บทที่ 21 ลมหายใจแรก
จั่วม่อไม่มีปัญญาทราบ ว่าที่แท้[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ใช่ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ถึงแม้ว่ามันไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ก็ตาม
แต่จะอย่างไรด้วยความกลอกกลิ้งของผูเยา หากต้องการชีวิตน้อย ๆ ของมันจริง ๆ อีกฝ่ายลำบากเพียงแค่กระดิกนิ้วเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาครึ่งถูกครึ่งผิดมาหลอกลวงมันแต่อย่างใด แต่อีกด้านหนึ่ง หากมองจากความชั่วร้าย รวมกับจริตอารมณ์ขันอันพิสดารของผูเยาแล้ว หากกล่าวว่าต้องการสรรค์หาวิธีทรมานมัน ก็ฟังดูเป็นไปได้ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ผูเยามักจะเงียบอยู่เสมอ นอกจากบังคับให้จั่วม่อฝึก[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]แล้ว มันไม่ได้กระทำอันใดอีก ไม่แม้กระทั่งกลั่นแกล้งทรมานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่เคยชอบทำ จั่วม่อมิอาจเข้าใจผูเยา ทั้งยิ่งไม่ล่วงรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าผู้นี้คือสิ่งใดกันแน่
ผูเยาแน่นอนว่าต้องมีจุดมุ่งหมายของมัน
ความคิดนี้บางครั้งชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในใจจั่วม่อ กระนั้นเมื่อใดก็ตามที่มันพยายามขบคิด กลับพบว่าประหนึ่งกำลังเพ่งมองมหาสมุทรอันไพศาล ทั้งยังลึกล้ำสุดหยั่งถึง ผู้ใดทราบว่าก้นบึ้งมหาสมุทรที่แท้แอบซ่อนเรื่องราวอันใด
อาจบางทีผูเยากำลังพยายามช่วยเหลือมันจริง ๆ จั่วม่อย่อมทราบดีว่าบาดแผลทางจิตวิญญาณของมันยากเยียวยาเพียงใด หากมิใช่เพราะ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] ชีวิตน้อย ๆ ของมัน จะรักษาไว้ได้จนถึงยามนี้หรือไม่ ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่
การจะตำหนิผูเยา ฟังคล้ายไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง
อาจกล่าวได้เพียงว่า ความพิลึกพิสดารกับความแปรปรวนของผูเยา เป็นเหตุให้จั่วม่อเกิดหวาดระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุด คือไม่ว่าจุดประสงค์ของผูเยาจะเป็นเรื่องราวใด จั่วม่อก็ไม่มีปัญญาต่อต้านแข็งขืนอยู่ดี
ไม่ว่า[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ใช่ถูกต้องแน่นอนหรือไม่ ไม่ว่าผูเยาต้องการสิ่งใด มันล้วนแล้วแต่จนปัญญาจะขัดขืน ต่อหน้าตัวตนอันแกร่งกร้าวเช่นผู ตัวมันช่างอ่อนแอจนน่าเวทนา สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ คือกัดฟันมุ่งตรงไปข้างหน้า ด้วยคาดหวังว่าจะได้พบพานเศษเสี้ยวแห่งความหวังอันริบหรี่บ้าง
ที่สำคัญ หากนี่เป็นทัณฑ์ทรมานจริง ๆ มันก็ตกอยู่ในสภาวะนั้นเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เพียงจะยอมทอดอาลัย จ่อมจมลงในการทรมานของผูเยา หรือจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปให้จงได้
บัดซบ! ข้าไฉนไปตอแยเจ้าตัวภัยพิบัติเยี่ยงนี้เข้าได้!
เวลาเลื่อนผ่านไป ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทีละเสี้ยว ทีละส่วน ที่มาพร้อมกับความรู้สึกลมหายใจขาดห้วงอันรุนแรง คือความหวาดกลัวที่พลุ่งขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
สติสัมปชัญญะของมันเริ่มรางเลือน จั่วม่อไม่ทันรู้ตัวว่าสองขาขยับว่ายตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด พยายามพาตัวเองขึ้นสู่เบื้องบน แต่น่าเสียดายที่มันกลับจมลงตลอดเวลา ทั้งยังอยู่ห่างจากผิวน้ำมากเกินไป
นี่ข้ากำลังจะตาย...หรือไร?
