บทที่ 24 แสวงหาหนทางอื่น
หลังจากวิกาลอันวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดในสำนักกระบี่สุญตาได้หลับนอน แต่หากเทียบกับเหล่าศิษย์อื่นที่มาชุมนุมสนทนากันอย่างพลุ่งพล่านใจ จั่วม่อกลับข่มตาหลับไม่ลง เนื่องเพราะความหวาดหวั่นพรั่นพรึง แม้ไม่เต็มใจ แต่จะอย่างไร มันถือว่าลงเรือลำเดียวกันกับผูเยาเต็มตัว เมื่อพบเห็นมังกรหิมะตัวนั้น ในหัวของมันคล้ายระเบิดเปรี้ยง ก่อนหน้านี้อาจยังหลงละเมอเพ้อพกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ในใจมีแต่กระสับกระส่ายว้าวุ่น
จั่วม่อกระวนกระวายใจยิ่ง หากมิใช่ว่ามันชอบที่นี่ ยามนี้คงเร่งรีบเก็บข้าวของ หนีไปตายเอาดาบหน้าในบัดดล
หลังจากหวาดระแวงอยู่หลายวัน ทั้งเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หัวใจของมันค่อยกลับคืนมาอยู่ในอก
ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเวลานี้พุ่งทะยานสู่รัศมีอันโชติช่วง ทั่วทั้งตงฝูไม่มีผู้ใดไม่ทราบข่าว สำนักกระบี่สุญตาจู่ ๆ ก็ปรากฏยอดอัจฉริยะบุรุษผู้หนึ่งดุจร่วงหล่นลงมาจากฟ้า นิมิตแห่งปราณกระบี่ทะลวงสวรรค์ยามที่มันก้าวสู่ด่านจู้จี บันดาลให้เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
อย่างที่หลายคนคาดไว้ ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเลื่อนสถานะขึ้นเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักอย่างรวดเร็ว ของรับขวัญจากอาจารย์ของมัน คือกระบี่บินระดับที่สี่นาม [ผ่าสายรุ้ง] แต่จะอย่างไร ผู้รับผิดชอบฝึกอบรมกลับเป็นอาจารย์อาซินหยาน
ที่ผ่านมา ของรับขวัญยามผู้อื่นเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน ล้วนเป็นกระบี่บินระดับที่สาม แม้แต่ศิษย์พี่หลัวหลีผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
การสนับสนุนอันเอิกเกริกเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในสำนักกระบี่สุญตา อีกทั้งผู้ที่ได้รับกระบี่ระดับที่สี่ เดิมทีเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่งเท่านั้น ยามเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกถกเถียงกันเรื่องนี้ สีหน้าของพวกมันล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปิดบังความอิจฉาที่มากยิ่งกว่าได้ ศิษย์ฝ่ายนอกผู้เคยเป็นข้ารับใช้กระบี่ผู้หนึ่ง ทะยานขึ้นเป็นศิษย์เอกผู้มีคุณค่าที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นที่สอง ประสบการณ์อันพิสดารเช่นนี้ของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ล้วนเป็นความฝันใฝ่ของศิษย์ฝ่ายนอกเกือบทุกผู้คน
จั่วม่อเองนอกจากนับถือเลื่อมใสมากยิ่งขึ้นแล้ว มันหาได้ประหลาดใจแต่อย่างใด มันเชื่อว่าหากผู้ใดได้เห็นบันทึกในม้วนหยกที่ยามนี้มันถือครองไว้ รับรองว่าจะต้องไม่แปลกใจเช่นเดียวกับมัน
นับถือส่วนนับถือ เลื่อมใสส่วนเลื่อมใส แต่มันไม่คิดลอกเลียนตามอย่างศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ในใจมันไม่มีความลุ่มหลงงมงายอันใด แต่เดิมทีมันถึงกับเป็นคนเกียจคร้านสันหลังยาวผู้หนึ่ง ที่ยอมเหนื่อยยากลำบากอยู่ทุกวันนี้ เพียงเพื่อจะได้อยู่อย่างเกียจคร้านในวันข้างหน้า
ผูเยาคล้ายกลับเป็นปกติ นั่งอยู่บนป้ายหินหลุมศพ ทอดอารมณ์ฟังอินกุย ตามภาพเดิม ๆ ที่มันคุ้นตา
ทะเลแห่งจิตสำนึกไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เว้นเสียแต่เปลวเพลิงคล้ายจะใหญ่โตขึ้นมาบ้าง จั่วม่อไม่ทราบว่าเป็นมันหลงคิดไปเองหรือไม่ จะอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงพื้นที่สีแดงฉานผืนหนึ่ง
ระลอกในภูเขาสุญตาในที่สุดก็สงบลง ชีวิตของจั่วม่อค่อยสงบลงเช่นกัน สิ่งที่มันโหยหามากที่สุดคือชีวิตเช่นแต่ก่อน ชีวิตที่ไม่ต้องหวาดหวั่นกังวลอันใด ยามนี้ชีวิตมันกลับคืนสู่สภาพปกติ จิตใจเริ่มสงบสุขมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม มันประสบปัญหาเข้าอีกแล้ว
เกษตรกรปราณต้องการเวทวิชาสามชนิดที่บรรลุถึงขั้นที่สาม เคล็ดเมฆฝนหล่นรินของจั่วม่ออยู่ในขั้นที่สี่เรียบร้อยแล้ว ถึงยามนี้ อีกหนึ่งวิชาที่ใกล้จะบรรลุขั้นที่สามเต็มที คือเคล็ดทองคำคร่ำคร่า
มันทราบกระทั่งว่าต้องทำอย่างไร เคล็ดทองคำคร่ำคร่าจึงจะทะลวงผ่านไปยังขั้นที่สามได้
ใช้เพลงกระบี่ควบคุมปราณทองคำคร่ำคร่า คือเคล็ดความสำคัญยิ่ง เป็นกลวิธีที่ผูเยาชี้นำมันในวันนั้น เพื่อสังหารฝูงด้วงเขาเงิน วิถีทางนี้ยังช่วยยืนยันสมมติฐานเดิมของมัน ว่าเคล็ดทองคำคร่ำคร่าสมควรเป็นเวทวิชาประเภทจู่โจมอย่างแท้จริง
แต่จั่วม่อไม่ได้โง่ มันยังตระหนักดีในส่วนที่น่าสงสัย หากคิดเดินไปตามวิถีทางสายนี้จริง มันต้องเสริมสร้างพลังแห่งจิตสำนึกให้เข้มแข็งแกร่งกร้าวยิ่งขึ้น
ควรทราบว่ากระบี่ทองคำคร่ำคร่าไม่ใช่กระบี่ของจริง หากพลังจิตสำนึกไม่เข้มแข็งพอ ย่อมไม่อาจบังคับใช้กระบี่ปราณได้ การกวาดล้างฝูงด้วงเขาเงินมอบประสบการณ์แก่มันอย่างลึกซึ้ง หากพลังแห่งจิตสำนึกของมันแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าพลังของกระบี่ทองคำเล่มน้อยจะยิ่งทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว และหากสามารถควบคุมกระบี่ปราณได้ดั่งใจปรารถนา เพลงกระบี่ย่อมสามารถปลดปล่อยพลังอันสูงสุดของมันออกมา
ปัญหาอยู่ที่นี้เอง หากคิดเสริมสร้างพลังแห่งจิตสำนึก มันจะต้องฝึกฝนเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด!
ไม่ต้องสงสัยว่าผูเยาไฉนใจกว้างนัก มันกำลังเฝ้ารอให้จั่วม่อกระทำเช่นนี้เอง
แต่เดิมจั่วม่อขุ่นเคืองใจ ที่ไม่อาจหาวิธียกระดับเคล็ดทองคำคร่ำคร่า แต่ยามนี้กลับต้องมาปวดหัว เพราะหาพบแล้ว แต่ไม่อาจใช้งานวิธีการนั้นได้
จั่วม่อลังเลอยู่เป็นนาน สุดท้ายตัดสินใจไม่เลื่อนระดับเคล็ดทองคำคร่ำคร่าอีกต่อไป
ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปราณ ต้องการเวทวิชาสามชนิดบรรลุถึงขั้นที่สามหรอกหรือ? ต่อให้ย่ำแย่ที่สุด มันก็แค่ต้องเลือกยกระดับอีกสองวิชา จากสามวิชาที่เหลือเท่านั้น
เคล็ดสารพันพฤกษ์ เคล็ดอัคคีสีชาด และเคล็ดปราณพิภพ ทุกวิชาล้วนฝึกฝนจนถึงขั้นที่สอง
แต่จะกล่าวว่าขั้นที่สอง ก็เพียงเพิ่งบรรลุถึงขั้นที่สองเท่านั้น ยังคงห่างไกลจากขั้นที่สามมากนัก เดิมทีเคล็ดทองคำคร่ำคร่าเป็นวิชาที่มันมั่นใจมากที่สุด ว่าสามารถเข้าถึงขั้นที่สามได้อย่างแน่นอน ยามนี้กลับต้องจำใจละทิ้งมันไป จั่วม่อสลดหดหู่อยู่ไม่น้อย
โชคดีที่มันยังมีจิงสืออยู่ในมือ!
ต่อให้ย่ำแย่ที่สุด มันยังสามารถหาซื้อม้วนคัมภีร์หยกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ม้วนคัมภีร์หยกที่มันซื้อมาก่อนหน้านี้ เป็นเพียงสินค้าธรรมดาสามัญชิ้นหนึ่งเท่านั้น ในนั้นอาจอรรถาธิบายเวทวิชาไว้ครบทั้งห้าชนิด แต่ส่วนมากกล่าวเพียงกว้าง ๆ และฉาบฉวย แทบจะมองไม่เห็นแนวทางอันใด เกือบทั้งหมดยังคงต้องการให้บรรลุความเข้าใจด้วยตนเอง
ควรทราบว่าม้วนคัมภีร์หยกในท้องตลาด ส่วนใหญ่เป็นประเภทนี้เอง สำหรับม้วนคัมภีร์หยกชั้นยอดที่แท้จริงกลับอยู่ในมือเหล่าสำนักใหญ่ บางคราวที่ม้วนหยกประเภทนี้เล็ดรอดออกสู่ท้องตลาด ราคาก็แทบจะสูงล้ำเทียมฟ้าแล้ว
ในสำนักชั้นแนวหน้าบางสำนัก เมื่อผู้ฝึกตนใกล้จะเสียชีวิต พวกมันจะใช้จิตสำนึก จารึกสิ่งที่พวกมันเรียนรู้มาตลอดชีวิตลงในม้วนหยก และสืบทอดต่อไป นี่ย่อมเป็นสุดยอดม้วนคัมภีร์หยกแล้ว
ม้วนหยกที่บันทึกจิตสำนึก ประสบการณ์ และความรู้ความเข้าใจของผู้อาวุโส จะถูกส่งผ่านไปยังเหล่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในสำนัก
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ประเภทนี้ อาจบางทีสามารถแปรเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ในชั่วข้ามคืน ช่วยร่นระยะเวลาฝึกตนได้อย่างมหาศาล
แต่สำหรับผู้ฝึกตนสามัญ อย่าได้แม้แต่ฝันเฟื่องถึงสิ่งเหล่านี้ ดีที่สุดแล้วที่จะก้าวไปทีละขั้นทีละตอน ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันเหมือนอยู่บนหนทางภูเขาสูงชัน เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ คับขันอันตรายยิ่ง สมควรค่อยๆ ปีนป่ายอย่างระมัดระวัง ส่วนเรื่องที่ว่าเส้นทางเหล่านั้นจะเป็นทางอ้อมหรือไม่ อาจจะหลุดร่วงลงไปร่างแหลกเละหรือไม่ นั่นล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคนแล้ว ผู้ใดมีปัญญาไปใส่ใจ?
เมื่อรวมกับยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสองที่หลี่อิงฟ่งมอบให้ ความร่ำรวยของจั่วม่อยามนี้ เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะถูกผูเยาฉกไปใช้ไม่น้อยก็ตาม จั่วม่ออดทอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าทุกผู้คนล้วนฝึกตน แต่ผู้ที่โดดเด่นอย่างแท้จริง มีสักกี่คนที่สร้างชื่อจากการไม่มีสิ่งใดเลย? ตระกูลของศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งมีพื้นฐานร่ำรวย จ่ายออกไปสิบยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง นางไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ จั่วม่อรู้สึกอิจฉาความมือเติบเช่นนี้เสียจริง
ถุงเงินของมันอ้วนพอง การฝึกตนของมันสะดุดติดขัด ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จั่วม่อคิดใช้จิงสือแก้ไขปัญหา เป้าหมายของมันครั้งนี้ เป็นการซื้อม้วนหยกที่จารึกเวทวิชาเพียงชนิดเดียว แม้ว่ามีผู้คนจำนวนน้อยนิดที่สามารถฝึกฝนเวทวิชาห้าชนิดพร้อมกัน แต่สำหรับผู้ที่มีฝีมือเพียงหนึ่งหรือสองวิชา สมควรมีมากมายจนหาไม่ยากเท่าใด
ม้วนหยกประเภทนี้ไม่ได้ราคาถูก เกรงว่าครั้งนี้มันคงเสียเลือดเสียเนื้อไม่น้อย แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก
———
ขี่เสี่ยวหวงที่ครวญครางเอี๊ยดอ้าด จั่วม่อเดินทางอย่างเชื่องช้า มุ่งหน้าไปยังตงฝูอีกครั้ง
สมกับที่เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของเขตปกครองนภาจันทร์ ระดับการพัฒนาของตงฝูหาใช่ธรรมดาไม่ ดังนั้นยังดึงดูดคลื่นผู้ฝึกตนที่ดีเข้ามา ปกติแล้วความต้องการขั้นพื้นฐานทั่วไปสามารถเติมเต็มได้ที่นี่ โดยเฉพาะสำหรับผู้อยู่ในด่านเลี่ยนชี่เช่นจั่วม่อ
ในร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง จั่วม่อครึ่งร่างแทบจะเกยอยู่บนโต๊ะ จ้องมองฝ่ายตรงข้ามตาไม่กระพริบ
“พี่ชาย ข้าก็บอกแล้ว เจ้าซื้อใหม่เถอะ ราคาไม่แพงจริง ๆ หากเจ้าต้องการซ่อมมัน ทั้งยังอยากเพิ่มพลังปราณเข้าไปอีก นี่ไม่ได้ถูกไปกว่าซื้อใหม่เลย ซ้ำยังไม่อาจยกระดับเพิ่มอีกแล้ว” เจ้าของร้านกล่าวอย่างช่ำชอง ในมือมันยังถือนกกระเรียนกระดาษของจั่วม่อ ...เสี่ยวหวง
มองรอยฉีกขาดบนตัวนกกระเรียนกระดาษ จั่วม่อไม่เต็มใจอยู่บ้าง จะอย่างไรเสี่ยวหวงเป็นพาหนะตัวแรกของมัน ในที่สุดกัดฟันกล่าวว่า “ซ่อมมันเถอะ ข้าย่อมไม่ให้เจ้าขาดทุนแน่”
อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แยแส “ตามที่เจ้าต้องการ”
กล่าวพลางนำเครื่องมือทุกประเภทออกมา ขั้นแรกมันตัดซี่ไม้ไผ่บาง ๆ ออกช่วงหนึ่ง เสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้าง จากนั้นทากาวลงที่รอยฉีกขาดบนกระดาษเหลือง ตัดเล็มเอาเสี้ยนออก เสร็จแล้วฉวยพู่กันขึ้นมา ใช้ชาดค่อย ๆ ซ่อมแซมลวดลายอักขระยันต์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเติมพลังปราณเข้าไป จนกระทั่งลวดลายสีแดงเลือนหายไปจากพื้นผิวของกระเรียนกระดาษ มันก็ใช้ของเหลวบางชนิดวาดทับลงไปซ้ำ ๆ หลายชั้น สุดท้ายอักขระยันต์ที่หายไป ก็ปรากฏขึ้นอีกหน
“เรียบร้อยแล้ว ข้าทำให้มันแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย หากเจ้าระมัดระวังสักหน่อย สมควรยังใช้งานได้อีกระยะหนึ่ง ... สามชิ้น จิงสือระดับที่สอง”
อย่างที่คาดไว้ ราคาค่าซ่อมมิต่างอันใดกับซื้อใหม่จริง ๆ จั่วม่อใจกระตุกอย่างปวดร้าว แต่มันยังคงจ่ายจิงสือออกไปโดยไม่อิดออด
ออกจากร้านค้าขนาดย่อมร้านนั้น จั่วม่อมุ่งหน้าไปยังตลาดเสรี เข้าสู่ร้านค้าของฟู่จิน
ฟู่จินพอพบเห็นจั่วม่อก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที โห่ร้องทักทายเสียงดัง “เฮ้ ม่อเกอ เชิญเข้า คราวนี้ท่านเสาะหาอันใด?” ดวงตาเจ้าเล่ห์ค้นพบแหวนสัมฤทธิ์บนมือของจัวม่อทันที มันยิ่งพินอบพิเทามากขึ้น ดวงตาของมันเปี่ยมประสบการณ์ ทราบว่านี่คือยุทธภัณฑ์เวท แม้ว่าระดับไม่สูงเท่าใด แต่นั่นหมายความว่าในมือของจั่วม่อย่อมยังมีจิงสือหลงเหลืออยู่
จั่วม่อกล่าวถาม “เจ้ามีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดสารพันพฤกษ์ขั้นที่สามหรือไม่? หรือไม่ก็เคล็ดอัคคีสีชาด หรือเคล็ดปราณพิภพก็ได้”
“ขั้นที่สาม?” ฟู่จินแสยะปาก พลางส่ายศีรษะ “ม่อเกอ ท่านมิใช่ไม่รู้จักตลาดแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวทวิชาอันใด หากกล่าวถึงขั้นที่สาม ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่จะเสาะหา และต่อให้หาพบ แต่ราคา หึหึ เกรงว่าจิงสือระดับที่สาม จำนวนสองชิ้นยังแทบไม่พอซื้อ”
สองชิ้น จิงสือระดับที่สาม! จั่วม่อมิทราบจะกล่าวอันใดกับราคานี้ แม้มันจะคิดว่าเวลานี้มันร่ำรวยไม่น้อย แต่ราคาเท่านี้ยังสูงล้ำเกินกว่าความร่ำรวยของมันไปมาก หากคิดแลกหนึ่งชิ้น ของจิงสือระดับที่สาม ต้องการหนึ่งร้อยชิ้น ของจิงสือระดับที่สอง และนี่เป็นเพียงอัตราแลกเปลี่ยนของจิงสือระดับต่ำเท่านั้น หากระดับสูงขึ้นกว่านี้ ความแตกต่างในอัตราแลกเปลี่ยนจะยิ่งถ่างกว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น หากจะแลกหนึ่งชิ้น จิงสือระดับที่สี่ อย่างน้อยต้องการจิงสือระดับที่สาม จำนวนถึงห้าร้อยชิ้น
ระดับที่สามคือเส้นแบ่งแยก
หากสามารถสร้างม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาได้ จั่วม่อคงขายม้วนหยกทำกำไรไปแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด เพียงอาศัยเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สี่ของมัน หากสามารถจารึกลงในม้วนคัมภีร์หยก รับรองว่าย่อมขายได้ในราคามหาศาล แต่น่าเสียดายที่การสร้างม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชา หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ แม้ว่าเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของจั่วม่อจะเป็นขั้นที่สี่ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ของส่วนที่ลึกล้ำที่สุด มันเพียงบรรลุความเข้าใจได้ แต่มิอาจถ่ายทอดออกมา
เช่นเดียวกันกับม้วนหยกของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ซึ่งเป็นเพียงบันทึกที่เรียบง่ายที่สุด ของประสบการณ์และความเข้าใจบางส่วน ไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาได้
บรรดาผู้ที่สามารถจารึกม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาขึ้นมา ล้วนอยู่ในด่านฝึกตนที่สูงส่ง พวกมันอยู่ในจุดที่สูงกว่า ทั้งยังเจาะลึกเข้าถึงแก่นของเวทวิชาเหล่านั้นแล้ว
ม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาที่สร้างโดยปรมาจารย์ด่านจินตัน กับม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาที่สร้างโดยผู้ฝึกตนด่านหนิงม่าย ราคาของพวกมันแตกต่างราวฟ้ากับดิน ม้วนคัมภีร์หยกเพาะปลูกพืชปราณที่จั่วม่อเคยซื้อไป เป็นม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาที่สร้างโดยผู้ฝึกตนด่านหนิงม่าย ดังนั้นเนื้อหาหลายส่วนแทบไม่ได้อธิบายรายละเอียดไว้เลย
ส่วนใหญ่ม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาที่พบในตลาด เป็นม้วนคัมภีร์หยกสำหรับด่านจู้จี เพราะพวกมันมักจะขายได้ราคาดี ผู้ใดที่สามารถเข้าสู่ด่านจู้จี ย่อมมีความมั่งคั่งอยู่บ้าง นี่ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ม้วนหยกคัมภีร์เวทวิชาสำหรับด่านเลี่ยนชี่หายากมาก
ส่วนใหญ่ของผู้ที่อยู่ในด่านเลี่ยนชี่ ล้วนเป็นลูกสำส่อนที่ยากจนข้นแค้น
ที่สำคัญคือเขตปกครองนภาจันทร์ เป็นเขตปกครองที่อยู่ในความควบคุมของแดนคุนหลุน ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนกระบี่ ดังนั้นจำนวนเวทวิชาสายเบญจธาตุ ย่อมมีน้อยกว่าแดนมหาอำนาจอื่นมาก
จั่วม่ออดผิดหวังไม่ได้
ถึงแม้ว่าจั่วม่อใบหน้าเป็นอัมพาต แต่ฟู่จินยังคงตระหนักดีถึงความผิดหวังของมัน มันขบคิดแล้วแนะนำว่า “ม่อเกอ ท่านอาจลองไปดูที่แท่นบูชาแจ้งเตือน”
จั่วม่อเขกหัวตัวเองทันทีด้วยความขุ่นข้อง ไฉนมันหลงลืมที่นั่นไปเสียได้?
แต่ละสำนักมักประสบปัญหาต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง คล้ายคลึงกับโรคประหลาดที่ระบาดในทุ่งนาปราณ ที่สำนักกระบี่สุญตาเพิ่งประสบมา หากสำนักไม่สามารถแก้ไขได้เอง จะปิดประกาศลงบนกระดานข่าวสาร หวังว่าจะมีผู้มีพรสวรรค์พิเศษที่สามารถช่วยเหลือพวกมัน ให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปได้
ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนพบว่าวิธีการนี้ช่างสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย ดังนั้นผู้คนมากขึ้น มากขึ้น พากันขอความช่วยเหลือบนกระดานข่าวสาร เพราะเหตุนี้เอง พวกมันจึงสร้างศาลเจ้าพิเศษเฉพาะขึ้นมาแห่งหนึ่ง เพื่อใช้ติดประกาศข่าวสาร เรียกว่าแท่นบูชาแจ้งเตือน
ที่นี่ยังกลายเป็นสถานที่ ที่เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากใช้หางานทำ โดยเฉพาะเหล่าผู้ฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ กับด่านจู้จี
แน่นอนว่าการติดประกาศต้องเสียค่าธรรมเนียม และในประกาศจะต้องระบุราคาค่าตอบแทนไว้อย่างชัดเจน
จั่วม่อแสดงความขอบคุณต่อฟู่จินอย่างสุดซึ้ง แล้วรีบวิ่งหน้าตั้งมุ่งไปยังแท่นบูชาแจ้งเตือน