บทที่ 20 ผู้งมงายกระบี่
จั่วม่อก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยขึ้นกล่าว “ศิษย์พี่กล้าได้กล้าเสีย ศิษย์น้องผู้นี้ชื่นชมยิ่ง แต่ท่านก็ทราบดีว่าหญ้ามังกรเพลิงต้นนี้ เป็นสมุนไพรปราณระดับที่สาม หากไม่สามารถปลูกมันลงในทุ่งปราณระดับที่สาม หรือเหนือกว่านั้น เกรงว่าพลังปราณธรรมชาติในต้นสมุนไพรนี้จะเหือดแห้ง และคุณภาพอาจลดระดับลง”
เหวยเสิ้งสีหน้าแปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แล้วพลันกลับเป็นปกติ ยิ้มพลางกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดเกินเหตุแล้ว”
เมื่อเทียบกับใบหน้าสงบราบเรียบของเหวยเสิ้ง สีหน้าเหล่าเฮยกลับดูวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย
จั่วม่อในใจไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง รีบเรียบเรียงคำพูดแล้วกล่าว “ที่จริงผู้น้องอาจพอมีหนทางอยู่บ้าง”
เหวยเสิ้งสะท้านขึ้น “โอ้ ศิษย์น้อง โปรดบ่งบอก”
“ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น ร้องขอให้ข้ารับผิดชอบดูแลสวนยาปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือก ข้าพบเห็นพื้นที่ว่างไม่น้อยอยู่ด้านในหุบเขา เราสามารถปลูกหญ้ามังกรเพลิงในพื้นที่ส่วนนั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่ข้าวิตกหากศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น กลับมาก่อนที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งท่านจะทะลวงสู่ด่านจู้จี เกรงว่าเรามิอาจหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาได้”
เหวยเสิ้งสีหน้ากลายเป็นเบิกบานใจ “หากเป็นเรื่องนี้ ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นกับศิษย์พี่หลัวหลี จะไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้”
จั่วม่อค่อยนึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่เหวยเสิ้ง คือข้ารับใช้กระบี่ของศิษย์พี่หลัวหลีเอง ไม่แน่ว่าศิษย์พี่ล่วงรู้ว่าบุรุษสตรีคู่นั้นไปยังที่ใดแล้ว สำหรับจั่วม่อ มันย่อมเต็มใจช่วยเหลือศิษย์พี่เหวยเสิ้ง แต่เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น จะไม่หวนกลับมาในระยะเวลาอันสั้น อารมณ์ของมันก็ขุ่นมัว
ระยะนี้ ทุกวันมันต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ คอยหวั่นเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดกับสวนยาปราณ มันคล้ายถือเผือกเผาร้อนลวกที่โยนทิ้งไม่ได้หัวหนึ่ง
สะบัดศีรษะชะล้างอารมณ์ จั่วม่อหัวร่อพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ประเสริฐ ข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้า ที่ศิษย์พี่จะบรรลุสู่ด่านจู้จี”
เหวยเสิ้งโบกมือ “นี่ยังกล่าวเร็วเกินไปแล้ว” จากนั้นมันเอาม้วนหยกออกมา ยื่นส่งให้จั่วม่อ “ศิษย์พี่ผู้นี้มิได้มีทรัพย์สมบัติมากมายอันใด ทั้งยังไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนศิษย์น้องเจ้า ม้วนคัมภีร์หยกนี้บันทึกประสบการณ์ของข้าในช่วงหลายปีมานี้ หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์ต่อศิษย์น้องบ้าง”
จั่วม่อตื่นเต้นยินดียิ่ง ที่ผ่านมามันฝึกฝนด้วยตัวมันเองมาโดยตลอด ไม่เคยมีผู้ใดให้สนทนาปรึกษาแลกเปลี่ยนความเข้าใจ ศิษย์พี่เหวยเสิ้งแม้พลังฝึกตนสูงกว่ามันไม่มาก แต่ประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจของศิษย์พี่ เป็นสิ่งที่จั่วม่อต้องการ ทั้งยังสามารถนำมาใช้ได้อย่างเหมาะเหม็ง
ดังนั้นมันไม่เกรงอกเกรงใจ หัวร่อร่อพลางรับม้วนหยกมา “ขอบคุณท่านมากแล้ว ศิษย์พี่”
ต่อจากนั้นพวกมันทั้งสามสนทนากันสักพัก เหวยเสิ้งกับเหล่าเฮยค่อยลุกขึ้นอำลา
———
รอจนทั้งสองคนจากไป จั่วม่อคว้าหญ้ามังกรเพลิงรีบวิ่งไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก สวนยาปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือกย่อมเป็นทุ่งปราณระดับที่สาม ซึ่งทำเอาจั่วม่อน้ำลายหยดมานานแล้ว มันอาจไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับสมุนไพรปราณมากนัก แต่มันทราบดีถึงราคาของข้าวปราณคุณภาพระดับที่สาม!