กระทั่งความคิดนี้ยังมิอาจคิดจนลุล่วง มันร่างแข็งทื่อไร้ความรู้สึก ล่องลอยอย่างอ่อนแรงในห้วงมหานทีอันไร้ที่สิ้นสุด
ไม่!
ข้ามิอาจตาย!
จั่วม่อพยายามดิ้นรน พยายามปลุกปลอบสติสัมปชัญญะของตน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ภายใต้อาการสำลักน้ำ ลมหายใจขาดห้วง สติสัมปชัญญะของมันค่อย ๆ กระจัดกระจายไป กลับกลายเป็นมึนงงเลอะเลือน
มันกำลังจะตายจริง ๆ ... ...
ทันใดนั้น ท่ามกลางสติอันรางเลือน จั่วม่อคลับคล้ายได้ยินใครบางคนตะโกนกรีดก้อง
“อย่าได้ลืมเลือน!”
“ต่อให้ต้องตาย ก็อย่าได้ลืม!”
ด้วยเหตุผลบางประการ สองวลีที่มันเคยคิดว่าเป็นดั่งฝันร้าย ยามนี้คลับคล้ายมือล่องหนขนาดยักษ์ ที่ฉุดรั้งมันกลับจากการสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ
ข้าตายไม่ได้!
จั่วม่อรีดเค้นเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายในร่าง ภายในใจกู่ก้องเกรี้ยวกราดอย่างเงียบงัน ทั้งร่างสั่นสะเทือนเหมือนตะแกรงร่อนทอง เส้นเลือดใต้ผิวหนังปูดโปน ขยายออกอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เส้นเลือดสีดำหนาปกคลุมไปทั่วร่าง คดเคี้ยว บิดเบี้ยว เต้นระริก ไม่ผิดอันใดกับฝูงไส้เดือนนับไม่ถ้วน น่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ลมหายใจในทรวงอกแผ่วจาง ไม่ต่างอันใดกับเปลวเทียนวูบสุดท้าย ที่พร้อมจะมอดดับลงได้ทุกเวลา
แต่กระนั้น เปลวไฟอันริบหรี่นี้เอง จู่ ๆ ก็ปะทุวาบ โหมไหม้กลายเป็นทุ่งเพลิงผลาญ ท่วมท้นทะเลแห่งจิตสำนึก ลุกลามประหนึ่งไหม้ท่อนฟืนแห้งที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำมัน เปลวเพลิงสีแดงเข้มขู่คำราม ถาโถมไปทั่วพื้นทะเลแห่งจิตสำนึก กวาดม้วนไปเบื้องหน้า กลืนกินทุกสิ่ง ผืนหญ้าและป่าไม้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีในบัดดล ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งมันไว้ได้
ภายในชั่วกระพริบตา ทะเลแห่งจิตสำนึกกลับกลายเป็นนรกเพลิงโหม เปลวไฟสีแดงเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดแล่นวาบไปทั่วทุกซอกมุม
ท่ามกลางเพลิงแดงจัดจ้าร้อนเร่าที่เต้นระริก บนป้ายหินหลุมศพทมึนมืดอันลึกลับ ควันดำห่อหุ้มเป็นชั้นๆ นั่งไว้ด้วยบุรุษหล่อเหลาสีหน้าเย็นเยียบพิสดาร กอรปด้วยคุณสมบัติงามล้ำอันลืมไม่ลงชนิดหนึ่ง
อินกุยวางอยู่บนเข่าของมัน เล่นเสียงเพลงพิณอันเข้มข้นประหนึ่งลมพายุ กดทับจนผู้คนแทบหายใจไม่ออก!
