ตอนที่แล้วบทที่ 22 ด้วงเขาเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 24 แสวงหาหนทางอื่น

บทที่ 23 นิมิตสะเทือนโลก


   

*ตั้งแต่บทนี้เป็นต้นไป ขอเปลี่ยนคำว่าแก่นปราณกระบี่ เป็น เจตจำนงกระบี่ นะครับ พอดีกลับไปค้นภาษาต้นฉบับ ใช้คำว่าเจี้ยนอี้ – แปลตรงตัวเลย เจตนากระบี่,ความหมายแห่งกระบี่,ความปรารถนาแห่งกระบี่ ซึ่งจะเข้ากับบริบทมากกว่า

        จั่วม่อเหม่อมองศิษย์พี่เหวยเสิ้งอย่างแตกตื่น

เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างศิษย์พี่เหวยเสิ้งฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ คนคล้ายกระบี่คมกล้าที่ปราศจากฝักเล่มหนึ่ง แรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ บันดาลให้จั่วม่อรู้สึกถึงความแปลกพิสดารชนิดหนึ่ง ทันใดนั้นในใจมันพลันปรากฏคำ – เจตจำนงกระบี่!

จั่วม่อตระหนักในทันที “ศิษย์พี่ ยินดีด้วย!”

เหวยเสิ้งได้ฟังก็แย้มยิ้ม เจตจำนงกระบี่รอบกายคล้ายถูกผลักดันด้วยมือล่องหนข้างหนึ่ง จู่ ๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน ก้อนกรวดเล็ก ๆ บนพื้นดินแตกระเบิดกระเด็นขึ้นฟ้า ฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ พื้นดินใต้ฝ่าเท้ามันถูกฟาดฟันเป็นหลุมตื้น ๆ ด้วยพลังเจตจำนงกระบี่ที่มองไม่เห็น

“ขออภัยด้วยศิษย์น้อง พลังฝึกตนของข้าแทบทะลุขีดจำกัด ไม่สามารถควบคุมไว้ได้อีกแล้ว”

“ศิษย์พี่ใช่มารับหญ้ามังกรเพลิงหรือไม่?” จั่วม่อกล่าวพลางโบกมือตัดบท บ่งบอกว่ามันมิได้รังเกียจ นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบเห็นผู้ที่กำลังจะทะลวงด่านฝึกตน เตรียมตัวผ่านเข้าสู่ด่านจู้จี ในใจมันมีแต่ความอยากรู้อยากเห็น

“ลำบากเจ้าแล้ว ศิษย์น้อง” เหวยเสิ้งขยับก้าวเดินอย่างหมดหนทาง หลุมฝุ่นละอองใต้ฝ่าเท้ามันลึกจนเกือบถึงเข่าแล้ว

ตระหนักซึ้งว่าสภาพของเหวยเสิ้งอยู่ในช่วงวิกฤติแล้ว จั่วม่อก็ไม่มัวเสียเวลากล่าววาจาไร้สาระ “ศิษย์พี่ โปรดตามข้ามา” เพียงจบคำ มันก็วิ่งรี่นำตรงไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก

ติดตามหลังมันมา เป็นเสียงแตกระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกหนแห่งที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเคลื่อนผ่าน ทิ้งรอยตัดขวางไว้เกลื่อนพื้น หินกรวดเล็ก ๆ กระเด็นเวียนว่อน

ในไม่ช้าทั้งคู่ก็บรรลุถึงหุบเขาหมอกเย็นเยือก จั่วม่อรีบตะโกนบอก “ศิษย์พี่ โปรดรอสักครู่” จากนั้นมันวิ่งเข้าไปในหมอก หายไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมาอย่างรวดเร็ว ในมือถือหญ้ามังกรเพลิงสีแดงจัดจ้า มันค่อย ๆ วางต้นหญ้าลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง แล้วกระโดดถอยหลังอย่างว่องไว

