บทที่ 22 ด้วงเขาเงิน
นี่ย่อมไม่ใช่หนแรกที่จั่วม่อมายังหุบเขาหมอกเย็นเยือก แต่มิทราบว่าเป็นผลมาจากการที่จิตสำนึกของมันทรงพลังขึ้นหรือไม่ จำได้ว่าหนสุดท้ายที่มันมา อาคมหวงห้ามเพียงกดดันมันเล็กน้อย จนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ยามนี้ กลับประหนึ่งสัตว์ร้ายที่เผยให้เห็นปลายเขาอันแหลมคม พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ พลังอันหนักหน่วงคล้ายเพิ่มพูนจนแกร่งกร้าวขึ้นหลายเท่า กดทับมันจนแทบหายใจไม่ออก จั่วม่อก้าวรุดหน้าด้วยหัวใจสั่นระรัว กัดฟันวิ่งผ่านหมอกหนาเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นหุบเขาก็เปิดโล่งในสายตา พร้อมกลิ่นหอมของสมุนไพรพลุ่งเข้าปะทะหน้า จั่วม่อหันไปมองสระน้ำเย็นเยียบที่คำรามอยู่ใต้น้ำตกโดยไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกของมันยังกังวลและหวาดกลัวสระน้ำนี้ไม่น้อย แม้ว่ามันจะสำเร็จการสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรกแล้ว แต่ความรู้สึกถึงความตายที่รุกล้ำเข้ามายังติดตาตรึงใจ มันย่อมไม่อยากทดลองอีกเป็นครั้งที่สอง
เจ้าควรยึดมั่นกับความเป็นจริง และกลายเป็นเกษตรกรปราณ จั่วม่อพร่ำบอกตัวเองในใจ
ครั้นเดินไปยังต้นหญ้ามังกรเพลิงที่ปลูกไว้ มันพลันตะลึงงัน หญ้ามังกรเพลิงลำต้นค้อมลง กลิ่นอายแห่งความตายเห็นได้ชัดบนกลุ่มใบสีแดง จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหาย หญ้ามังกรเพลิงต้นนี้เกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง เป็นของล้ำค่าสำหรับทะลวงสู่ด่านจู้จี หากมีบางสิ่งผิดพลาด จะเกิดอันใดขึ้น?
ในใจมันนับถือเลื่อมใสศิษย์พี่เหวยเสิ้งอยู่ไม่น้อย มันย่อมเอาใจช่วยเต็มที่ หวังให้ศิษย์พี่ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ด่านจู้จี
จั่วม่อรีบก้มลงตรวจสอบต้นหญ้ามังกรเพลิง
พื้นดินรอบ ๆ ยังชุ่มชื้นดี ดังนั้นตัดปัญหาเรื่องการขาดน้ำออกไปได้เลย เช่นนั้นยังจะเป็นกระไรได้อีก?
อย่าว่าแต่หญ้ามังกรเพลิงระดับสามนี้เลย กระทั่งความรอบรู้ด้านสมุนไพรปราณธรรมดาสามัญ มันก็มีอยู่น้อยนิดจนน่าเวทนา มันระดมกำลังความคิดสุดความสามารถ ค้นหาอย่างดุเดือดในประสบการณ์ปลูกพืชปราณสองปีของตน พยายามนึกถึงอาการที่คล้ายคลึงกัน กับสิ่งที่หญ้ามังกรเพลิงกำลังประสบอยู่ในยามนี้
นี่ใช่แมลงศัตรูพืชหรือไม่?
จั่วม่อไม่แน่ใจ แต่มันยังคงทาบมือลงบนต้นหญ้ามังกรเพลิง จะอย่างไรเคล็ดทองคำคร่ำคร่ามิได้เป็นอันตรายต่อสมุนไพรปราณ ดังนั้นไม่เสียหายอันใด หากจะลองดูสักหน
กลุ่มเม็ดทรายสีทองเข้มหลั่งไหลออกจากปลายนิ้ว แทรกหายเข้าไปในต้นหญ้ามังกรเพลิง จิตสำนึกของมันแนบติดไปกับปราณทองคำคร่ำคร่า บุกรุกสู่ภายในของต้นหญ้าพร้อมกัน
โลกภายในของหญ้าปราณแต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน ภายในต้นข้าวปราณเป็นสีเขียวสด แต่โลกภายในของหญ้ามังกรเพลิงเป็นสีแดงจัดจ้า
จั่วม่อยังไม่ทันได้ตรวจสอบกลั่นกรองอันใด กลิ่นอายมืดมนเย็นเฉียบก็มุ่งเป้ามายังจิตสำนึกของมัน
แม้สิ่งที่พบจะขัดต่อความคาดหวังอยู่บ้าง แต่จั่วม่อกลับเยือกเย็นลง ที่มันหวั่นเกรงคือไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใด แต่ยามนี้เมื่อค้นพบตัวต้นเหตุ เรื่องราวก็เปลี่ยนเป็นง่ายดายขึ้นแล้ว
จะอย่างไรเกอก็มีไม้เด็ด เป็นพลังปราณทองคำคร่ำคร่า ผู้เชี่ยวชาญในการล้างผลาญแมลงศัตรูพืชทุกชนิด!
ด้านในของต้นหญ้ามังกรเพลิง เห็นด้วงสีเงินฝูงหนึ่ง คืบคลานไปรอบ ๆ อย่างเชื่องช้า
กลิ่นอายของพวกมันมิได้ทรงพลังมากนัก ไม่หฤโหดเท่าฝูงเพลี้ยที่เคยพบในคราวแรก จั่วม่อรู้สึกโล่งใจไม่น้อย สำหรับเคล็ดทองคำคร่ำคร่าฝีมือมันมีจำกัด หากต้องเผชิญกับแมลงที่มีพลังเข้มแข็งแกร่งกร้าว มันไม่เพียงแก้ปัญหาไม่ได้ ซ้ำยังจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
จั่วม่อกระแทกพลังปราณทองคำคร่ำคร่ารุดไปข้างหน้า ตรงเข้าฟาดฟันฝูงด้วงสีเงินโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
ฝูงด้วงสีเงินก็ไม่แตกตื่นลนลาน ยังคงเคี้ยวเอื้องเนื้อเยื่อต้นหญ้าเบื้องหน้าตนเอง
ปราณทองคำคร่ำคร่าเหมือนกลุ่มเมฆสีทอง ทะยานเข้าล้อมกรอบฝูงด้วงสีเงินอย่างรวดเร็ว จั่วม่อจิตใจสงบแน่วแน่ มันเชื่อว่าสามารถจบการต่อสู้ภายในไม่กี่กระบวนท่า ปราณทองคำคร่ำคร่าแกร่งกร้าวกว่าเดิมมาก อีกทั้งมันยังเปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป จั่วม่อเริ่มหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
นี่ไม่ถูกต้อง! มันประสบปัญหาแล้ว
ไม่ว่าจั่วม่อจะเพิ่มพลังปราณทองคำคร่ำคร่ามากเท่าใด ล้วนไร้ประโยชน์ ด้วงสีเงินเหล่านี้ยังคงไม่แยแสสนใจ มันสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าพลังปราณทองคำคร่ำคร่าที่เคยพิชิตไปโดยไร้ผู้ต้าน ยามนี้กลับถูกสกัดกั้นไว้ มิอาจรุดหน้าแม้แต่ชุ่นเดียว เม็ดทรายทองอันคมกล้าของปราณทองคำคร่ำคร่า แทบไม่อาจสร้างริ้วรอยขีดข่วนบนผิวของด้วงสีเงินได้
เปลือกแข็งกระไรเช่นนี้!
ระดับที่สามช่างสมกับเป็นระดับที่สามอย่างแท้จริง กระทั่งแมลงศัตรูพืชของมันยังแข็งแกร่งถึงปานนี้ จั่วม่อชักอยากร่ำไห้เป็นกำลัง
เคล็ดทองคำคร่ำคร่าเป็นศาสตราวุธเพียงอย่างเดียว ที่มันสามารถใช้รับมือกับศัตรูพืช อีกทั้งคนผู้เดียวในสำนักที่บรรลุเคล็ดทองคำคร่ำคร่าขั้นที่สอง ศิษย์พี่กัวหลู จนบัดนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่บนเตียง
คราวนี้มันสมควรทำเยี่ยงไร?
จั่วม่อเหงื่อไหลท่วม ในใจมันเริ่มแตกตื่น การเข้าสู่ด่านจู้จีของศิษย์พี่เหวยเสิ้งขึ้นอยู่กับเจ้าสิ่งนี้ อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นในมือมันเลย!
ครั้นจั่วม่อเริ่มหมดหนทาง ผูเยาพลันปรากฏกายขึ้น “จุ๊ จุ๊ กระทั่งด้วงเขาเงินตัวน้อย ๆ ยังไม่มีปัญญาต่อกร นี่เจ้าหวังอยากเป็นเกษตรกรปราณจริง ๆ หรือ?”
จั่วม่อเหลียวมองผูเยาอย่างหวาดระแวง “หรือเจ้ามีหนทาง?”
ไม่รอให้ผูเยาตอบคำ มันก็เหลือกตาขึ้น “แต่ต่อให้เจ้ามีหนทางจริง ๆ ข้าก็ไม่ได้ถามเจ้าเสียหน่อย”
ประสบการณ์อันเจ็บปวดในอดีตบอกกับจั่วม่อ ว่าอย่าแม้แต่จะคิดที่จะลองเอารัดเอาเปรียบผูเยา สิ่งที่ได้จากเจ้าผู้นี้ไม่มีสิ่งใดราคาถูก หากเผอเรออาจถึงขั้นตายอย่างน่าอนาถ แต่ในใจมันลอบจดจำชื่อด้วงเขาเงินไว้อย่างเงียบเชียบ ยังคิดว่าจะลองไปค้นหาในภายหลัง ดูว่าใช่มีวิธีจัดการกับด้วงเขาเงินนี่หรือไม่
ผูเยากลับไม่มีโทสะ ริมฝีปากยกยิ้มจาง ๆ นัยน์ตาขวาสีแดงเข้มหรี่แคบลง “ฮิฮิ ฝีมือใช้งานพลังปราณของเจ้าช่างบันดาลให้ผู้คนเจ็บปวดใจอย่างแท้จริง! โอ้! ข้าแทบทนดูไม่ไหวแล้ว ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นั้นเรียกว่าอะไรนะ มันมิใช่มอบม้วนหยกให้เจ้าหรอกหรือ ในนั้นไม่มีกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานบ้างหรือไร? ไฉนไม่ทดลองควบคุมปราณทองคำคร่ำคร่าของเจ้าด้วยกระบวนท่ากระบี่บ้างเล่า”
“ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ?” จั่วม่อประหลาดใจ
“เจ้าสามารถทดลองดู” กล่าวเพียงเท่านี้ ผูเยาก็หายวับไป
เจ้าผูเยาวันนี้มาแปลก! แปลกมาก! ผิดปกติเกินไปแล้ว!
แม้ว่าจะรู้จักผูเยาได้ไม่นาน มิอาจหยั่งทราบความลึกซึ้งที่แท้จริงของมัน แต่จั่วม่อมั่นใจอย่างล้นเหลือว่าเจ้าผู้นี้ไม่ใช่คนดีอันใด จู่ ๆ วันนี้กลายเป็นใจดีมีเมตตา นี่มันผิดธรรมชาติ ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง!
แต่จะอย่างไร สิ่งเดียวที่มันจับได้คือความผิดปกติ แต่หากถามว่าผิดปกติตรงที่ใด มันก็หาคำตอบไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลาครุ่นคิดนานเพียงใดก็ตาม
แต่ปัญหานี้ถูกโยนไปด้านข้างในไม่ช้า สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือหาวิธีจัดการด้วงเขาเงิน กับคำชี้แนะของผูเยา มันยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
กระบวนท่ากระบี่ที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ย่อมมีกระบวนท่าพื้นฐานที่สุดอยู่หลายท่า กระบวนท่าเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดลึกล้ำเกินไป กระทั่งคนอย่างจั่วม่อผู้ไม่เคยฝึกวิชากระบี่มาก่อน ยังสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
ควบคุมปราณทองคำคร่ำคร่า ใช้ออกด้วยเพลงกระบี่?
จั่วม่อทรุดนั่งบนพื้น ดำดิ่งลงในภวังค์
ผ่านไปครู่ใหญ่ จั่วม่อพลันทะยานขึ้น พลังปราณทองคำคร่ำคร่าสีทองเข้มพวยพุ่งออกจากปลายนิ้ว ปราณสีทองกลายเป็นก้อนเมฆที่คล้ายประกอบขึ้นด้วยเม็ดทรายทองนับไม่ถ้วน หมุนวนอย่างแช่มช้า สวยสดงดงามตระการตา จากนั้นกลุ่มก้อนพลังปราณทองคำคร่ำคร่าก็พลุ่งพล่าน พลิกตลบอย่างกะทันหัน หดตัวอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมา ก็ควบรวมกลายเป็นกระบี่สีทองเข้ม เล่มเท่าเมล็ดข้าวเล่มหนึ่ง
แต่จะเรียกมันว่ากระบี่เล่มน้อย ออกจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง อันที่จริงมันคล้ายเกล็ดทองแผ่นบาง ๆ ที่เกิดจากการบี้เมล็ดข้าวสีทองจนแบนเรียบ
แน่นอนว่าจั่วม่อไม่ถือสาเรื่องนี้ มันเคยพบเห็นกระบี่บินเพียงไม่กี่เล่ม ในแง่นี้จะให้จินตนาการได้เลิศเลอปานใดเล่า
มันร่ายรำเพลงกระบี่แต่ละท่วงท่าตามกระบวนท่าในม้วนหยก ในไม่ช้าก็ตระหนักถึงประโยชน์ของการมีจิตสำนึกอันทรงพลัง มันสามารถบังคับใช้กระบี่เล่มน้อยได้อย่างง่ายดาย
เพียงไม่กี่กระบวนท่า มันก็คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
บุกเข้าไปในต้นหญ้ามังกรเพลิงอีกครั้ง เหล่าด้วงเขาเงินยังคงขบเคี้ยวอย่างไม่แยแสอยู่ภายในลำต้น จั่วม่อไม่กล่าวทักทาย แต่ส่งกระบี่ทะลวงเข้าหาโดยตรง!
ติ๊ง!
ด้วงสีเงินผู้เฉยชาถึงกับสะท้านขึ้น ประกายไฟแลบพุ่งเป็นทางบนเปลือกเกราะเงินของมัน
ได้ผล! จั่วม่อเบิกบานใจยิ่ง
ครั้นจบหนึ่งกระบี่ อีกหนึ่งกระบี่ก็ตามติด ร้อยเรียงกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง ตามบันทึกในม้วนหยกของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง จั่วม่อจู่โจมไม่ยั้ง ไม่ได้มือไม้อ่อนแม้แต่น้อย
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เปลือกของด้วงเขาเงินแข็งอย่างน่าเหลือเชื่อ เห็นประกายไฟแลบพุ่งไม่หยุด ก็ยังไม่มีกระทั่งรอยร้าว แต่สำหรับจั่วม่อแล้ว ไม่สำคัญว่าเปลือกเกราะจะแข็งปานใด ตราบเท่าที่ด้วงเขาเงินไม่ต่อสู้กลับ มันก็เป็นได้เพียงเป้าซ้อมมืออันยอดเยี่ยมเท่านั้น
จั่วม่อลืมเลือนตัวตน กระบวนท่าที่แรกเริ่มทั้งหยาบกระด้าง ทั้งสะดุดติดขัด ค่อยกลับกลายเป็นไหลลื่นคุ้นชินอย่างแช่มช้า กระบี่ทองคำค่ำคร่าเล่มน้อยเริ่มสำแดงพลังอันกร้าวแกร่งออกมาทีละน้อย
ติ๊ง!
คราวนี้เสียงปะทะฟังแตกต่างไปจากเดิมมาก เกราะเปลือกแข็งของด้วงเขาเงิน ถูกทะลวงแตกออกเป็นช่อง!
จั่วม่อเริ่มเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง การใช้เพลงกระบี่ควบคุมกระบี่ทองคำคร่ำคร่าเล่มน้อย ถึงกับสิ้นเปลืองพลังปราณมากกว่าการใช้ปราณทองคำคร่ำคร่ารูปแบบเดิม ซ้ำยังต้องการพลังแห่งจิตสำนึกของมันด้วย หากก่อนหน้านี้ มันไม่ได้เข้าถึงลมหายใจแรกของ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] เกรงว่ายามนี้พลังแห่งจิตสำนึกของมัน จะไม่เพียงพอให้กระทำการเยี่ยงนี้ได้
ในที่สุดสามารถเจาะผ่านแนวป้องกันของด้วงเขาเงิน จั่วม่อกลายเป็นลิงโลด เร่งโหมโจมตีเป็นพายุบุแคม
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
ด้วงเขาเงินในที่สุดไม่อาจยืนหยัดต่อไป รอยแตกกระจายกว้าง ระเบิดออกอย่างกะทันหัน
หาญต่อกรกับข้า เจ้าสมควรได้รับผลเช่นนี้!
จั่วม่อจ้องมองซากด้วงเขาเงินอย่างดูหมิ่น
อย่างไรก็ตาม พลังจิตสำนึกของมันเริ่มสั่นไหวไม่มั่นคง จั่วม่อรีบแล่นออกมาจากต้นหญ้ามังกรเพลิง มันสูญเสียพลังปราณและพลังแห่งจิตสำนึกไปมากมาย ได้แต่รีบทรุดนั่งไขว้ขาท่าดอกบัว เร่งฟื้นฟูพลังปราณ
เพียงไม่นาน พลังปราณในร่างมันก็กลับคืนมาเต็มเปี่ยม แต่พลังแห่งจิตสำนึกที่ถูกใช้ไป กลับไม่กระเตื้องขึ้นมาแม้แต่น้อย หากต้องการฟื้นฟูพลังแห่งจิตสำนึก มีเพียงวิธีเดียวที่มันนึกออก นั่นคือ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]
ที่แท้นี่จึงเป็นเป้าหมายของผูเยาใช่หรือไม่?
มันลังเลอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นเมื่อสายตาเลื่อนมาพบต้นหญ้ามังกรเพลิง มันสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุด ยังคงตัดสินใจกวาดล้างด้วงเขาเงินก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากสำเร็จลมหายใจแรกในครั้งนั้น นี่เป็นหนแรกที่มันโคจร[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]
คล้ายกับว่าเพียงแค่นั่งลง ลมหายใจก็ไหลเวียนไปทั่วร่าง ความมึนเมาอันพิสดารที่มันไม่เคยรู้สึกมาก่อน แผ่ซ่านออกมาจากส่วนลึกของไขกระดูก ตัวตนทั้งหมดของมันรู้สึกสุขสบายราวกับเหินบิน
จั่วม่อจิตใจสงบราวกับผ่านเข้าสู่สภาวะสุญตา และนั่นเป็นเวลาที่มันค้นพบว่ามิทราบตั้งแต่เมื่อใด บนท้องฟ้าภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน กลับปรากฏดวงดาวขึ้นดวงหนึ่ง ดาวดวงนั้นไม่เพียงไม่สุกใส กระทั่งยังมืดมนอยู่บ้าง ที่แท้แสงเจิดจ้าจากทะเลเพลิงบดบังแสงดาวไปไม่น้อย เป็นธรรมดาที่มันไม่เคยสังเกตเห็นดาวดวงนั้นมาก่อน
ใช่เป็นภาพลวงตาหรือไม่?
จั่วม่อไม่แน่ใจ
เพิ่มดวงดาวขึ้นมาดวงหนึ่ง ทะเลแห่งจิตสำนึกกลายเป็นทะเลเพลิงโหม การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ กลับไม่ได้ทำให้ตัวมันเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ก้าวออกมาจากการเข้าฌาน จิตใจของจั่วม่อแช่มชื่นขึ้น มันลองตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าจิตวิญญาณของมันคล้ายจะเข้มแข็งขึ้นอีกส่วนหนึ่ง มันทั้งเบิกบานใจ ทั้งวิตกกังวล จิตสำนึกแข็งแกร่งขึ้นย่อมเป็นเรื่องดีงาม แต่บทเรียนจากครั้งล่าสุด ยามที่มันบรรลุลมหายใจแรก ยังคงสดใหม่อยู่ในใจมัน
หลังจากล่าล้างด้วงเขาเงินจนสิ้นซาก มันจะไม่ยอมฝึกฝนมากกว่านี้เป็นอันขาด!