เฝ้ามองทะเลเพลิงแดงโหมไหม้อย่างไร้เสียง ภายใต้เรือนผมที่ปกคลุมครึ่งซีกหน้า ริมฝีปากบางเฉียบของผูยกยิ้มบางเบาจนแทบมองไม่เห็น เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์อันชวนมองแต่เย็นชาดังเช่นปกติ
———--------------------
จั่วม่อมองไปรอบด้านอย่างกังขา หลังจากบรรลุถึงลมหายใจแรกอย่างสมบูรณ์ การรับรู้สภาพรอบข้างของมันคล้ายผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยากที่จะอธิบายอย่างชัดเจน แต่ราวกับว่าสภาพแวดล้อมได้ผ่านการชำระล้าง เปลี่ยนแปลงจนแทบจดจำไม่ได้ ดุจชุบตัวสู่รูปลักษณ์ใหม่ ความรู้สึกนี้พิเศษพิสดารหาใดเปรียบ ทำให้มันเสียเวลาทำความคุ้นเคยไปไม่น้อย
มีอีกสิ่งหนึ่งที่แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน คือทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ยามนี้กลับกลายเป็นทะเลเพลิง ที่คล้ายอาจมอดดับลงได้ทุกเวลา
นอกเหนือจากนี้แล้ว จั่วม่อไม่ได้ค้นพบผลกระทบอื่นใด ถึงแม้ว่า[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]จะมีคุณลักษณะที่ดีอยู่บ้าง แต่มันไม่ได้คาดหวังมากไปกว่านี้ ตัวมันความจริงเป็นเพียงคนที่ตั้งใจจะเป็นเกษตรกรปราณ จะฝึกฝนจิตสำนึกอันเข้มแข็งแกร่งกร้าวไปทำอะไร? คราวนี้เมื่อมันสามารถอยู่รอดปลอดภัย รักษาชีวิตน้อย ๆ ของมันเอาไว้ได้ มันก็พึงพอใจอย่างล้นเหลือแล้ว
การละเล่นที่อันตรายเกินไป ขออภัย เกอจะไม่ยุ่ง
หวนนึกถึงวิกฤตการณ์อันคับขันเมื่อวันวาน จั่วม่อยังหวาดหวั่นสั่นผวาไม่คลาย
อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ที่คล้ายจ่อจี้ใส่ศีรษะตลอดเวลา ในที่สุดก็หายไป มันค่อยหายใจหายคอสะดวกขึ้น
จั่วม่อตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ต่อไปไม่ว่าผูเยาจะมอบสิ่งใดให้ มันจะไม่ยอมรับเอามาใช้งานอีก แม้ว่าอาจต้องทนรับความเจ็บปวดบ้างก็ตาม ประสบการณ์อันทุกข์ทรมานหนนี้ มอบบทเรียนอันหนักหนาสาหัสให้แก่มัน คิดฉกฉวยผลประโยชน์ในมือผูเยา นั่นไม่ต่างอันใดกับการแส่หาที่ตาย
จั่วม่อค้นพบว่าชีวิตน้อย ๆ ของมันมีค่ายิ่ง
-----------------------------------
ผูเยาคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องการฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ของจั่วม่อ ทุกวี่วันมันเอาแต่นั่งเฝ้าอินกุยอันใหม่ ทั้งยังมีทีท่าเพลิดเพลินไม่รู้จบ
ทุกครั้งที่จั่วม่อเห็นอินกุยอันใหม่ ที่มีคุณภาพดีเลิศกว่าอันที่มันถืออยู่ในมือ ก็จะรู้สึกปวดร้าวราวถูกมีดกรีด
สิบชิ้นจิงสือระดับสองต้องสูญเสียไปกับเจ้าสิ่งนี้ โอ้! จั่วม่อกัดฟันสะกดกลั้นความเกลียดชัง หัวใจเจ็บแปลบ ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาไว้ในอก ขณะที่หยิบฉวยอินกุยที่ผูเยาเตรียมจะโยนทิ้งขึ้นมา นั่นย่อมเป็นอินกุยอันเดิมที่ผูเยาเคยฉกเอาไปจากมือมัน
ลุ่มหลงของใหม่ ลืมเลือนของเก่า นี่เป็นนิสัยเสียอีกอย่างหนึ่งที่มันพบในตัวผูเยา
แต่หากจะย้อนมากล่าว เจ้าบ้าผูเยาเคยมีนิสัยอันดีงามด้วยหรือไร?