จั่วม่อเสาะหาพื้นที่ว่างที่เหมาะสม ปลูกหญ้ามังกรเพลิงลงไป จากนั้นร่ายเวทวิชาเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ประสิทธิผลของเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สี่เห็นได้ชัดเจนมาก หญ้ามังกรเพลิงฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็ว ลำต้นกิ่งใบ ล้วนเปล่งประกายสดใส
เห็นการสูบกลืนพลังปราณอันอุดมสมบูรณ์ในอากาศอย่างตะกละตะกลาม จั่วม่ออุทานสรรเสริญอยู่ในใจ ระดับที่สามสมกับเป็นระดับที่สามอย่างแท้จริง!
จากนั้นมันเดินวนตรวจตราทั่วสวนยารอบหนึ่ง เมื่อไม่พบปัญหาใด ก็รีบออกจากหุบเขาไป
ครั้นกลับมาถึงบ้าน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว นั่งลงบนหลังคา จั่วม่อพลันฉุกคิดขึ้นมา หากมันไม่สามารถสำเร็จ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ลมหายใจแรก ได้ภายในหนึ่งเดือน มันใช่เป็นต้นเหตุให้การเข้าสู่ด่านจู้จีของศิษย์พี่ล่าช้าออกไปหรือไม่?
แต่พอย้อนคิดอีกที หากมันเกิดล้มเหลวขึ้นมาจริง ๆ กระทั่งชีวิตตัวเองยังไม่อาจรักษาไว้ จะมัวมาใส่ใจอันใดกับเรื่องราวเหล่านี้เล่า?
ครั้นในหัวนึกถึงศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มือมันก็หยิบม้วนหยกม้วนนั้นออกมา ราวกับถูกกลไกควบคุม จากนั้นประจุพลังปราณลงไป
มันพบเห็นเนื้อหาภายในอย่างรวดเร็ว
ม้วนหยกบันทึกความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ของเหวยเสิ้งไว้อย่างละเอียดยิบ ตั้งแต่มันเริ่มออกเดินทางในวิถีฝึกตน เนื้อหากระจัดกระจายในหลายที่ ทั้งไม่ปะติดปะต่อ อาจเป็นไปได้ว่าศิษย์พี่นึกอันใดขึ้นได้ ก็บันทึกลงไปทันที
คำร่ำลือที่ว่าศิษย์พี่งมงายในกระบี่ ไม่ผิดไปเลย บันทึกเนื้อหากระจัดกระจาย ค้นไม่พบระบบระเบียบอันใด แต่ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับเซียนกระบี่
หลังจากอ่านอยู่ครู่หนึ่ง จั่วม่อหัวใจสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
“กระบี่นั้น เข้าสู่ท้องทุ่งแห่งความตาย ค้นหาชีวิตจากความตาย คล้ายทหารบาดเจ็บ ยึดมั่นปณิธานแห่งความตาย มุ่งไปไม่หวนกลับ จู่โจมด้วยพลังทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดมิอาจพิชิต!”
“เดินทางข้ามภูเขายามราตรี เผชิญพบค้างคาวยวนยางเลือดจำนวนยี่สิบตัว สู้รบหนักหน่วง ได้รับบาดเจ็บยี่สิบเอ็ดแห่ง ทั้งหมดถูกสังหาร”
“ข้างลำธารพบลิงเหล็ก ผิวหนังประหนึ่งเหล็กกล้า ดาบกระบี่ยากระคาย หลอกล่อศัตรูกว่าสองร้อยหลี่ ทิ่มแทงดวงตา ไม่เหลือเรี่ยวแรงไล่ล่า”
……
ข้อความเหล่านี้มักสั้นกระชับ แต่ความดุร้ายกับกลิ่นอายอันเด็ดเดี่ยว ล้วนส่งผ่านถ้อยคำออกมา ชีวิตและความตาย คือสองคำที่ปรากฏอยู่มากที่สุดในบันทึก ศิษย์พี่เหวยเสิ้งที่มันพบในวันนี้ กับศิษย์พี่เหวยเสิ้งในบันทึกม้วนหยก ดูราวกับเป็นคนละคนกัน
แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจใหญ่หลวงให้กับจั่วม่อ และทำให้มันตื่นตะลึงมากที่สุด กลับเป็นย่อหน้านี้
“เดินเท้าหนึ่งร้อยวัน สุดท้ายพบเห็นน้ำตกเก้าสายไหลลงมาจากฟากฟ้า จ้องมองจากเบื้องล่าง ถาโถม ม้วนคลั่ง ประหนึ่งอัสนีบาตเทพยดาจากเก้าชั้นฟ้า มโหฬาร ไร้ที่สิ้นสุด หนักหน่วง รุนแรง มิอาจต้านทาน ใจข้าปรารถนา หากกระบี่สามารถเป็นเช่นนี้ แม้ตายก็ไม่เสียใจ”
“นั่งจดจ้องสามเดือน ครุ่นคิดทั้งคืนวัน แต่เนื่องจากโง่เขลา มิอาจค้นพบความหมาย ยืนรองรับน้ำตกเจ็ดวัน ไม่หลับนอน ไม่ดื่ม ไม่กิน ทันใดนั้นพลันตระหนัก ดุจมัจฉากระโจนตามสายน้ำ ระหว่างโถมไปกับน้ำ หลงลืมความเป็นตาย จิตสำนึกกระจ่างแจ้ง ในที่สุดได้ค้นพบแก่นแท้! กระดูกหักสิบสามแห่ง นอนรักษาตัวครึ่งปี สูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน ดังนั้นได้แต่ฝึกฝนในจิตใจ... ...”
จั่วม่อพึมพำอย่างมึนงง “นี่คลุ้มคลั่งเกินไปแล้ว!”
ความเสียสติเยี่ยงนี้ ความงมงายถึงปานนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จั่วม่อเคยคิดมาก่อน
ภายใต้หมู่ดาว มันนั่งบนหลังคา มือถือม้วนหยกค้าง ความคิดกระเจิดกระเจิง
ในโลกของจั่วม่อ ไม่มีสิ่งใดทำให้มันเสียสติหรือลุ่มหลงงมงายได้ มันมีพรสวรรค์ไม่น้อยในสายเบญจธาตุ สามารถร่ำเรียนเวทวิชาได้อย่างรวดเร็ว ความคาดหวังในชีวิตของมันไม่สูงนัก มันทุ่มเทพากเพียร ร่ำเรียนและทำความเข้าใจเวทวิชาเบญจธาตุ เพียงเพื่อให้สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น
ความงมงายในกระบี่ของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง กลายเป็นแรงบันดาลใจอันไร้คู่เปรียบในวิญญาณของมัน มันสามารถพบเห็นหยาดเหงื่อและโลหิต อยู่เบื้องหลังแต่ละตัวอักษรเหล่านั้น
บางสิ่งในร่างกายมันคล้ายแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ทั้งยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เนิ่นนานหลังจากนั้น อารมณ์จั่วม่อค่อยสงบลง แต่มันไม่ต้องการหลับนอน ดังนั้นภายใต้ผืนฟ้าราตรี มันเริ่มฝึกฝนกระบวนท่ากระบี่ ตามเคล็ดกระบี่ที่อยู่ในม้วนหยก
มีเคล็ดกระบี่หลายชุดบันทึกอยู่ในม้วนหยก ล้วนเป็นกระบวนท่าที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเลือกเฟ้นจากเคล็ดกระบี่หลากหลาย ทั้งที่มันฝึกฝน และที่มันอ่านทุกวัน ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์ต่อสู้ แต่ละกระบวนท่าเหล่านี้เป็นประโยชน์ไม่น้อย ทั้งยังไม่ใช่กระบวนที่ดีแต่งดงามฉาบฉวย สามารถเริ่มต้นฝึกฝนได้ง่ายดายยิ่ง แต่น่าเสียดายที่จั่วม่อไม่มีกระบี่บิน ดังนั้นหลังจากร่ายรำกระบวนท่าอยู่สักครู่ มันก็ได้แต่นั่งลงตามเดิม
ครั้นพอนั่งลง จั่วม่อก็เริ่มวิเคราะห์[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อีกครั้ง
[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ลี้ลับคลุมเครือ แต่จั่วม่อยามนี้ไม่รู้สึกท้อแท้แม้แต่น้อย มันเพียงละอายใจ ความงมงายของศิษย์พี่เหวยเสิ้งกระตุ้นมันอย่างลึกซึ้ง หากเทียบกับศิษย์พี่เหวยเสิ้งแล้ว ปัญหาเล็กน้อยที่มันเผชิญยังนับเป็นอะไรได้?
ถูกแล้ว, หากผูเยาอยากเห็นความอัปยศอดสูของเกอ รอชาติหน้าเถอะ!
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จั่วม่อเริ่มเจาะลึก[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] ที่ทำให้มันอึดอัดใจอีกครั้ง
———
กาลเวลาเลื่อนผ่าน วันแล้ววันเล่า นอกจากไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือกวันละครั้งแล้ว จั่วม่อไม่ได้ย่างเท้าออกไปยังที่ใดเลย
ในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยานั่งฟังอินกุยอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนป้ายหินหลุมฝังศพ
จั่วม่อกัดฟันแน่น แต่ยังมุ่งตรงเข้าไป พลางปั้นเสียงประจบประแจงถามว่า “ผู, ที่แท้เคล็ดความหลักของ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ขั้นแรกคืออันใดกันแน่? ข้าโง่งมยิ่ง เจ้าสามารถบอกใบ้สักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
“ขั้นแรก? นี่ง่ายดายมาก ... มันไม่มีเคล็ดความหลัก!” ผูเยาตอบเหมือนไม่ได้ตอบ ไม่ได้เผยอเปลือกตาขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งยังคงฟังอินกุยอยู่ตามเดิม
มองอินกุยที่ผูเยาวางไว้ข้างเท้า จั่วม่อฉุกคิดว่าในเมื่อถามไม่ได้ผล ก็ต้องหลอกล่อกันบ้างแล้ว
มันรีบถาม “ผู, อินกุยนี้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
“น่าสนใจไม่น้อย” ผูเยาตอบอย่างไม่ตั้งใจ
“เจ้าไม่อยากได้อันที่ดีกว่านี้หรือ?” น้ำเสียงของจั่วม่อฟังคล้ายตาเฒ่าพิลึก ในมือถือผลไม้เชื่อมเพื่อล่อลวงเด็กหญิงตัวน้อย
ผูเยาเปิดตาขวาขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้ นัยน์ตาสีแดงลึกล้ำทอแววสนอกสนใจ “ย่อมต้องการ”
จั่วม่อส่ายศีรษะ “หากเจ้าช่วยอธิบาย[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] ข้าจะซื้ออันที่ดีกว่านี้ให้... ...”
“ข้าสามารถซื้อด้วยตัวข้าเอง” ผูเยาตอบอย่างไม่แยแส พลางหลับตาลงอีกครั้ง ฟังอินกุยต่อไป
จั่วม่ออ้าปากค้าง “เจ้ามีจิงสือด้วยหรือไร?”
“ย่อมไม่มี ฮา” ผูเยาตายังปิดสนิท สีหน้าเพลิดเพลิน ร่างกายโยกไปมาอย่างแปลกประหลาดตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังจากอินกุย
จั่วม่อถอนหายใจอย่างโล่งอก น้ำเสียงภาคภูมิใจ “หากไม่มีจิงสือ เจ้าย่อมมิอาจซื้อหาสิ่งใด”
ทันใดนั้นมันตัวเย็นเฉียบ พลันตระหนักขึ้นมา ด้วยความเข้มแข็งของผูเยา หากพยายามไขว่คว้าสิ่งใด นั่นไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ หรือหากต้องการขโมยสิ่งใด แน่นอนว่าย่อมไม่ทิ้งร่องรอยไว้
“ข้าย่อมไม่มีจิงสือ แต่เจ้ามีจิงสือ” ผูเยากล่าวพลางขยับตามจังหวะเสียงดนตรี
“เช่นนั้นเจ้าก็สอนข้า......” จั่วม่อใจชื้นขึ้น มันยังคงเน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างจิงสือกับอินกุยอันใหม่ ส่วนภายในใจกระซิบพึมพำ ‘ช่างโชคดีที่เจ้าผู้นี้ไม่ได้นึกถึงการใช้กำลังอันป่าเถื่อน’
ผูทะลุกลางปล้อง ขัดจังหวะจั่วม่อ ยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นจิงสือเต็มมือ “ข้าจะซื้อมันด้วยตัวข้าเอง”
จั่วม่อเหม่อมองอย่างโง่งม ไฉนจิงสือในมือผูเยาช่างดูคุ้นตานัก หลังจากงันไปชั่วครู่ มันจู่ ๆ ก็ตะเบ็งเสียงกรีดร้อง ประหนึ่งสัตว์ประหลาดที่คับแค้นสิ้นหวังตัวหนึ่ง
“เจ้าเหรินเยาบัดซบ! กล้าขโมยจิงสือของเหยีย เหยียจะฆ่าเจ้า... ...”
———
ข้างสระน้ำในหุบเขาหมอกเย็นเยือก จั่วม่อจ้องมองน้ำในสระอย่างขวัญหนีดีฝ่อ น้ำในสระเย็นเฉียบเสียดกระดูก มันทดลองสัมผัสด้วยมือหนหนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ฝ่ามือข้างนั้นยังคงแข็งทื่อไม่คลาย
เหลืออีกเพียงสามวันจะถึงกำหนดเส้นตาย มันยังคงไม่มีปัญญาล่วงผ่านประตูของลมหายใจแรก ผูเยายังดูคล้ายไม่แยแสสนใจ จั่วม่อตระหนักดี เจ้าผู้นี้หาได้ใส่ใจไม่ว่ามันจะเป็นหรือตาย แต่จะอย่างไรในช่วงหลายวันมานี้ จั่วม่อไม่ใช่ว่าจะอยู่นิ่งเฉย มันครุ่นคิดหาวิธีจนพบทางออก และยามนี้ มันคิดจะทดลองดู ว่าวิธีการนี้ใช่ใช้งานได้จริงหรือไม่
แต่...
กระทั่งน้ำตกที่ถาโถมลงมาตลอดเวลา ยังไม่อาจระงับความเย็นเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วสระ นี่มันเพียงยืนอยู่ด้านข้าง ยังสามารถรู้สึกถึงความหนาวเหน็บอันทารุณนั้นได้
จั่วม่อเลียริมฝีปากอย่างวิตก หากเป็นไปได้มันมิได้อยากทดลองวิธีการนี้ แต่มองไปมองมา เหลืออีกเพียงสามวันเท่านั้น มันหาได้มีทางเลือกอื่นใด
ยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ พยายามทำใจให้เข้มแข็ง หลับตา แล้วกระโดดลงไปในสระ
น้ำในสระเย็นเยียบเสียดกระดูกถึงขีดสุด ราวกับจะแช่แข็งทั้งร่างในฉับพลัน มันสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายแข็งทื่อหนักราวก้อนหิน จมลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง น้ำไหลท่วมจมูกปากและโสตประสาท โลกภายนอกคล้ายถูกกีดกั้นไว้ เงียบงันจนมันได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
หลังจากตื่นตระหนกตอนแรกเริ่ม จั่วม่อรีบสงบใจลง จากนั้นบังคับลมหายใจให้เคลื่อนไปตามหลักการของ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกน้ำอันเย็นเฉียบกระตุ้นหรือไม่ แต่ความคิดมันตื่นตัวแจ่มแจ้งอย่างผิดปกติ การไหลเวียนของลมหายใจก็ราบรื่นอย่างพิสดาร
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เมื่อลมหายใจสายนี้ค่อย ๆ ใช้จนหมดสิ้น ความรู้สึกลมหายใจขาดห้วงก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
จั่วม่อยกระดับสติสัมปชัญญะของมันขึ้น มันทราบดีว่าช่วงที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึง ที่ผ่านมาในแต่ละครั้ง ขั้นตอนช่วงนี้เองที่มันมักจะเปิดปากหายใจโดยไม่รู้ตัว
ใน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]มิได้อธิบายรายละเอียดในขั้นตอนนี้มากนัก ราวกับว่าในสายตาของผู้ฝึกตนที่คิดค้นเคล็ดวิชานี้ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ง่ายดายที่สุดกระนั้น