จั่วม่อลอบเตือนตัวเองในใจ
ความรู้สึกอันสุดแสนจะสุขสบายที่พลุ่งขึ้นมานั้น ทำให้มันเคลิบเคลิ้มมึนเมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งยังทำให้มันตื่นตัวอย่างมาก สิ่งที่เลิศรสที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำแกงปลา แต่อาจเป็นยาพิษอันสวยงาม ด้วยความวิปลาสของผูเยา ทำให้มันรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้มีโอกาสที่จะเป็นยาพิษสูงมาก
ค่อย ๆ เรียนรู้เคล็ดลับของท่วงท่า จั่วม่อฝีมือดีขึ้นมาก เพลงกระบี่ยิ่งทวีความแหลมคม เหล่าด้วงเขาเงินที่ก่อนหน้านี้มันแทบไม่สามารถทำอันใดได้ ยามนี้กลับถูกสับสังหารภายในไม่กี่กระบวนท่า
จั่วม่อยินดียิ่ง แต่มันล่วงรู้หลักเหตุผล ดังนั้นไม่ยอมฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อีก
ต้นหญ้ามังกรเพลิงนั้น หลังจากขจัดด้วงเขาเงินจนหมดสิ้น ก็ส่งพลังอันสดใสร่าเริงออกมาทันที จั่วม่อยังได้ค้นพบแบบแผนกฎเกณฑ์อันน่าสนใจประการหนึ่ง หากมันสังหารผู้ล่าตามธรรมชาติภายในต้นพืช ซากศพของศัตรูพืชชนิดนั้นจะกลายเป็นปุ๋ยที่ดีที่สุดสำหรับพืชไป
..............................................
ในหลายวันต่อมา จั่วม่อเฝ้าปกป้องหญ้ามังกรเพลิงอย่างดี ด้วยเกรงจะเกิดเรื่องขึ้นอีก
วันนี้ มันมาถึงหุบเขาหมอกเย็นเยือกตามปกติ
ฮ้า นี่มันอะไร?
ดวงตาของมันจับจ้องต้นหญ้ามังกรเพลิง เห็นผลไม้สีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่ง ผลไม้นี้ก่อนหน้านี้ยังเป็นสีเขียว ยามนี้กลับกลายเป็นสีแดงประกาย แต่ด้วยความรอบรู้เรื่องสมุนไพรปราณอันต่ำต้อยของมัน จั่วม่อมิอาจแยกแยะได้ว่าเจ้าผลไม้เล็ก ๆ นี้ เป็นผลไม้จริง ๆ หรือเป็นเมล็ดพันธุ์กันแน่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรือเมล็ดพันธุ์ ล้วนแสดงให้เห็นว่าต้นหญ้ามังกรเพลิงเจริญงอกงามดียิ่ง นี่เป็นเรื่องดีงามอย่างแท้จริง
สิ่งที่มันกังวลมากที่สุด คือกลัวว่าหญ้ามังกรเพลิงต้นนี้จะไม่คุ้นเคยกับสภาพดิน และอาจเป็นเหตุให้ระดับคุณภาพลดต่ำลง หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่ามันคงไม่มีหน้าไปพบศิษย์พี่เหวยเสิ้งอีกแล้ว
อีกสองสามวันถัดมา จั่วม่อยิ่งเฝ้าระวังหญ้ามังกรเพลิงอย่างรอบคอบมากขึ้น หญ้ามังกรเพลิงจัดเป็นหญ้าปราณประเภทหยางดั้งเดิม เหมาะสมยิ่งสำหรับเคล็ดอัคคีสีชาด แต่ละวันจั่วม่อไม่ลืมที่จะใช้เวทวิชานี้หลายครั้ง
ใบของต้นหญ้ามังกรเพลิงเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจ้ายิ่งขึ้น และผลไม้ขนาดเท่าเมล็ดข้าว ยามนี้เติบโตขึ้นจนมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง สีสันก็เข้มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี
จนกระทั่งถึงยามที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งมาเยือนที่หน้าประตู