ยามนี้ศิษย์พี่ถูกห่อหุ้มด้วยเจตจำนงกระบี่อันโปร่งใส ทั้งยังกระจัดกระจาย พลังทำลายยิ่งน่าสะพรึงกลัว จนหัวใจมันสั่นสะท้าน ย่อมมิกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้

เหวยเสิ้งก้มลงหยิบฉวยต้นหญ้ามังกรเพลิง เห็นหญ้ามังกรเพลิงคล้ายลุกไหม้ดุจกองไฟกองหนึ่ง สีสันสดใสกว่าเดิมมาก

ความปิติยินดีวาบผ่านใบหน้าเหวยเสิ้ง ท่าทางมันเคร่งขรึมจริงจัง น้อมคารวะจั่วม่อ “ขอบคุณเจ้ามากแล้ว ศิษย์น้อง”

จบคำ มันก็รีบจากไป

จั่วม่อจ้องมองด้านหลังของศิษย์พี่เหวยเสิ้งอย่างงุนงงไม่คลาย นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบเห็นผู้ที่กำลังจะทะลวงด่านจู้จี ช่างแตกต่างจากที่เคยจินตนาการไว้ไม่น้อย มิทราบตอนที่ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเข้าสู่ด่านจู้จี ใช่มีสภาพเช่นนี้หรือไม่?

ด่านจู้จี เรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคแรกสำหรับผู้ฝึกตน ตามที่คาดไว้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง!

———

จิตใจจั่วม่อวอกแวกวุ่นวายตลอดทั้งวัน ภาพเหตุการณ์ที่เจตจำนงกระบี่ของศิษย์พี่เหินบินไปรอบ ๆ สร้างความตื่นตะลึงให้มันอย่างมหาศาล อีกทั้งมันยังไม่ได้ยินเสียงประกาศแจ้ง เหมือนเมื่อครั้งที่ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง ผ่านเข้าสู่ด่านจู้จีสำเร็จในคราวก่อน

ศิษย์พี่ใช่ล้มเหลวหรือไม่? มันเต็มไปด้วยความหวาดวิตก ควรทราบว่าหญ้ามังกรเพลิงเป็นพิษรุนแรงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เพียงบังเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย เกรงว่ากระทั่งพลังปราณยังมิอาจรักษาเอาไว้ได้ อย่าว่าแต่หญ้ามังกรเพลิงต้นที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งใช้ ยังเป็นหญ้ามังกรเพลิงระดับที่สามอันร้ายกาจยิ่งกว่า!

จั่วม่อเพิ่งเคยพบหน้าศิษย์พี่เหวยเสิ้งเพียงสองหน แต่สำหรับหัวใจเหล็กกล้าของศิษย์พี่ผู้ทรหดผู้นี้ มันได้แต่เลื่อมใสจากใจจริง ก่อนหน้านี้ มันมักคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนขยันขันแข็งผู้หนึ่ง แต่หากเทียบกับศิษย์พี่แล้ว มันไม่ได้มีคุณค่าพอจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ

---------------------------------

เวลาล่วงไปจนถึงยามเที่ยงคืน จั่วม่อนั่งอยู่บนหลังคา เหม่อฟังเสียงจากอินกุยอย่างเลื่อนลอย ความวิตกกังวลยิ่งทับทวีขึ้นในใจ

ในเวลานี้เอง ลำแสงแพรวพราวจู่ ๆ ก็พวยพุ่งขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งในเทือกเขา ทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้าในชั่วพริบตา!

เช้ง!

ดุจกระบี่ล้ำค่าทิ่มแทงออกจากฝัก เสียงเหล็กกล้าทะลวงผ่านหินแกร่ง ดังสะท้านไปทั่วเทือกเขาสุญตา!

และด้วยความปั่นป่วนมหึมาเช่นนี้เอง เหล่าศิษย์อื่นพากันตื่นขึ้นมาทั้งหมด แต่ละคนวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากที่พัก แหงนมองลำแสงรูปกระบี่ที่คล้ายเจาะทะลวงสวรรค์อย่างพรั่นพรึง

บนหลังคา จั่วม่อเหม่อมองอย่างโง่งม ในใจมันทั้งแตกตื่นทั้งยินดี ที่ยินดีเพราะนี่เป็นกลิ่นอายของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง! ส่วนที่แตกตื่น เป็นเพราะแรงกดดันจากลำแสงรูปกระบี่นั้นมหาศาลอย่างน่าเหลือเชื่อ!

มันอดนึกถึงเจตจำนงกระบี่หิมะขาว ที่สร้างบาดแผลให้กับทะเลแห่งจิตสำนึกของมันไม่ได้ ทั้งสองกระบี่คล้ายคลึงกันยิ่ง แต่หนนี้ไม่มีความไพศาลและเย็นยะเยือกของเจตจำนงกระบี่หิมะขาว เจตจำนงกระบี่ของศิษย์พี่ กลับเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายอันแน่วแน่มั่นคง และโอ่อ่าผ่าเผย

ความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบี่ของจั่วม่ออาจน่าสมเพช แต่ในชั่วขณะนี้ มันแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่านี่คือเจตจำนงกระบี่ของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มันเหม่อมองปลายกระบี่ที่แทงทะลุขึ้นไปในทะเลเมฆ ทั้งเบิกบานใจ ทั้งอิจฉาริษยาจนบอกไม่ถูก

คราวที่ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเข้าสู่ด่านจู้จี ไม่ได้บังเกิดเสียงดังวุ่นวายกระไรมากนัก แต่คราวนี้ การเข้าสู่ด่านจู้จีของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง กลับก่อกวนจนท้องฟ้าปั่นป่วนขึ้นมา ช่างเป็นพลังอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกอย่างแท้จริง!

———

ภาพนิมิตอันแจ่มชัดกระไรเช่นนี้! ไม่เพียงแต่แตกตื่นไปทั้งเทือกเขาสุญตา กระทั่งสำนักข้างเคียงที่อยู่รอบ ๆ ยังพลอยตระหนกไปด้วย มันสามารถมองเห็นกระบี่บินนับไม่ถ้วนพุ่งรี่เข้ามาดุจห่าฝนดาวตก

ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกต ว่าตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ เจ้าสำนักกับอาจารย์อาทั้งสองยืนหยัดแน่วนิ่งกลางเวหา คล้ายกำลังรอคอยเหล่าผู้มาเยือน

“สำนักเราจะรุ่งโรจน์!” อาจารย์อาที่สาม หยานเล่อ สุ้มเสียงสั่นพร่า ไม่มีรอยยิ้มที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้า ตรงกันข้าม มีเพียงน้ำตาไหลซึมออกมา

เจ้าสำนักเผยเหยียนหรานก็ไม่อาจทนรับไว้ได้ มันพลันคุกเข่าลงกลางเวหา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก สุ้มเสียงคล้ายสะอึกสะอื้น ขณะที่โขกศีรษะคำนับสามหน “ศิษย์ไม่เอาไหน เผยเหยียนหราน ขอขอบพระคุณบรรพบุรุษของสำนัก สำหรับการปกป้องคุ้มครอง! ทั้งอำนวยพรให้สำนักเราสามารถสืบสานต่อไป!”

เมื่อเงยหน้าขึ้น น้ำตาสองสายไหลอาบใบหน้ามัน

หยานเล่อกับซินหยานก็คุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับสามหนไปทางทิศตะวันออก

ทั้งสามลุกขึ้นยืน แต่คนละแย้มยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงใบหู คล้ายกับว่าพวกมันล้วนมึนเมาแล้ว กระทั่งซินหยานผู้มักจะเคร่งขรึมดุดันอยู่เป็นนิตย์ ยามนี้ยังมีใบหน้าแดงระเรื่อจาง ๆ

“ช่างน่าเสียดายที่ซื่อซือเม่ยยังคงออกเดินทางไม่กลับมา มิเช่นนั้นหากได้เห็นเหตุการณ์นี้ มิทราบว่านางจะเบิกบานใจถึงเพียงไหน” เผยเหยียนหรานสีหน้ากลับเป็นปกติ ขณะที่ถอนหายใจอย่างเศร้าเสียดาย

(ซื่อซือเม่ย – ศิษย์น้องหญิงที่สี่ หมายถึง สือฟ่งหรง)

หยานเล่อรู้สึกคล้ายคลึงกัน “ได้พบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ข้าแม้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว”

เผยเหยียนหรานพลันตำหนิ “ไฮ้! ศิษย์น้อง อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระเช่นนั้น สำนักเรากำลังจะรุ่งเรืองขึ้น ยิ่งต้องช่วยกันพยายามอย่างสุดความสามารถ ตั้งอกตั้งใจฝึกอบรมเหวยเสิ้ง จะได้ไม่ผิดต่อท่านอาจารย์ และเหล่าปรมาจารย์ผู้ล่วงลับ”

หยานเล่อพยักหน้า “ศิษย์พี่สั่งสอนถูกต้อง” มันจู่ ๆ ก็เบือนหน้าไปอีกทาง ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ดูท่าวันนี้เราจะมีอาคันตุกะมาเยือนไม่น้อย!”

ดวงตาของเผยเหยียนหรานทอประกายเย็นชา ออกคำสั่งด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ “แต่ค่ำคืนนี้ย่อมมิใช่เวลารับรองแขก ศิษย์น้องรอง อย่าปล่อยให้พวกมันรบกวนเหวยเสิ้ง”

“ทราบแล้ว!” ซินหยานสงบลง กลับเป็นเคร่งขรึมเฉยชาดุจป้ายหินหลุมศพ กล่าวเพียงหนึ่งคำอันเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้ฝึกตนที่กำลังเหาะเหินมายังภูเขาสุญตา หรือบรรดาศิษย์สำนักที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า พริบตานั้นล้วนรู้สึกประกายหิมะขาววาบผ่านดวงตาของพวกมัน! ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เจตจำนงกระบี่อันน่าขนพองสยองเกล้าก็กดทับลงเหนือศีรษะ ทั้งแผ่ไพศาล ทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายประดุจจะทำลายล้างฟ้าดิน

ทุกผู้คนล้วนแตกตื่นตระหนก ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างไม่รู้สึกตัว

มังกรหิมะขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ทะยานขึ้นบดบังไปครึ่งฟ้า ร่างอันปราดเปรียวสะบัดโบยบิน โลดแล่นท่องเวหาในท้องฟ้าราตรี ดวงตาประหนึ่งผลึกน้ำแข็งคู่นั้นเต็มไปด้วยความอหังการ กลิ่นอายอันดุร้ายหนาวเหน็บ ต่อให้อยู่ห่างไกลยังสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน

ยามนี้ผู้คนค่อยนึกขึ้นได้ สำนักกระบี่สุญตามีสี่ปรมาจารย์ด่านจินตัน!

“ใช่กระบี่มังกรน้ำแข็งหรือไม่?” สุ้มเสียงเก่าแก่โบราณเสียงหนึ่งดังมาจากที่ห่างไกล

ซินหยานเหลือบตาขึ้นมอง สองตาพลุ่งพล่านไปด้วยความปรารถนาต่อสู้ ตอบเสียงเย็น “เป็นข้าเอง ซินหยาน”

บนภูเขาสุญตา เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกแหงนมองตาค้าง ทอดถอนอย่างตื่นตะลึง อาจารย์อาซินหยานผู้มีใบหน้าเรียบเย็นดุจหินผาผู้นี้ ถึงกับมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เช่นนี้

เจ้าของเสียงจากที่ห่างไกลไม่กล่าววาจาสืบต่อ

สุ้มเสียงทรงอำนาจของเผยเหยียนหรานกลับดังขึ้น ได้ยินชัดเจนทั้งใกล้และไกล

“วันนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ทั้งบังเอิญว่าลูกศิษย์รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกำลังทะลวงด่านจู้จี พวกเราไม่สะดวกจะรับแขกจริง ๆ รบกวนทุกท่านแล้ว ต้องขออภัยด้วย ไฉนทุกท่านไม่กลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งในวันหลังเล่า? ทางสำนักเราจะได้เตรียมการต้อนรับให้สมเกียรติ”

“คิดไม่ถึง ตงฝูของข้าจะปรากฏยอดฝีมือเช่นกระบี่มังกรน้ำแข็ง ที่ล่วงเกินไป ยังต้องขออภัยด้วย! สำนักกระบี่สุญตาย่อมจะเจริญรุ่งโรจน์ในไม่ช้า ผู้โง่เขลาเทียนซงจื่อ (เมล็ดสนฟ้า) เสียคารวะแล้ว ในเมื่อวันนี้ไม่สะดวก เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนในวันอื่น!” กล่าวไปกล่าวไป สุ้มเสียงก็ก้องกังวานห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายลับไป

เหล่าผู้ฝึกตนรอบข้างประหลาดใจยิ่ง พวกมันไม่คาดคิดว่าผู้มากลับเป็นเทียนซงจื่อ เทียนซงจื่อผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือตลอดทั้งตงฝู มันเป็นลูกหลานของตงฝูเจินเหริน และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของตงฝู

แม้แต่เผยเหยียนหรานยังตกใจ มันไม่คิดว่าความวุ่นวายคราวนี้จะรบกวนกระทั่งเทียนซงจื่อ สถานะของเทียนซงจื่อในตงฝูสูงส่งยิ่ง พลังฝึกตนอันเลื่องลือของมันยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ

แต่เผยเหยียนหรานก็เป็นชนชั้นผู้นำสำนักหนึ่ง มันรีบสงบใจ ส่งเสียงตามไป “ไม่ส่งแล้ว ผู้อาวุโส!”

เหล่าผู้ฝึกตนที่ทีแรกหวังจะรอชมความครึกครื้น พอเห็นเช่นนี้ ก็พากันแยกย้ายจากไปอย่างรู้ความ ผู้ที่กระทั่งเทียนซงจื่อยังปฏิบัติด้วยดี พวกมันย่อมไม่กล้าตอแย ผู้คนที่ชาญฉลาดเริ่มตระหนักแล้วว่า สถานะของสำนักกระบี่สุญตาจะเฟื่องฟูขึ้นในตงฝู

พวกมันส่วนมากล่วงรู้อยู่แล้วว่าสำนักกระบี่สุญตามีสี่ปรมาจารย์ด่านจินตัน อย่างไรก็ตาม ปกติสำนักกระบี่สุญตาไม่ค่อยคบหาสมาคมกับภายนอก ในหมู่คนทั้งสี่ นอกเหนือจากหยานเล่อผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานด้านนอกแล้ว ที่เหลืออีกสามคน ปกติแทบไม่เคยก้าวเท้าออกจากประตูสำนัก

ผู้คนที่เฉลียวฉลาดลอบตกลงใจ ว่าจะสืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับกระบี่มังกรน้ำแข็งให้มากขึ้น ยอดฝีมือเช่นนี้ ไฉนเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ในภูเขาเล็ก ๆ เยี่ยงนี้ ช่างชวนให้ผู้คนงุนงงเสียจริง

———

จั่วม่อกลับไม่ได้ยินคำสนทนาของเจ้าสำนักกับเทียนซงจื่อ มันกำลังจ้องมองอย่างโง่งม ไปยังมังกรหิมะขาวที่แหวกว่ายอยู่กลางนภาราตรี

เช่นเดียวกันกับที่มันสามารถระบุได้ว่าพลังปราณกระบี่ที่แทงทะลวงท้องฟ้า เป็นฝีมือของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มันก็จำแนกออกในทันที ว่ามังกรหิมะขาวที่บิดกายอยู่กลางเวหา คือเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันเอง แม้ว่าลักษณะภายนอกของทั้งคู่ไม่คลับคล้ายกันแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันเชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่ามังกรที่เบื้องหน้า กับเจตจำนงกระบี่สีขาวที่มันเคยพบเห็นเพียงสองครั้งเล่มนั้น โดยเนื้อแท้แล้วไม่มีความแตกต่างกันเลย

ในใจมันกลวงเปล่า ที่แท้ค่ำคืนนั้นเป็นฝีมือของอาจารย์อา!

ผลสรุปเช่นนี้ ทำให้หัวใจมันแทบกระดอนขึ้น

จั่วม่อพลันนึกขึ้นมาได้ ว่าเจ้าผู้ร้ายตัวจริงของค่ำคืนนั้น ยังคงอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันนี่เอง! ความคิดนี้ทำให้หัวใจมันสั่นสะท้านในฉับพลัน

หากเจ้าสำนักกับคนอื่น ๆ ทราบว่าผูยังอยู่ในจิตสำนึกของมัน... ...

มันอดสยิวกายอย่างหนาวเหน็บไม่ได้ ฟันสั่นกระทบกันดังกึก ๆ

จั่วม่อมองมังกรหิมะบนท้องฟ้าอีกครั้ง หัวใจเย็นเฉียบ พลันบังเกิดความรู้สึกหลอน ว่ามังกรหิมะตัวนี้อาจค้นพบผูเยาได้ทุกเวลา จากนั้นจะโถมลงมาอย่างไม่รั้งรอ และฉีกร่างมันออกเป็นชิ้น ๆ

ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นทุกขณะ มันกระทั่งรู้สึกว่ามังกรหิมะมหึมาเฝ้ามองมันอยู่ตลอดเวลา

จั่วม่อสั่นสะท้านถึงดวงวิญญาณ ไม่มีใจจะกระทำอะไรอื่น นอกจากวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนลงจากหลังคา และหดหัวกลับเข้าไปหลบในห้องของมัน

ครั้นกลับเข้าไปยังห้องสันโดษ มันค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

จากนั้นสักครู่ หัวใจค่อย ๆ สงบลง ปากลิ้นแห้งผาก

ผูเยาบัดซบ เจ้าผูเยาที่น่าตาย! จั่วม่ออดก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้

มันจู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ ว่าผูเยายังสามารถออกมาได้ด้วยตัวเอง ความคิดนี้ทำให้มันขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาทันที ผูเยา, เจ้าบ้าวิปริตจิตฟั่นเฟือน อย่าได้คิดจะออกมาสร้างความวุ่นวายเอาในเวลาเช่นนี้เชียว!

จั่วม่อรีบทรุดลงนั่ง บังคับให้จิตใจสงบ แล้วเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกในบัดดล

ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันคล้ายเกิดพายุกรรโชกอย่างรุนแรง เปลวเพลิงสีแดงเข้มเต้นเร่าอย่างคึกคะนอง ราวกับฝูงนาคีผู้เย้ายวนบิดองค์เอวอันสะกดใจของนาง ผูไม่ได้นั่งอยู่บนป้ายหินหลุมศพเหมือนทุกครั้ง แต่ยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ร่างหยัดตรงแน่วแน่ดุจหอกเล่มหนึ่ง อาภรณ์ดำเรียบลื่นพลิ้วสะบัดลู่ไปตามแรงลม เรือนผมดำสนิทไปล่ปลิวระหน้าผาก แต่ยังคงปกปิดดวงตาข้างซ้ายนั่นไว้

ดวงตาขวาสีแดงเลือด จับจ้องป้ายหินหลุมศพเขม็ง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด