต้องสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ

มองออกไกลไป ป้ายประกาศที่ทำจากธงผ้านับไม่ถ้วน พากันชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับป่าแห่งหนึ่ง แพร่กระจายไปถึงขอบฟ้า คล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้ธงประกาศแต่ละป้าย เห็นศีรษะผู้คนสลอนละลานตา กระแสผู้คนแออัดหลั่งไหลไปอย่างเชื่องช้า จั่วม่อทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัว

จั่วม่อไหลไปตามกระแสผู้คนอย่างมึนงง เข้าสู่เขตแท่นบูชาแจ้งเตือน

“สำนักข้ามีลูกสัตว์ร้ายเนตรเพลิงทองอยู่คู่หนึ่ง ต้องการผู้ดูแลสัตว์หนึ่งคน พลังฝึกตนต้องไม่ต่ำกว่าด่านจู้จีขั้นกลาง ประสบการณ์ในดูแลสัตว์อย่างน้อยห้าปี ให้ค่าตอบแทนสูง”

“สำนักข้ากำลังบุกเบิกพื้นที่ทุ่งปราณ ต้องการซิวเจ่อที่ฝึกฝนกายาจำนวนมาก รับด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้าขึ้นไป มีที่พักกับอาหารให้ ค่าจ้างสิบชิ้นจิงสือระดับที่หนึ่งต่อวัน”

……

จั่วม่อมองไปมองมา มองจนรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้เอง คนผู้หนึ่งก้าวเข้าหามัน “พี่น้องท่านนี้ เป็นไร ใช่เสาะหาอย่างยากลำบากหรือไม่ ข้ามีตารางสรุปเนื้อหาประกาศที่สมบูรณ์ ของแท่นบูชาแจ้งเตือนทั้งหมด ทั้งละเอียด ทั้งถูกต้องแม่นยำ ทั้งปรับปรุงข้อมูลให้ใหม่อยู่เสมอ ว่าอย่างไร ต้องการสักชุดหรือไม่?”

“ราคาเท่าใด?” จั่วม่อถามอย่างระมัดระวัง

“ย่อมไม่แพง ยี่สิบชิ้น จิงสือระดับที่หนึ่ง” คนผู้นั้นกล่าว “พี่น้อง ตั้งแต่มองแวบแรกข้าก็ทราบว่าท่านเป็นคนคิดสร้างกิจการใหญ่ผู้หนึ่ง เวลาเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง ควรหรือที่จะปล่อยให้มันเสียเปล่าไปเยี่ยงนี้ เพียงยี่สิบชิ้นจิงสือระดับที่หนึ่งเท่านั้น จะมีสิ่งใดคุ้มค่าไปกว่านี้อีก!”

“แปดชิ้น!”

“โธ่ พี่น้อง ลองดูประกาศเหล่านี้สิ เพียงลำพังข้าคนเดียว ไหนเลยจะรวบรวมได้ครบถ้วนสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ ข้าต้องเลี้ยงดูผู้คนไว้มากมาย... ...”

“เพิ่มให้อีกสองชิ้น ข้าจริงใจมากพอแล้ว”

“พี่น้อง ไฉนเราไม่ทำให้มันง่ายกว่านี้... ....”

จั่วม่อหันขวับ เดินจากไปทันที คนผู้นั้นรีบคว้าชายเสื้อมันไว้แทบไม่ทัน “ได้ ได้ ได้ ข้าจะยอมขาดทุนสักครา!”

มองม้วนหยกรายการประกาศที่ซื้อมาด้วยราคาสิบชิ้นจิงสือระดับที่หนึ่ง จั่วม่อหลบออกจากเขตแท่นบูชาแจ้งเตือนด้วยท่าทางเศร้าโศก มันเสาะพบสถานที่ที่ไม่ค่อยวุ่นวายในบริเวณข้างเคียง ทรุดตัวนั่งลง

ช่างเป็นสถานที่อันน่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง! มันมองแท่นบูชาแจ้งเตือนอันพลุกพล่านอย่างหวาดผวา

ประจุพลังปราณลงไปในม้วนหยก เห็นประกาศมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยหัวข้ออยู่ในรายการ กว้างขวางหลากหลาย มากมายจริง ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่นี่ หลังจากใช้เวลาไปยาวนาน จั่วม่อในที่สุดก็ค้นพบเบาะแส และเจาะลึกลงไปในข้อมูลที่ต้องการ

หนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ มันค่อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างสุดแสน

มิใช่ว่าไม่มีประกาศที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเวทวิชา แต่ไม่มีประกาศใดที่ช่วยให้มันสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ หวนคิดดูอีกที ฟู่จินกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าเวทวิชาใด หากเข้าถึงขั้นที่สาม มูลค่าราคาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล

จั่วม่อขี่กระเรียนกลับสำนักอย่างไม่พึงใจ สีหน้าว่างเปล่าเลื่อนลอย

———

ครั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ก็พบเห็นศิษย์พี่เหวยเสิ้งยืนอยู่ข้างประตูบ้านมัน จั่วม่ออดตีหน้าเหลอหลาไม่ได้

ศิษย์พี่เหวยเสิ้งดูคล้ายไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก ยังคงสวมอาภรณ์เนื้อหยาบดังเดิม และถึงแม้ว่ามันจะยังคงให้ความรู้สึกคมกล้าดุจกระบี่เล่มหนึ่ง แต่กลับจดจ่อรวมรั้งยิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าพลังฝึกตนของศิษย์พี่เหวยเสิ้งยิ่งลึกล้ำมากขึ้น กระทั่งว่าเมื่อจั่วม่อยังอยู่ในระยะห่างไกล มันก็ค้นพบแล้ว

“ศิษย์น้องปล่อยให้ข้ารอเสียนาน” เหวยเสิ้งทักทายอย่างยิ้มแย้ม

ศิษย์พี่เหวยเสิ้งยังคงอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนเดิม ทำเอาจั่วม่อประหลาดใจไม่น้อย ทั้งหวั่นไหวไปวูบหนึ่ง ปกติทัศนคติที่ศิษย์ฝ่ายในมีต่อศิษย์ฝ่ายนอกไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่เดิมทีมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ประสบความสำเร็จด้วยพลังฝีมือสูงส่ง รูปลักษณ์อันเย่อหยิ่งจองหอง คล้ายจะกลายเป็นปกติธรรมชาติของพวกมันไป

“หากศิษย์พี่มีเรื่องราวอันใด เพียงส่งข้อความมาก็พอ ไฉนต้องมารอหน้าประตูอยู่เป็นนาน?” จั่วม่อกล่าวอย่างจริงจัง

เหวยเสิ้งล้วงกล่องใบเล็ก ๆ จากอกเสื้อ ยื่นส่งให้จั่วม่อ “เมล็ดพันธุ์หญ้ามังกรเพลิงนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้า แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสมุนไพรปราณระดับที่สาม คงน่าเสียดายไม่น้อยหากโยนทิ้งไปเฉยๆ ศิษย์น้องเจ้าในเมื่อสามารถเลี้ยงดูมัน ดังนั้นมอบให้เจ้า”

จั่วม่อมักละโมบโลภมากอยู่เสมอ แต่ต่อหน้ากล่องใบเล็ก ๆ ใบนี้ มันไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ กล่าวถึงเมล็ดพันธุ์หญ้ามังกรเพลิงระดับที่สาม ต่อให้เรียกราคาหลายสิบชิ้นจิงสือระดับสอง ก็สมควรขายออกไปได้อย่างไม่มีปัญหา

“ศิษย์พี่ท่านสำเร็จด่านจู้จีแล้ว ต่อไปจะยิ่งมีความต้องการใช้จิงสืออีกมาก... ...”

เหวยเสิ้งตัดบทวาจามัน ยัดกล่องไม้ใส่อกเสื้อของจั่วม่อ “อย่าได้กล่าวมากความ ข้าบอกให้เจ้ารับมัน เจ้าก็รับมัน หัวใจข้าคือกระบี่ ไม่ชมชอบสิ่งอื่น”

กุมกล่องไม้ใบเล็กไว้ จั่วม่ออึกอัก แต่มิทราบจะกล่าวว่ากระไรดี

“ศิษย์น้องพรสวรรค์สูงส่ง สมควรพากเพียรให้มากไว้ จะได้ไม่ผิดต่อสิ่งดี ๆ ที่สวรรค์ประทานให้เจ้า” เหวยเสิ้งกระตุ้นเตือน “ในไม่ช้านี้ข้าจะเข้าไปฝึกฝนในถ้ำกระบี่ รอจนข้ากลับมา ศิษย์น้องเจ้าสมควรเข้าถึงด่านจู้จีแล้ว”

ด้วยเหตุผลบางประการ จั่วม่อหัวใจร้อนวูบ รับคำอย่างพลุ่งพล่าน “ข้าจะต้องประสบความสำเร็จในด่านจู้จีอย่างแน่นอน!”

“เช่นนั้นข้าก็โล่งใจ แต่โชคไม่ดีที่ศิษย์น้องไม่สนใจกระบี่” สีหน้าของศิษย์พี่เหวยเสิ้งทอแววเศร้าเสียดายอยู่บ้าง

จั่วม่อแย้มยิ้ม “เป็นชาวนาปราณไม่ได้มีอันใดไม่ดี จิงสือเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมาก”

“ฮ่า-ฮ่า!” เหวยเสิ้งหัวร่อดังกระหึ่ม “จริงที่สุด ถูกของเจ้าแล้ว ประเสริฐ เช่นนั้นข้าจะไม่กล่าวอำลา ไว้รอข้ากลับมาแล้ว เราพี่น้องจะร่ำดื่มให้สมใจ!”

กล่าวจบมันก็จากไป

จนกระทั่งศิษย์พี่เหวยเสิ้งเดินห่างไปไกลมากแล้ว จั่วม่อในใจยังคงตื้นตันไม่คลาย

ไม่ว่าศิษย์พี่เหวยเสิ้งจะตั้งใจหรือไม่ แต่การดูแลห่วงกังวลนี้ มันจะจดจำไว้ในใจ

ตั้งแต่มันฟื้นคืนสติกลับมา ต้องเผชิญกับโลกที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงอย่างเดียวดาย เจ้าสำนักผู้เก็บมันกลับมา ก็เพียงถามไถ่ไม่กี่คำ จากนั้นมันไม่เคยได้พบหน้าท่านอีก ตัวมันไม่ผิดอันใดกับทารกแรกเกิด ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างอย่างงุ่มง่าม ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยใบหน้าผีดิบอันแปลกพิกลของมัน ทั้งความไม่ล่วงรู้เรื่องราวทางโลก เป็นเหตุให้มันต้องทนทุกข์ทรมาน ประสบคำเยาะเย้ยถากถาง และการล้อเลียนนับไม่ถ้วน

สิ่งเดียวที่พอเรียกได้ว่ายังโชคดี คือสวรรค์ไม่ได้ไร้ปราณีจนเกินไปนัก ยังคงทิ้งสินทรัพย์บางอย่างไว้ให้มันบ้าง –พลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้า**

ความผิดหวังล้มเหลวที่มันต้องทนอดกลั้นตลอดเวลา ไม่ได้ทำให้จั่วม่อจ่อมจมลง แต่กลับกระตุ้นความดื้อรั้นในกระดูกของมันขึ้นมา มันพากเพียรฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน ใช้เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเติมเต็มสระน้ำอันแห้งเหือด ทีละหยด ทีละหยาด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปฏิบัติตนที่ผู้อื่นมีต่อมันก็เปลี่ยนแปลงไป ค่อย ๆ ซ้อนทับลงบนความไม่จริงใจกับความกร้านโลก ดังนั้นมันจงใจทำตัวใกล้ชิดศิษย์อื่นในสำนัก และได้รับชื่อเสียงอันดีงาม

แต่ความแปลกแยกในใจมัน กลับค่อยๆ ลึกล้ำและถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา

ศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ผู้ที่ก่อนหน้านี้มันเพียงเคยพบหน้าแค่สองหน นี่เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกถึงความห่วงกังวลอย่างจริงใจจากผู้คน

ก่อนหน้านี้จั่วม่อไม่ค่อยกระตือรือร้นสนใจในด่านจู้จีนัก เจตจำนงกระบี่อันน่าพรั่นพรึงในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน อาจกระตุ้นความสนใจในพลังอำนาจบางส่วนขึ้นมาบ้าง แต่ในไม่ช้า เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดก็ได้ทำให้มันสูญเสียความสนใจนั้นไปจนหมดสิ้น สำหรับกับมัน สิ่งที่เรียกว่าพลังอำนาจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ห่างไกลจากมันสุดกู่

แต่คำชี้นำของศิษย์พี่เหวยเสิ้งในวันนี้ ทำให้มันจู่ ๆ ก็บังเกิดความปรารถนาในด่านจู้จี ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก ตั้งแต่คำพูดกล่าวออกจากปาก มันก็รู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไร มันต้องเข้าสู่ด่านจู้จีให้จงได้!

ด่านจู้จี!

ด่านจู้จี เป็นอุปสรรคด่านแรกในวิถีทางอันยาวนานแห่งการฝึกตน สำหรับศิษย์สำนักใหญ่ ด่านจู้จีเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย ไม่ต่างอันใดกับการก้าวเดินขึ้นบันไดหน้าประตู แต่สำหรับผู้ฝึกตนสามัญ นี่กลับเป็นสิ่งที่สามารถกำหนดสถานะของพวกมัน

ผู้ที่เข้าสู่ด่านจู้จี ปกติแล้วสามารถหลุดพ้นจากหน้าที่การงานระดับล่าง รายได้ประจำของพวกมันยังมากพอ ที่จะทำให้คนโลภมากอย่างจั่วม่อต้องอิจฉาตาร้อน แต่แน่นอนว่าระดับความยากในการเข้าสู่จู้จีย่อมสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนเช่นจั่วม่อ ผู้มีวิถีทางสายหลักเป็นเพียงเคล็ดวิชาขยะ เช่น[คัมภีร์กฏสิบประการ]เท่านั้น

คิดบรรลุด่านจู้จี นอกจากต้องพึ่งพาโชควาสนา และความมานะบากบั่นส่วนบุคคลแล้ว สามารถเข้าสู่ด่านจู้จีหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับว่าถุงเงินโป่งพองมากพอหรือไม่

สำหรับเม็ดยาปราณกับสมุนไพรปราณที่จำเป็นสำหรับทะลวงด่านจู้จี ไม่มีแม้แต่ชนิดเดียวที่ราคาย่อมเยา ทั้งพวกมันยังมีผลกระทบแตกต่างกันมาก

เม็ดยาจู้จีระดับสามัญ ราคาทั่วไปเท่ากับหนึ่งร้อยชิ้นจิงสือระดับที่สอง แต่เม็ดยาจู้จีชนิดนี้กล่าวได้ว่าแทบไม่มีประโยชน์อันใด

และหากผู้ใดสมัครใจ ยินยอมควักเลือดเนื้อออกมาจ่าย ด้วยราคาสองชิ้นจิงสือระดับที่สาม ยังสามารถซื้อหาเม็ดยาจู้จีระดับสูงที่สุดได้ อัตราความสำเร็จจะทวีคูณขึ้นอย่างมาก  และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้บรรดาศิษย์สำนักใหญ่ ไม่ค่อยใส่ใจในการบรรลุด่านจู้จีนัก สำหรับพวกมันแล้ว สองชิ้นจิงสือระดับที่สามเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่สำหรับจั่วม่อ หนึ่งร้อยชิ้นจิงสือระดับที่สองแทบจะเป็นสมบัติทั้งหมดที่มันมี และนี่ยังเป็นเพียงเพราะโชคลาภจากรายได้ที่สูงขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หากเป็นก่อนหน้านี้สักเล็กน้อย มันจะกล้าคิดถึงเรื่องราวพรรค์นี้หรือ?

และนี่เป็นเหตุผล ที่ทำให้จั่วม่อทุ่มเทความพยายามเพื่อเป็นเกษตรกรปราณ

อันที่จริง ความยากลำบากในการสำเร็จเป็นเกษตรกรปราณ ยังยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่าการบรรลุด่านจู้จีเสียอีก เรื่องนี้สามารถเห็นได้ จากการที่ค่าตอบแทนรายเดือนของเกษตรกรปราณ เหนือกว่าผู้ฝึกตนด่านจู้จี แต่ยิ่งยากที่จะสำเร็จ ยิ่งสะท้อนให้เห็นซึ่งพรสวรรค์ อีกทั้งเส้นทางของเกษตรกรปราณ ยังไม่ต้องลงทุนจิงสือมากมายนัก จะมีสิ่งใดเหมาะเจาะ สำหรับผู้คลั่งไคล้เงินตราจั่วม่อไปมากกว่านี้อีกเล่า?

แต่บัดนี้มันปรารถนาทะลวงด่านจู้จี!

ในหัวมันยังวนเวียนด้วยความคิดนี้ ขณะที่เดินอย่างเหม่อลอยเข้าไปในหุบเขาหมอกเย็นเยือก

“เจ้าเป็นใคร ไฉนกล้าล่วงล้ำเขตหวงห้ามของสำนัก!” จู่ ๆ เสียงตวาดเย็นเยียบ ก็ทำลายห้วงความคิดฝันของจั่วม่อ

สตรีวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่กลางสวนยา จ้องมองจั่วม่ออย่างเย็นชา

จั่วม่อเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อมันพบสายตาของฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ดวงตาคู่นั้นแหลมคมไม่ผิดอันใดกับกระบี่เล่มหนึ่ง คล้ายทิ่มแทงลึกเข้าไปในหัวใจมัน

จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง ประหนึ่งตื่นขึ้นจากฝัน  ความคิดในใจหมุนเร็วจี๋ มันรีบค้อมคำนับเต็มพิธีการ “ศิษย์จั่วม่อ รับคำสั่งศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น เพื่อดูแลสวนยาในที่นี้เป็นการชั่วคราว”

“เด็กหญิงนั้นกล้า! ถึงกับกล้าเกียจคร้าน!” สตรีกลางคนใบหน้าเขียวคล้ำเย็นเยียบ มีร่องรอยโทสะ

จั่วม่อลอบแสยะปากเงียบ ๆ ยามนี้มันคาดเดาได้แล้วว่าผู้อาวุโสเบื้องหน้ามันคือผู้ใด สำนักกระบี่สุญตาไม่ได้ใหญ่โตนัก คนผู้เดียวที่สอดคล้องกับสตรีกลางคนผู้นี้ ย่อมเป็นซื่อซือกู อาจารย์อาหญิงสี่ สือฟ่งหรง!

สือฟ่งหรงมักใช้เวลายาวนาน เดินทางท่องไปด้านนอก เพียงกลับมาเป็นครั้งคราว จั่วม่อย่อมไม่เคยมีโอกาสได้พบนางมาก่อน แต่เล่าลือกันว่าอาจารย์อาหญิงผู้นี้ไม่ใช่คนอารมณ์ดีนัก ทั้งยากที่จะใกล้ชิดด้วย  มองจากตอนนี้ นี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง

ยามนี้มันได้แต่หวังว่าอาจารย์อาหญิงสี่จะไม่ตำหนิมัน

ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นเป็นศิษย์ฝ่ายใน แม้ว่านางอาจถูกลงโทษบ้าง ก็คงไม่หนักหนาสาหัสนัก แต่ตัวมันสถานะต่ำต้อย หากต้องถูกตำหนิ เกรงว่าคงไม่มีจุดจบที่ดีแล้ว

สือฟ่งหรงกวาดตามองรอบ ๆ สวนยา เห็นสมุนไพรปราณล้วนมีสภาพดี ความเย็นเยียบบนใบหน้านางค่อยคลายลงบ้าง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าเรียกว่าอะไร?”

“ศิษย์จั่วม่อ คารวะอาจารย์อาหญิงสี่” จั่วม่อตอบอย่างสุภาพ

“ผลงานเจ้าไม่เลว” เหลือบมองจั่วม่อ ดวงตานางมีแววชื่นชม “พลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด อืม นับว่ามีความทะเยอทะยาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หุบเขาหมอกเย็นเยือกยกให้เจ้าดูแล ฮึ่ม เมื่อห่าวหมิ่นกลับมา ข้าจะจัดการกับนางเอง!”

คนงานชั่วคราวต้องกลับกลายเป็นคนงานอย่างเป็นทางการ จั่วม่อในใจไม่ยินยอมหนึ่งร้อยหน แต่พอเผชิญสายตาของอาจารย์หญิงสี่ที่สามารถฟาดฟันมัน มันได้แต่กลืนคำพูดกลับลงท้องไปอย่างรู้ความ ในใจลอบคร่ำครวญอย่างหวนโหย อาจารย์อาหญิงสี่ผู้นี้ไม่ผิดอันใดกับอาจารย์อารองซินหยาน พวกมันมองดูผู้คน ราวกับทุกผู้คนล้วนติดค้างมัน

“เม็ดยาจู้จีเม็ดนี้ เป็นรางวัลสำหรับเจ้า”

        จั่วม่อเหม่อมองเม็ดยาจู้จีในมือมันด้วยดวงตาเป็นประกาย ความคิดหนึ่งร้อยไม่ยินยอม กลับกลายเป็นหนึ่งร้อยยินดีในฉับพลัน

อย่างที่คาดไว้ อาจารย์อาหญิงสี่ช่างมีเมตตาจริง ๆ ถ้อยคำสรรเสริญอาจารย์หญิงสี่พรั่งพรูอยู่ในใจ ควรทราบว่าเม็ดยาจู้จีระดับพื้นฐานที่สุด ยังมีราคาถึงหนึ่งร้อยชิ้นจิงสือระดับที่สอง มันเคยได้ยินมาว่าอาจารย์อาหญิงเชี่ยวชาญการปรุงยา แต่มันมิทราบว่าระดับของเม็ดยาจู้จีเม็ดนี้เป็นระดับใด

“จงเร่งฝึกฝน และเข้าสู่ด่านจู้จี ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในยามนี้ การดูแลหุบเขาหมอกเย็นเยือก ยังคงขาดพร่องไปบ้าง” สุ้มเสียงเย็นชาของอาจารย์อาหญิงสี่ดังก้องในหูมัน

จั่วม่อผู้กำลังจมอยู่ในความยินดี รีบรับคำอย่างแข็งขัน

สือฟ่งหรงกำลังจะจากไป บังเอิญเหลียวมองใบหน้าของจั่วม่อ ฝีเท้าจู่ ๆ ชะงักกึก ใบหน้าอันเย็นชาของนางตกตะลึงพรึงเพริด

“เงยหน้าขึ้น!”

---------------------------------------------------------

เทพมารฯ รำพึง

** ในตอนที่ 6 บอกไว้ว่าจั่วม่อฝึกฝนจากด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่สาม ไปเป็นขั้นที่แปด ภายในเวลาสองปี แต่ในตอนที่ 25 นี้ กลับบอกว่า ตอนที่มันฟื้นขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน มันก็อยู่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้าแล้ว

ในต้นฉบับทั้งสองตอนก็เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ ไม่ได้แปลผิดนะครับ

พอตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกไป สิ่งที่เหลือแม้จะไม่น่าเชื่อเพียงใด มันก็คือความจริง แกนั่นแหละฆาตรกร! เอ้ย ไม่ใช่ๆ สรุปว่าแรกๆ ลุงฟางเซี่ยงแก เขียนๆไป ก็น่าจะจำผิดแหละ 55555+ หลังๆ แกย้อนมาแก้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้นะ เพราะมันก็ไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องเท่าไร

แต่ถ้าจะให้ผมเดา เริ่มต้นที่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้า ดูจะถูกต้องเหมาะสมมากกว่า เลื่อนขึ้นสามขั้นในสองปี ก็ดูเทพพอแล้ว ไม่งั้นลุงศิษย์พี่กัวหลูคงไม่ฝึกจนแก่ยังอยู่แค่เลี่ยนชี่ขั้นเจ็ดหรอก

เอาเป็นว่า สรุปว่าตอนแรก จั่วม่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่เลี่ยนชี่ขั้นที่ห้านะครับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด