บทที่ 2 ม้วนคัมภีร์หยก
ภายใต้แสงไฟลอยละล่อง ทุกหนแห่งดูเลือนรางดุจดั่งภาพฝัน ตงฝูในม่านรัตติกาลยังเฉิดฉายมิต่างอันใดกับยามทิวาวาร
โคมไฟสองข้างถนนสว่างไสว สดใสและอ่อนละมุน ได้ยินเสียงเห่า ระคนเสียงกรีดแหลมของสัตว์ปราณดังแว่วลงมาจากฟากฟ้า แสงสีจากเหล่ายุทธภัณฑ์เวท กระพริบพราวพรายยิ่งกว่าฝนดาวตก อากาศเย็นเยือกของยามค่ำ มิได้ทำให้ฝูงชนลดน้อยลง แต่กลับส่งผลให้ยิ่งพลุกพล่าน พ่อค้าเต็มไปด้วยพลังงานล้นปรี่ ลูกจ้างของแต่ละร้านสวมใส่อาภรณ์ประจำร้าน ยืนเฝ้าอยู่สองข้างประตูทั้งซ้ายขวา ผู้หนึ่งถือกระดิ่งทองแดง อีกผู้หนึ่งถือกระจกปากว้าสีเงิน
(กระจกปา-กว้า : กระจกแปดเหลี่ยม)
ลูกจ้างสั่นกระดิ่งทองแดง เสียงใสกระจ่างดังกังวานไปทั่ว ดุจแฝงไว้ด้วยมนตรา “ร้านข้าขายยุทธภัณฑ์เวท สินค้าชั้นเลิศ ราคาย่อมเยา ไม่ว่าท่านจะเพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรในด่านเลี่ยนชี่ หรือท่านจะเป็นจินตันมากพลังฝีมือ ร้านนี้สามารถตอบสนองทุกสิ่งที่ท่านต้องการ”
บนกระดิ่งทองแดงสลักอาคมที่ทำให้เสียงก้องกังวาน ฟังชัดเจน ระดับเสียงพอเหมาะพอควร ทั้งนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองโสตประสาท ดังนั้นแม้ว่าจะได้ฟังซ้ำเป็นเวลานาน ผู้ฟังก็จะไม่รู้สึกเสียอารมณ์แต่อย่างใด
ลูกจ้างที่ถือกระจกปากว้าก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันเรียกใช้อาคมของกระจกออกมาในเวลาเดียวกัน กระจกปากว้าส่องประกายขึ้นเหนือศีรษะ ภาพลวงตาสามมิติเริ่มฉายแสง มายาภาพเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างสมจริง เมื่อเสียงกระดิ่งแปรเปลี่ยน ภาพก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน นี่เป็นเวทอาคมมายาภาพที่สามารถล่อลวงให้ผู้อื่นแทบหลงเชื่อว่าเป็นจริง
ร้านค้าเรียงรายสองฟากฝั่งถนน บ่อยครั้งที่ลูกจ้างร้านค้าฝั่งตรงข้ามกัน มักจะขึงตาใส่กัน แล้วแข่งกันเขย่ากระดิ่งระรัว พร้อมแสงประกายจากกระจกปากว้า ส่องวูบวาบไม่หยุดยั้ง
นี่เป็นฉากที่พบเห็นได้ทั่วไปตลอดความยาวของช่วงถนน
“เอ้า เร่เข้ามา สวรรค์ลับคุณภาพระดับห้า พื้นที่ห้าร้อยผิง ภายในมีน้ำพุปราณหนึ่งแห่ง เปี่ยมล้นด้วยพลังงานปราณธรรมชาติ ไม่ว่าจะใช้ปลูกข้าวปราณ ปลูกหญ้าปราณ หรือเลี้ยงสัตว์ปราณ รับรองว่าท่านจะได้รับผลผลิตที่ดีเยี่ยม เพียงสองล้านชิ้นจิงสือระดับห้าเท่านั้น อย่าได้พลาดเป็นอันขาด การค้าอันดีงามเยี่ยงนี้ ต่อไปอาจไม่มีอีกแล้ว”
“ทางนี้ ทางนี้ ร้านนี้ขายสมุนไพรปราณระดับสูงทุกชนิด ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปี คุณภาพของร้านข้าย่อมเชื่อถือได้มากที่สุด เม็ดยาทั้งหมดของร้านข้า ผ่านการตรวจสอบโดยปรมาจารย์ปรุงยาอาวุโส จากสำนักปรุงยาเทียนซิน ก้าวเข้ามา อย่าได้ลังเลที่จะซื้อ!”
“เจ้าต้องการทดสอบเพื่อเข้าร่วมสำนักกระบี่เอกอักษรเลิศล้ำหรือไม่? หอฝึกสอนของข้าเปิดรับศิษย์ตลอดทั้งปี สอนเวทวิชาพื้นฐานทุกชนิด ทั้งยังได้ร่ำเรียนเป็นส่วนตัว กับเซียนกระบี่อาวุโสจากสำนักกระบี่เอกอักษรเลิศล้ำเอง รับประกันว่าสามารถผ่านการทดสอบตั้งแต่ครั้งแรก ยังลังเลอันใด? เข้าร่วมเลย หากสมัครทันทีจะได้รับส่วนลดสิบห้าส่วนในร้อยส่วนอีกด้วย”
และนี่คือนครไร้ราตรี เมืองหลักตงฝู!
สำหรับเมืองหลักที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ จั่วม่อมิใช่คนแปลกหน้า แต่ก็มีบางส่วนไม่ค่อยคุ้นเคย มันไม่ได้มาเยือนบ่อยนัก หากไม่มีนกกระเรียนกระดาษบินได้ การเดินทางมายังตงฝูหาใช่เรื่องง่ายไม่
ที่จริงปลายถนนที่งดงามที่สุดนี้ สมควรมีทางแยก จั่วม่อจ้องมองอย่างงุนงง ... มันหลงทาง
บัดซบ! หลงทางอีกแล้ว!
มันตบหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
จั่วม่อเดินไปยังต้นไทรอย่างจนแต้ม มันเงยหน้าขึ้น บนกิ่งไทรเห็นนกน้อยสีแดงเกาะอยู่เต็มพรืด นกน้อยเหล่านั้น ทั้งร่างเป็นสีแดงสด หางยาวสีแดงเข้ม เวลาพวกมันบิน คล้ายมีไฟลุกไหม้ทอดยาวตามหลังไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกเรียกว่านกเปลวเพลิง
พวกมันเฉลียวฉลาด ทั้งยังเข้าใจภาษามนุษย์ หลายเมืองมักใช้พวกมันแทนป้ายบอกทาง อีกทั้งมันยังสามารถนำทาง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การรับใช้ที่ไม่เสียเงินทอง
ดุจคมมีดกรีดลงกลางใจจั่วม่อ ขณะที่กลั้นใจโยนจิงสือระดับหนึ่งออกไปหนึ่งชิ้น นกเปลวเพลิงตัวหนึ่งกางปีกพรึบ ถลาลงจากต้นไม้ พอดีงับจิงสือชิ้นนั้น กลืนลงท้องทันที
“ตลาดเสรี” จั่วม่อตะโกนบอก
เจ้านกเปลวเพลิงบินวนเป็นวงบนหัวมันสองสามรอบ แล้วเริ่มออกบิน
จั่วม่อรีบตามมันไป นกน้อยไม่ได้บินเร็วนัก ขนหางยาวแต้มประกายแดงเรืองรองให้กับท้องฟ้ายามราตรี
แสงสีแดงกระจายพร่างกลางเวหา และจางหายไปทันตา ในขณะที่เดินผ่านถนนที่มีโคมไฟสว่างไสว ฟังเสียงร้องเรียกเร่ขาย และมองภาพมายาที่เปลี่ยนไปมาสองฟากฝั่งถนน จั่วม่อจ่อมจมอยู่ในความเงียบงัน และเริ่มนึกถึงความรู้สึกที่เพิ่งลืมตาตื่น ในยามที่ฟื้นคืนสติเมื่อสองปีก่อน
หัวใจของมันทอดถอนละห้อยหา ความโศกศัลย์อ่อนจางแผ่ซ่านไปทั่ว
ยามนั้น เสียงร้องสดใสของเจ้านกพลันปลุกมันตื่นจากภวังค์ พอเห็นตลาดเสรีที่อยู่ไม่ไกล อารมณ์ของจั่วม่อก็โลดขึ้น นกเปลวเพลิงบินวนเป็นวงส่งท้ายอีกสองสามรอบ ก่อนจะหันหลังบินจากไป ทิ้งประกายแสงสีแดงเป็นทางไว้เบื้องหลัง จั่วม่อโบกมืออำลานกเปลวเพลิงตัวนั้น
ตลาดเสรีเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมเป็นอันมาก จากเหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำ เหตุที่มันเรียกว่าตลาดเสรี เนื่องเพราะไม่ว่าผู้ใดก็สามารถตั้งแผงลอย และขายสินค้าของตัวเองได้ พวกมันเพียงแค่ต้องซื้อห้องน้อยสักห้อง รวมทั้งชำระค่าธรรมเนียมบางอย่าง ก่อนที่จะสามารถค้าขายได้อย่างอิสระ ราคาของห้องน้อยย่อมเยากว่าร้านค้าที่มีหน้าร้านถาวรมาก โดยปกติเมื่อเก็บห้องน้อยนี้ มันจะมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ สะดวกต่อการพกพา ผู้ฝึกตนจำนวนมากมักจะซื้อไว้คนละห้อง พกติดตัวไปทั่ว จากนั้นพวกมันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่หลับที่นอน แม้ว่าจะออกไปค้างแรมนอกเมืองก็ตาม
ซื้อสินค้าที่นี่มักจะได้ราคาย่อมเยากว่าร้านค้าทั่วไปมาก แต่บางทีต้องเสียเวลาค้นหาสินค้าที่ต้องการ
ตลาดเสรีคล้ายกระดานหมากรุกขนาดมหึมา แบ่งย่อยออกเป็นช่องตารางสี่เหลี่ยม แต่ละช่องตารางวางห้องน้อยได้สิบห้อง โดยแบ่งเป็นสองแถว แถวละห้าห้อง หันหลังชนกัน
จั่วม่อพบจุดหมายปลายทางของมันอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ม่อเกอ ท่านมาแล้ว!” เจ้าของร้านเป็นบุรุษหนุ่มวัยไม่เกินยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด เจ้าผู้นี้ศีรษะแหลม ดวงตากลอกกลิ้ง มันเรียกว่าฟู่จิน (ชำระเงินทอง) ไร้พรสวรรค์ พลังฝีมือธรรมดาสามัญ ทั้งยัง ไม่ค่อยสนใจในการฝึกตนนัก มันติดค้างอยู่ที่ขั้นสามของด่านเลี่ยนชี่ ดังนั้นจึงตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจการค้า ฟู่จินกลับมีความสามารถในการบริหารจัดการ และรู้จักมักคุ้นกับผู้คนจำนวนมาก มันมีสินค้าพื้นฐานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับต่ำ หรือเวทวิชาบางอย่าง มันสามารถจัดหาให้ท่านได้
จั่วม่อไม่มีถ้อยคำไร้สาระ “สิ่งที่ข้าต้องการได้มาแล้วหรือไม่?”
“แน่นอน แน่นอน” ฟู่จินตบอกผอม ๆ พลางหัวร่อ “สิ่งที่ม่อเกอท่านต้องการ ข้าไม่กล้าไม่ใส่ใจอยู่แล้ว”
จบคำทักทาย ฟู่จินหันไปคุ้ยถุงผ้าใบเล็ก ข้างเอวของมัน จั่วม่อจ้องถุงผ้าใบนั้นด้วยความอิจฉาตาร้อน ถุงผ้าเล็ก ๆ นั้นดูผิวเผินไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่อันที่จริงมันคือถุงร้อยสมบัติระดับที่สาม
แต่แล้วดวงตาของจั่วม่อ พลันถูกดึงดูดอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนไปจ้องวัตถุขนาดเล็กในมือของฟู่จินแทน เห็นชิ้นหยกสีเขียวแผ่นย่อม ส่วนกว้างเท่าหนึ่งนิ้วมือ ส่วนยาวสองนิ้วมือ นี่ย่อมเป็นม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่ง
“แต่ว่า ม่อเกอ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่านก่อน ม้วนคัมภีร์หยกเพาะปลูกพืชปราณนี้ บันทึกไว้ด้วยห้าชนิดของเวทวิชาสายเบญจธาตุ แต่ทราบหรือไม่ มีผู้คนไม่มากที่สามารถเรียนรู้มันได้อย่างสมบูรณ์” ฟู่จินกล่าวอย่างจริงจัง “อาศัยเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สามของม่อเกอท่าน เหตุใดไม่เจาะจงซื้อเวทวิชาสายวารีธาตุเล่า? อย่าเพิ่งตำหนิว่าข้าแส่มากความ ข้าเพียงแต่พบเห็นมาหลายปี และเข้าใจดี ว่าหากฝึกฝนวิชาเดียวจนเชี่ยวชาญแล้วไซร้ ก็เพียงพอที่จะเอาชนะได้ทั้งหมด”
จั่วม่อตอบอย่างเคร่งขรึม “ขอบใจเจ้ามาก ฟู่เสี่ยวเกอ” (พี่ชายน้อยฟู่ - เสี่ยวเกอเป็นคำเรียกคนอายุน้อยกว่าแบบยกย่อง)
ฟู่จินห่วงกังวลแทนมัน มันย่อมเข้าใจดี
เห็นจั่วม่อยังคงเด็ดเดี่ยว ฟู่จินก็มิได้เซ้าซี้ร่ำไร เพียงยื่นส่งม้วนคัมภีร์หยกให้แก่มัน “เช่นนั้นมาว่าราคาเถอะ ยี่สิบชิ้นจิงสือระดับสองเป็นอย่างไร?”
จั่วม่อก็มิได้รีรอขัดข้อง ยื่นจิงสือส่งให้อย่างตรงไปตรงมา
ยี่สิบชิ้นของจิงสือระดับสองถือได้ว่าเป็นการค้าครั้งสำคัญ ฟู่จินอารมณ์ดีขึ้นมาก แย้มยิ้มไม่หุบปากพลางกล่าวกระเซ้าว่า “ม่อเกอท่าน หากสามารถเรียนรู้เวทวิชาในคัมภีร์เล่มนั้นทั้งหมด ท่านอาจกลายเป็นเกษตรกรปราณอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นอย่าลืมน้องชายผู้นี้ก็แล้วกัน”
จั่วม่อหัวร่อ มันโบกมือด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ “ขอบใจสำหรับวาจารื่นหูของเจ้า ฟู่เสี่ยวเกอ แต่หากต้องการเป็นเกษตรกรปราณ จะต้องฝึกฝนเวทวิชาสายธาตุที่แตกต่างกันสามธาตุ แต่ละวิชายังต้องบรรลุถึงขั้นที่สาม นั่นหาได้ง่ายดายไม่”
จิงสือส่วนใหญ่ของมันถูกใช้เกือบหมดแล้ว แต่จั่วม่อไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจ มันเก็บม้วนคัมภีร์หยกยัดใส่อกเสื้ออย่างระมัดระวัง นี่คือสมบัติล้ำค่าของมัน
แม้ว่าการเดินทางในเวลากลางคืนจะยากลำบาก แต่จั่วม่อยังเตรียมกลับไปที่ภูเขาหลังจากได้รับม้วนคัมภีร์หยก เพราะหากพักค้างคืนที่ตงฝูมันจะต้องจ่ายเงินอีก
เมื่อปราศจากน้ำหนักถ่วงของข้าวปราณ เสี่ยวหวงก็กลายเป็นตัวเบาปราดเปรียว แม้ว่าจะบรรทุกน้ำหนักจั่วม่ออยู่ก็ตาม และมันยังคงส่งเสียงครืดคราดไปตลอดทาง ที่บินตรงกลับไปยังเทือกเขาสุญตา
เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงที่พักในภูเขาสุญตา นั่นเป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว
จั่วม่อนอนเหยียดยาวบนหลังคาภายใต้แสงดาว ร่างกายปวดร้าวไปทั้งตัว นิ้วมือคีบม้วนคัมภีร์หยก ถือไว้ตรงหน้า ดวงตาหรี่แคบลง ไม่อาจบรรยายความพึงพอใจออกมาเป็นวาจาได้
ภายใต้ดินแดนแห่งแม่น้ำกระบี่ ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ทำการกสิกรรม ในสำนักกระบี่สุญตาเอง ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากกว่าเจ็ดสิบในร้อยส่วน เลือกทำเกษตรเมื่อต้องเลือกหน้าที่การงานของพวกมัน สำนักยังมอบเคล็ดวิชาบางอย่างให้ เพื่อช่วยในการทำเกษตรกรรม เคล็ดเมฆฝนหล่นรินก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่เหล่านี้เป็นเพียงเวทวิชาขั้นพื้นฐานที่สุด ควรทราบว่าสำนักกระบี่สุญตา เป็นสำนักเซียนกระบี่สำนักหนึ่ง พวกมันมีเคล็ดวิชากระบี่มากมาย แต่สำหรับเวทวิชาประเภทอื่น จำนวนรวมของวิชาเหล่านั้นเรียกได้ว่าน่าเวทนายิ่ง
การกสิกรรมเป็นหัวข้อที่ทั้งลึกซึ้งและไพศาล จั่วม่อใช้เวลาสองปีเต็มในฐานะศิษย์ฝ่ายนอก มันย่อมมีประสบการณ์อันลึกล้ำในข้อนี้
ม้วนคัมภีร์หยกประกอบด้วยเวทวิชาสายธาตุ จำนวนห้าประเภท วิชาทั้งหมดล้วนเป็นเวทวิชาที่ใช้ในการทำเกษตรกรรม หนึ่งในนั้นยังเป็นเคล็ดเมฆฝนหล่นริน เมื่อเห็นเช่นนี้ หินหนักที่เคยถ่วงในหัวใจจั่วม่อก็ร่วงลง นี่ช่างคุ้มค่าสมราคายิ่ง! การอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลึกซึ้งกว่าสิ่งที่มันล่วงรู้
ฟู่จินมิได้กล่าวผิด การเชี่ยวชาญในสิ่งเดียว สมควรปฏิบัติได้จริงมากกว่า แต่จั่วม่อย่อมมีแผนการของมันเอง
หากมันสามารถสำเร็จเวทวิชาเบญจธาตุ ครบทั้งห้าธาตุ และหากสามวิชาในห้าธาตุบรรลุถึงขั้นที่สาม มันจะมีคุณสมบัติกลายเป็นเกษตรกรปราณทันที อันที่จริง หากเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของมัน ไม่ได้เข้าถึงขั้นที่สาม จั่วม่อจะไม่บังเกิดความคิดอาจหาญเช่นนี้เลย แต่ยามนี้ มันเมื่อสามารถบรรลุเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม นั่นหมายความว่า มันย่อมมีพรสวรรค์ในเวทวิชาสายเบญจธาตุอยู่ไม่น้อย
หากจั่วม่อมอบข้าวปราณทั้งหมด เพื่อแลกกับแต้มคุณูปการของสำนัก บางทีอาจได้รับเคล็ดวิชากระบี่ดี ๆ สักวิชา
แต่มันหาได้ทำเช่นนั้นไม่ มันจะต้องการวิชากระบี่ไปเพื่ออันใด? ตัดไม้ ผ่าฟืน?
ในทางตรงกันข้าม เวทวิชากสิกรรมสามารถเป็นประโยชน์กับมันมากกว่า แม้ไม่อาจเรียนรู้จนครบถ้วนกระบวนความ แต่ยิ่งมันเรียนรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสามารถมากเท่านั้น ตัวสำนักอาจไม่มีพื้นที่มากนัก แต่ทุ่งปราณที่ไม่ได้ใช้เพาะปลูกกลับมีอยู่ทุกหนแห่ง ด้วยทุ่งปราณที่เพียงพอ มันสามารถปลูกข้าวปราณมากขึ้น และได้รับจิงสือมากขึ้น
คิดไปคิดมา สมองของจั่วม่อพลันตื่นตัว ความง่วงเหงาหายวับไปหมด
มันลุกขึ้นนั่ง แล้วเหยียดแขน ใช้ฝ่ามือสัมผัสใบหน้า กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมันแข็งทื่อ ทั้งหยาบกระด้างประดุจท่อนไม้ นี่เป็นเหตุผลที่มันไม่สามารถแสดงอารมณ์ใด ๆ
มันย่อมไม่สนใจเรื่องความงามหรืออัปลักษณ์ แต่มันใส่ใจเรื่องอื่น
แสงดาวอ่อนจางทอดลงที่กลางลาน สะท้อนแสงสีเงินระยับ ประหนึ่งสายหมอกหนาวเหน็บของราตรีกาลที่เริ่มหนักหนาขึ้น ความโศกเศร้าก็ยิ่งเข้มข้นในดวงตา บนใบหน้าอันปราศจากความรู้สึกของจั่วม่อ
เมื่อสองปีก่อน ยามนั้นเจ้าสำนักกระบี่สุญตากำลังเดินทางกลับสู่สำนัก ท่านพบจั่วม่อผู้สลบไสลไม่ได้สติ และนำมันกลับมายังสำนักด้วย เมื่อจั่วม่อฟื้นขึ้นมา มันพบว่าความทรงจำของตัวเองว่างเปล่า แม้ว่าตลอดสองปีต่อมา เพียรพยายามทำทุกวิถีทาง แต่ไม่เคยจำสิ่งใดก่อนหน้าสองปีนั้นได้
ต่อมาจั่วม่อพบความผิดปกติบนใบหน้าของตัวเอง ใบหน้ามันแข็งทื่อเหมือนหิน ไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ เจ้าสำนักกล่าวว่านี่อาจเป็นโรคประหลาดที่พบเห็นได้ยาก และเนื่องจากใบหน้านี้เอง ในตอนแรกเริ่มมันไม่ได้รับการยอมรับจากศิษย์ร่วมสำนัก ต้องประสบความคับข้องใจไม่น้อย
แต่มันไม่ได้เกลียดชังใบหน้านี้แต่อย่างใด ใบหน้านี้เป็นหนึ่งในสองเบาะแส ที่เชื่อมโยงกับอดีตอันรางเลือนของมัน อาจบางที สักวันใบหน้าไม้แข็งทื่อนี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำของมันก็เป็นได้
ข้าคือผู้ใด? บ้านของข้าอยู่แห่งหนใด?
ส่วนอีกเบาะแสหนึ่ง ย่อมเป็นความฝันที่มักปรากฏขึ้นบ่อย ๆ
เสียงนั้นคือผู้ใด? มันต้องไม่ลืมเลือนสิ่งใด?
กระนั้นมันกลับลืมสิ้นทุกอย่าง!
ทอดถอนลึกในหัวใจ จั่วม่อสะบัดศีรษะ ราวกับจะสลัดความคิดทั้งมวลออกจากหัว มันหยิบอินกุยขึ้นมาจากด้านข้าง พลางประจุพลังปราณลงไป
(อินกุย - มีความหมายประมาณว่าเครื่องรางเสียง เอาง่าย ๆ เลย มันคือวิทยุ)
อินกุยเป็นหนึ่งในยุทภัณฑ์เวท ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกของผู้ฝึกตน มันประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยม และแผ่นหยกกลม สลักชุดยันต์อาคมเรียบเรียงเสียง สามารถรับการส่งผ่านเสียงจากชุดยันต์อาคมเรียบเรียงเสียงที่มีขนาดใหญ่กว่า อินกุยของจั่วม่อเป็นหนึ่งในรุ่นมาตรฐานที่สุด ส่วนฐานทำมาจากไม้หนานมู่ (ไม้สนซีดาห์) รองรับก้อนหยกขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากประจุพลังปราณลงไป พื้นผิวของก้อนหยกจะส่องประกาย แสงหลากสีจะกระพริบผ่าน จากนั้นสุ้มเสียงอันไพเราะค่อยดังออกมา
“ที่มหานครนภาโลหิต ความขัดแย้งรุนแรงระเบิดขึ้นอีกครั้ง สิบสองค่ายผู้ฝึกตนเผชิญกับการโจมตีครั้งใหญ่จากฝ่ายอสูรปิศาจพร้อมกัน มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก”
“สำนักกระบี่โจวติ้ง (รอบคอบมั่นคง) ค้นพบเขตปกครองใหม่ หลังจากสำรวจแล้วพบชีพจรปราณปฐพีอุดมสมบูรณ์ ตามรายงานกล่าวว่า มีมากกว่าสิบห้าสำนักที่ได้ส่งผู้ฝึกตนระดับสูง เข้าสู่พื้นที่ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เนื่องจากมีชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาของทาสฝึกตนในตลาดอาจลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
“หลังจากสังหารปรมาจารย์ซีม๋อต๋า ยอดฝีมือเลื่องชื่อแห่งเผ่าอสูร สำนักกระบี่ซีซางแห่งเขตปกครองซางตะวันตก ได้นำขนนกชีวิตของมันมาหลอมสร้างเป็นกระบี่บิน วันนี้กระบี่บินหลอมสร้างเสร็จสิ้น มีเสียงร่ำลือว่ายามที่กระบี่ปรากฏออกมา พลังกระบี่ถึงกับพลุ่งพล่านไปไกลกว่าสิบหลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมสร้างยังกล่าวว่ากระบี่ขนนกทองคำเล่มนี้ เป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับเจ็ดที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย สำนักกระบี่ซีซางได้รับศาสตราอันทรงพลังเล่มใหม่”
ภายใต้มวลหมู่ดารา จั่วม่อนิ่งฟังอย่างเงียบงัน เมื่อครั้งที่มันเพิ่งฟื้นขึ้นมาในช่วงแรก ๆ อินกุยหยาบกระด้างเครื่องนี้ช่วยให้มันค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวในโลกใบนี้ทีละน้อย
ตั้งแต่นั้นมา มันก็ติดนิสัยชอบฟังเสียงจากอินกุยทุกวัน
เมื่อใดที่มันหงุดหงิดรำคาญใจ จะเปิดอินกุยฟังเงียบ ๆ จากนั้นอารมณ์จะสงบลง
ภายใต้ทะเลรัตติกาลอันมืดมน แสงดาวทอประกายระยิบ ผีดิบตนหนึ่งนั่งเงียบ ๆ บนหลังคา และฟังเสียงจากอินกุยดั่งต้องมนตรา