ถึงตอนนี้ [เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]คล้ายเป็นเพียงก้าวสะดุดเล็ก ๆ ในชีวิตจั่วม่อ อีกทั้งผูเยายังดูประหนึ่งทำเอาความชั่วร้ายประจำตัวมันสูญหายไป นั่งสงบเงียบเรียบร้อยดุจหญิงสาวในหอห้อง ทำเอาจั่วม่อรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
กระนั้นคำบริภาษอันตรายอย่างเช่น “เหรินเยาเอยเหรินเยา จะอย่างไรเจ้ายังคงเป็นเหรินเยา หรือเจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่กล่าววาจา เจ้าสามารถกลับกลายเป็นสตรีไปจริง ๆ ?” แน่นอนว่าไม่กล่าวออกมาไม่ได้ หากไม่ด่าทอมันเสียบ้างไหนเลยจะโล่งใจได้
สิ่งที่ทำให้จั่วม่อเบิกบานใจก็คือ มันก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในห้าเวทวิชาเบญจธาตุ ไม่ทราบว่าเป็นผลมาจากการที่มันสำเร็จการสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรกหรือไม่ หลายส่วนที่เคยไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับชัดเจนอย่างน่าแปลกใจ สามารถบรรลุได้ง่ายดายจนชวนตะลึง
มันคล้ายถูกกระตุ้น ได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้น
จั่วม่อไม่ค่อยสนใจสิ่งของพิลึกเช่น[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]เท่าใดนัก สิ่งที่มีประโยชน์เที่ยงแท้เช่นเคล็ดทองคำคร่ำคร่า ที่สามารถกลับกลายเป็นจิงสือต่างหาก จึงจะเป็นเวทวิชาที่มันชื่นชอบอย่างแท้จริง
มันคล้ายหลวงจีนผู้หนึ่ง แต่ละวันใช้ชีวิตจืดชืดน่าเบื่อหน่าย ทั้งฝึกฝนคัมภีร์กฎสิบประการ เพื่อสั่งสมพลังปราณ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งฝึกฝนเวทวิชาทุกชนิด ทั้งฝึกกระบวนท่าดัชนี เช่นเดียวกับยามที่มันฝึกฝนเคล็ดเมฆฝนหล่นรินในคราวนั้น มันฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง
เวทวิชาที่คืบหน้าไปมากที่สุด คือเคล็ดทองคำคร่ำคร่า ปัจจุบันปราณทองคำคร่ำคร่ากลายเป็นสีทองเข้ม แสงประกายรวมรั้งกว่าเดิม แปรเปลี่ยนตามใจปรารถนา ซึ่งหากเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ยังเพิ่มกลิ่นอายอันโอ่อ่าชนิดหนึ่ง ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะยังคงอ่อนจางอยู่มาก แต่ในทางปฏิบัติ ผลได้กลับทวีคูณ ทำให้จั่วม่อตื่นเต้นยินดีไม่น้อย
อันที่จริงความก้าวหน้าของเคล็ดทองคำคร่ำคร่า หาใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เนื่องจากหลักการสำคัญที่สุดของเคล็ดทองคำคร่ำคร่า มุ่งเน้นพลังจิตสำนึกอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ามันเพิ่งสำเร็จการสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรก แต่เมื่อเทียบกับกาลก่อน จิตสำนึกของมันแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นเคล็ดทองคำคร่ำคร่าย่อมรุดหน้าเป็นธรรมดา กระนั้นสิ่งที่ทำให้จั่วม่อประหลาดใจจริง ๆ คือ กระทั่งเคล็ดปราณพิภพยังพลอยพัฒนาก้าวล้ำไปด้วย
เคล็ดปราณพิภพเน้นการสื่อสารและการทำความเข้าใจ พลังแห่งจิตสำนึกของมัน ใช่ช่วยยกระดับการสื่อสารและการทำความเข้าใจหรือไม่?
จั่วม่อมิอาจทราบ แต่ในเมื่อนี่เป็นเรื่องดีงาม มันย่อมปล่อยไปตามน้ำ และไม่สิ้นเปลืองเวลาตรวจสอบเจาะลึกลงไปอีก
ขณะนั้นจั่วม่ออยู่ในลานบ้าน กำลังคร่ำเคร่งฝึกฝนเคล็ดทองคำคร่ำคร่า จู่ ๆ เสียงราบเรียบทรงอำนาจก็สะท้อนก้องไปทั่วภูเขาสุญตา
“ศิษย์ฝ่ายนอกหลี่อิงฟ่ง ตลอดมาพากเพียรฝึกฝนอย่างเข้มงวด บุกทะลวงด่านจู้จีสำเร็จ นับแต่วันนี้เข้าสู่ศิษย์ฝ่ายในอย่างเป็นทางการ ศิษย์ฝ่ายนอกควรถือนางเป็นแบบอย่าง จงเร่งฝึกตนอย่างไม่ลดละ เพื่อบรรลุผลอันเที่ยงแท้!”
สุ้มเสียงนี้ไม่ดัง แต่ได้ยินชัดเจน ล่องลอยผ่านภูเขาสุญตา ก้องกังวานไม่รู้จบ
หลี่อิงฟ่งเข้าสู่ด่านจู้จีแล้ว? จั่วม่ออดนับถือเลื่อมใสไม่ได้ ทั้งยังยินดีแทนนาง ระยะเวลาที่มันคบหาสมาคมกับศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งไม่ได้ยาวนานเท่าใด ทั้งยังเริ่มต้นจากความเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่กระนั้นมันยังชื่นชมศิษย์พี่หญิงผู้คล่องแคล่วเฉลียวฉลาดนางนี้ยิ่ง นี่ย่อมเป็นแบบอย่างที่ศิษย์พี่หญิงสมควรเป็น ในทางตรงกันข้าม ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นนับว่าบกพร่องไปมาก
———
ข่าวนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดระลอกอันใดกับชีวิตของจั่วม่อ ความสนใจในด่านจู้จีของมันมีค่าน้อยกว่าความสนใจที่จะกลายเป็นเกษตรกรปราณ ควรทราบว่าด่านจู้จี แม้ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในวิถีแห่งการฝึกตน แต่นอกเหนือจากว่าท่านสามารถก้าวผ่านสู่ด่านจินตัน มิเช่นนั้นช่วงอายุขัยยังคงไม่แตกต่างจากผู้คนธรรมดาสามัญมากนัก และสำหรับด่านจินตัน อย่าเพิ่งกล่าวถึงศิษย์ฝ่ายนอกเช่นมัน กระทั่งบรรดาศิษย์ฝ่ายในทั้งหลาย จะมีสักกี่คนสามารถไต่ระดับจนบรรลุถึงด่านจินตัน?
แต่หากมันสามารถกลายเป็นเกษตรปราณ นั่นต่างหากคือความเป็นจริงอันเที่ยงแท้ และจิงสืออันเที่ยงแท้อย่างแท้จริง
จั่วม่อยังคงฝังตัวลงในการฝึกฝนเวทวิชา เพื่อสิ่งที่มันได้เลือกแล้ว มันไม่เคยละความพยายามแม้แต่น้อย และเช่นเดียวกับการฝึกฝนเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ไม่มีผู้ใดคอยแนะนำสอนสั่ง มันทำได้เพียงร่ายเวทวิชาออกมาหนแล้วหนเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก มันไม่ทราบว่ากระทำซ้ำซากเช่นนี้อยู่กี่พันครั้ง กระทั่งสามารถเติมน้ำในสระจนเต็มด้วยเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ทั้งหมดเพียงเพื่อทะลวงสู่เคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม
แต่แล้วการฝึกฝนของมันก็ถูกขัดจังหวะ โดยแขกไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่ง ผู้มาคือผู้ที่เพิ่งยกสถานะขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน, ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเอง
“ยินดีด้วยศิษย์พี่หญิง สำหรับการบรรลุด่านจู้จี!” จั่วม่อยิ้มพลางกล่าวทักทาย แต่ด้วยคุณสมบัติไม่แสดงอารมณ์ของมัน ทำให้สีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” ใบหน้าของหลี่อิงฟ่งเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ ขณะที่นางตอบคำ “ข้าว่าคงอีกไม่นาน ก็น่าจะได้ยินข่าวดีของศิษย์น้องเช่นเดียวกัน” ในความเห็นของหลี่อิงฟ่ง ศิษย์น้องผู้นี้เพียงชมชอบเก็บตัวซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด นางจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อย หากมันสามารถบรรลุด่านจู้จีในเร็ววัน
ด้านหลังหลี่อิงฟ่ง เห็นศิษย์สตรีสามนางยืนชดช้อย เสี่ยวกั่วเป็นหนึ่งในนั้น
จั่วม่อรีบปฏิเสธ “ยังเร็วเกินไป ยังเร็วเกินไป ศิษย์พี่หญิงโปรดอย่าได้ล้อเล่นแล้ว”
ใบหน้ารูปผลผิงกว่ออันอ่อนโยนน่ารักของเสี่ยวกั่ว ยังคงมีแววขลาดอาย จั่วม่อจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ดูขวยเขินเอาจริง ๆ ฉวยโอกาสที่หลี่อิงฟ่งหันกลับไป มันลอบขยิบตาให้เสี่ยวกั่ว แน่นอนว่าใบหน้าของเสี่ยวกั่วพลันแดงวูบขึ้นมาตามที่คาดไว้
รอจนทุกคนนั่งลงเรียบร้อย หลี่อิงฟ่งก็ประกาศเจตนาของนาง “ที่มาในวันนี้ เพื่อขอความกรุณาจากศิษย์น้อง”
จั่วม่อรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ดูเหมือนจะพบเห็นความงงงวยของจั่วม่อ ไม่รอให้มันกล่าวถาม หลี่อิงฟ่งอธิบายพลางถอนหายใจเบา ๆ “เมื่อเข้าสู่ศิษย์ฝ่ายใน เกรงว่าข้าจะไม่มีเวลามาดูแลเหล่าพี่น้องของข้าอีกต่อไป และด้วยระดับการรุดหน้าของศิษย์น้องเจ้า ในสำนักไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ศิษย์พี่หญิงผู้นี้ได้แต่บากหน้ามาขอร้องเจ้าแล้ว”
จั่วม่อรีบกล่าว “ศิษย์พี่หญิง โปรดบอกมาเถอะ” ในไม่ช้าหลี่อิงฟ่งจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน ตราบใดที่มันหวังจะอาศัยอยู่ในสำนักกระบี่สุญตามากกว่าหนึ่งวัน ย่อมไม่กล้าล่วงเกินบุคคลเช่นนี้
หลี่อิงฟ่งหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมา วางลงบนโต๊ะหิน “นี่คือยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสอง ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากศิษย์พี่หญิงผู้นี้ ศิษย์น้องอย่าได้ปฏิเสธ วันหน้าหากศิษย์น้องมีเวลาว่าง โปรดสละเวลาไปยังดอยตะวันออกบ้าง ดูแลเรื่องราวของพวกนางสักเล็กน้อย การอยู่รอดของพวกนางไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หากประสบปัญหาเช่นเดียวกับคราวที่แล้ว ปราศจากความช่วยเหลือจากศิษย์น้อง พวกนางก็ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพาได้อีกแล้ว”
เบื้องหลังนาง เสี่ยวกั่วเบะปาก ขอบตารื้นขึ้นมาในทันที ศิษย์สตรีอีกสองนางก็ดวงตาแดงก่ำ
จั่วม่อลอบถอนหายใจอย่างชื่นชม หากเทียบกับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ต้าซือซยงผู้มีแต่เรื่องการฝึกตนอยู่ในหัวแล้ว หลี่อิงฟ่ง ต้าซือเจี่ยผู้นี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีอำนาจอิทธิพลมากกว่า ตอนนี้มันค่อยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าไฉนชื่อเสียงของนางในหมู่ศิษย์สตรีจึงสูงส่งนัก
(ต้าซือซยง – ศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นชาย , ต้าซือเจี่ย – ศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นหญิง)
ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จั่วม่อผลักถุงผ้ากลับไปยังหลี่อิงฟ่ง กล่าวว่า “ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงจะเป็นส่วนหนึ่งของมิตรภาพ ศิษย์พี่หญิงโปรดวางใจ ผู้น้องจะกระทำให้ดีที่สุด”
เสี่ยวกั่วเบิกตากว้างจ้องมองจั่วม่อ ศิษย์สตรีอีกสองนางก็มีสีหน้าแปลกพิกลยิ่ง พวกนางล้วนมิอาจเข้าใจ ไฉนคราวนี้เจ้าผีดิบจอมละโมบถึงกับเปลี่ยนแปลงบุคลิกไป?
หลี่อิงฟ่งส่ายศีรษะ ผลักถุงผ้ากลับมายังจั่วม่ออีกรอบ “ศิษย์น้องอย่าได้ปฏิเสธแล้ว สำนักจ่ายเงินสนับสนุนให้แก่ศิษย์ฝ่ายในทุกเดือน ดังนั้นศิษย์พี่หญิงผู้นี้ไม่ได้ขาดแคลนจิงสือ แต่ศิษย์น้อง เจ้าอยู่ไม่ไกลจากด่านจู้จี เกรงว่าอาจต้องการใช้งานในเร็ววันนี้ สมควรมีจิงสือติดตัวไว้บ้างจะดีกว่า”
สีหน้าแปลกพิกลของศิษย์สตรีสามนาง แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงในบัดดล
ด่านจู้จี? ศิษย์พี่ผีดิบอารมณ์ร้ายนี่หรือ จะบรรลุด่านจู้จีในเร็ววันนี้?
หากเรียกว่าใกล้เคียงด่านจู้จี อย่างน้อยมันต้องมีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดขึ้นไป พวกนางล้วนถูกข่มขู่จนลนลานด้วยวาจาของศิษย์พี่หญิง ในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก ผู้มีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว กระทั่งศิษย์พี่กัวหลูยังอยู่ที่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ดเท่านั้น
อีกทั้งในบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอก นอกเหนือจากหลี่อิงฟ่งผู้บรรลุด่านจู้จีแล้ว ศิษย์สตรีที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุด ยังอยู่เพียงด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่หก เช่นนี้เป็นว่าในเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมด หากไม่นับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง จั่วม่อผู้นี้นับว่ามีพลังฝึกตนสูงส่งที่สุดแล้ว
เจ้าหน้าผีดิบผู้นี้ ที่แท้ถึงกับรั้งลำดับที่สองในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก!
นี่เป็นความจริงที่พวกนางไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เดิมตั้งใจจะยกประโยชน์ให้แก่ศิษย์พี่หญิง แต่จั่วม่อรู้สถานการณ์ ไม่เกรงอกเกรงใจอีก เอื้อมมือไปหยิบถุงจิงสือขึ้นมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมากแล้วศิษย์พี่หญิง”
“สมควรเป็นข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณศิษย์น้อง” หลี่อิงฟ่งยิ้มพลางแจกแจงว่า “หลังจากข้าออกจากดอยตะวันออก เสี่ยวกั่วจะรับหน้าที่ติดต่อกับศิษย์น้อง นางนิสัยนุ่มนวลเชื่อฟัง ศิษย์น้องเจ้าก็อย่าได้รังแกนางมากเกินไป”
จั่วม่ออดหัวร่อไม่ได้ “ศิษย์พี่หญิงท่านกล่าวอันใด ผู้น้องปกติอารมณ์ดียิ่ง”
“เช่นนั้นก็ประเสริฐ” หลี่อิงฟ่งพยักหน้า แต่เสี่ยวกั่วที่ด้านหลังย่นจมูกน้อย ๆ อันน่ารักของนาง เห็นได้ชัดว่าคัดค้านคำกล่าวของจั่วม่อเต็มที่
หลี่อิงฟ่งหันกลับไปทำหน้าเข้มขรึม พลางสั่งศิษย์สตรีทั้งสามว่า “ต่อไปภายหน้า หากพวกเจ้าประสบปัญหาอันใด ให้มาหาศิษย์พี่จั่วม่อ มันจะช่วยพวกเจ้าแก้ไขเอง คำพูดของศิษย์พี่จั่วม่อเท่ากับคำพูดของข้า หากมีผู้ใดกล้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะลงโทษด้วยตัวข้าเอง”
“ทราบแล้ว ศิษย์พี่หญิง!” พวกนางขานรับเป็นเสียงเดียว
อย่างที่คาดหวังไว้จากต้าซือเจี่ย เพียงความอดทนกลั้นยินยอมแบกรับภาระนี้ ไม่มีศิษย์ผู้ใดในรุ่นเดียวกันสามารถเปรียบเทียบกับนางได้ จั่วม่ออดยกย่องอยู่ภายในใจไม่ได้
หลังจากสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ หลี่อิงฟ่งก็อำลาไปพร้อมกับศิษย์สตรีทั้งสาม
จั่วม่อจู่ ๆ ก็หมดความสนใจในการฝึกตน นี่เป็นสังคมที่มีระดับชั้นเข้มงวด เช่นศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ด่านจู้จี นางก็ต้องอำลาจากชีวิตเยี่ยงศิษย์ฝ่ายนอก นางต้องไขว่คว้าเป้าหมายที่สูงขึ้น ไม่ว่านั่นจะเป็นเป้าหมายของนางเอง หรือเป็นความต้องการของสำนักก็ตาม
ช่วงอายุขัยของปรมาจารย์จินตันยาวนานราวสามร้อยปี ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นเลี่ยนชี่ จู้จี หรือหนิงม่าย กลับไม่ได้มีความแตกต่างอันใด
สำนักขาดแคลนกำลังคนทดแทน ทั้งยังเป็นเช่นนี้มานานแล้ว
ทั้งเจ้าสำนักและอาจารย์อาทั้งสาม ทุกคนล้วนอยู่ในด่านจินตัน นี่คือเหตุผลพื้นฐานที่ทำให้สำนักรุ่งเรืองขึ้นในช่วงหลายปีมานี้
อย่างไรก็ตาม กระทั่งอาจารย์อาหญิงสือฟ่งหรงที่อายุน้อยที่สุด ยังล่วงเข้าไปร่วมสองร้อยกว่าปีแล้ว และในบรรดาศิษย์รุ่นถัดมา อย่าว่าแต่ด่านจินตัน กระทั่งด่านหนิงม่ายยังไม่ปรากฏแม้แต่คนเดียว
หากไม่มีผู้สืบทอดที่เก่งกาจ สำนักกระบี่สุญตาที่เดิมไม่ใช่สำนักใหญ่อยู่แล้ว จะประสบชะตากรรมตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นเขตปกครองใด สำนักที่ตกต่ำลงไปแล้ว การจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ยังยากเย็นกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก
มันไฉนจู่ ๆ ก็กลับกลายเศร้าโศกขึ้นมา?
จั่วม่อสะบัดศีรษะ ทันใดนั้น มันพลันนึกถึงหญ้ามังกรเพลิงระดับสาม ที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งฝากฝังให้มันดูแล ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเข้าสู่ด่านจู้จีแล้ว ศิษย์พี่เหวยเสิ้งสมควรใกล้อย่างยิ่งเช่นกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความปรารถนาที่จะเดินทางไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือกก็ก่อตัวขึ้น