บทที่ 19 ศิษย์พี่เหวยเสิ้ง
(เหวยเสิ้ง - ชัยชนะแซ่เหวย)
ภายใต้สายลมเย็นฉ่ำโชยชายเป็นระลอก จั่วม่อฝึกฝนกระบวนท่าดัชนีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ละนิ้วรางเลือน แปรเปลี่ยนสุดหยั่ง รวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่แล้ว จู่ ๆ ก็พลันหยุดกึกด้วยเสียงอันคมชัด แล้วกลับสู่สภาพประกบแนบชิด ราวกับไม่เคยเคลื่อนไหวมาก่อน
ผิดพลาดหนนี้เป็นรอบที่เจ็ดแล้ว การฝึกฝนกระบวนท่าดัชนีวันนี้ มันไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่รอบเดียว
จั่วม่อระบายลมหายใจออกยาวนาน พยายามระงับความหงุดหงิดใจ กระบวนท่าในเคล็ดสารพันพฤกษ์ลึกล้ำยากหยั่งถึง หากจิตใจไม่สงบ มักเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย
แต่จะให้มันสงบใจได้อย่างไรเล่า? นี่ก็ผ่านล่วงไปสองเดือนแล้ว มันยังไม่มีปัญญาบรรลุการสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรก และที่ทำให้ยิ่งท้อแท้หนักกว่าเดิม คือกระทั่งมองยังมองไม่เห็น ว่าประตูแห่งความสำเร็จสมควรอยู่ในทิศทางใด
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามันจะฝึกฝนเคล็ดเมฆฝนหล่นริน หรืออีกสี่เวทวิชาที่ซื้อหามา แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในทันที แต่อย่างน้อยยังรู้ทิศทางที่ควรมุ่งไป
แต่หลังจากที่เยียวยารักษาจิตสำนึกจนทุเลาหายดี กลับไม่พบหนทางที่สมควรไปต่อ มันอยากทุ่มเทเวลาฝึกฝนมากขึ้น แต่กระนั้น ในหนึ่งวันกลับไม่สามารถฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]เกินกว่าสองชั่วยาม ในลูกกลมแสงของผูเยาไม่ได้บ่งบอกชัดเจน ว่าไฉนไม่ควรฝึกฝนเกินเวลาที่กำหนด แต่จั่วม่อเดาว่ามันอาจก่อให้เกิดอันตรายอันไม่พึงประสงค์บางประการ มันไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
หากยึดถือตามแนวทางในลูกกลมแสง จั่วม่อจะต้องหยุดการหายใจผ่านจมูกปากอย่างสิ้นเชิง จากนั้นจึงจะสามารถเข้าสู่การหายใจด้วยร่างกาย เพื่อสูดปราณก่อนกำเนิดได้
แต่ไม่ว่าจะพยายามปรับลมหายใจของตนอย่างไร สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดก็มักจะทำให้มันเปิดปากขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจทุกหน ไม่แม้แต่เฉียดเข้าใกล้สภาพการหายใจของทารกในครรภ์
กล่าวได้ว่าในสองเดือนมานี้ นอกจากการที่จิตสำนึกของมันหายดีแล้ว มันไม่ได้มีความคืบหน้าอื่นใด
สำหรับเวลาที่เหลือในแต่ละวัน จั่วม่อได้แต่ฝึกฝนเวทวิชาอื่น นี่เองทำให้มันค้นพบอย่างประหลาดใจ ว่าพลังปราณกับเวทวิชาของมัน ล้วนพากันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสามวิชานอกเหนือจากเคล็ดเมฆฝนหล่นริน กับเคล็ดทองคำคร่ำคร่า ภายในช่วงเวลาสองเดือนสั้น ๆ มันสามารถยกระดับขึ้นถึงขั้นที่สองครบหมดทั้งสามวิชา
ด้วยระดับความรวดเร็วระดับนี้ กระทั่งตัวมันเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อ
แต่นอกเหนือจากความยินดีแล้ว จั่วม่อก็ยังคงกังวลไม่เสื่อมคลาย [เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ไม่มีความคืบหน้าใด เหลืออีกเพียงเดือนเดียว ก็จะถึงกำหนดเส้นตายสามเดือนแล้ว ไม่ทราบว่าภาวะเลือดตลบย้อนกลับ จะน่าสะพรึงกลัวดังที่ผูเยากล่าวไว้หรือไม่ มันไม่แน่ใจ แต่คำพูดเหล่านี้ก็ทำให้มันรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง
จั่วม่ออุตส่าห์บากหน้าไปลองขอคำชี้แนะจากผูเยา แต่เจ้าผู้นั้นกลับเยาะหยันยียวนมันในทันที มันเดือดดาลจนแทบกระอัก
มิทราบว่าด้วยเหตุอันใด จั่วม่อมักบังเกิดโทสะอย่างง่ายดาย ยามอยู่ต่อหน้าผูเยา
ปีนี้ข้าวปราณของจั่วม่อเก็บเกี่ยวได้อย่างอุดมสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับศิษย์พี่น้องอื่น ๆ ผลผลิตของมันสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าข้าวปราณของมันจะได้รับผลกระทบ จากภัยพิบัติโรคระบาดครั้งนั้นก็ตาม แต่สถานการณ์ของมันยังดีกว่าเหล่าเฮยกับอีกหลายคนมาก
ตอนนั้นหลังจากโรคระบาดหายไป มันไม่พยายามปกปิดความสามารถของมันอีก เคล็ดสารพันพฤกษ์ เคล็ดปราณพิภพ และเคล็ดทองคำคร่ำคร่า ล้วนถูกนำมาใช้เต็มกำลังความสามารถ มีเพียงเคล็ดอัคคีสีชาดเท่านั้นที่ไม่อาจใช้งาน เนื่องจากเป็นพลังงานด้านตรงข้ามกับคุณลักษณะหยินของข้าวปราณ
เมื่อรวมกับทุ่งนาห้าหมู่ในลานบ้าน จำนวนผลผลิตทั้งหมดถึงกับเกินความคาดหมายของมัน
จั่วม่อหักข้าวปราณออกส่วนหนึ่งสำหรับจ่ายค่าเช่าที่นาแก่สำนัก มันยังเก็บไว้อีกส่วนสำหรับรับประทานเอง นอกเหนือจากนั้นล้วนขายออกหมดสิ้น รายได้ของมันเป็นจำนวนหกสิบสองชิ้นจิงสือระดับสอง เมื่อรวมกับสิบห้าชิ้นจิงสือระดับสอง ที่ได้รับจากหลี่อิงฟ่งคราวที่แล้ว สินทรัพย์ทั้งหมดของมันรวมทั้งสิ้นมีถึงเจ็ดสิบเจ็ดชิ้นจิงสือระดับสอง เหตุผลที่ว่าปีนี้มีกำไรมาก ยังมาจากการที่ราคาของข้าวปราณทะยานสูงขึ้นอีกด้วย
แม้กระทั่งเหล่าเฮยผู้ประสบภัยพิบัติร้ายแรง ยังมีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าที่นาให้แก่สำนัก เป็นที่คาดคำนวนได้ว่าราคาของข้าวปราณในตลาด เติบโตขึ้นมากเพียงใด
อีกสิ่งหนึ่งที่จั่วม่อวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย คือเรื่องของศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นกับศิษย์พี่หลัวหลี กระทั่งถึงตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่กลับคืนสู่สำนัก ไม่กี่วันมานี้ มันเริ่มตรวจพบว่าสมุนไพรปราณบางชนิดในหุบเขาหมอกเย็นเยือก เริ่มส่อเค้าลางไม่ค่อยดีนัก การดูแลสมุนไพรปราณเป็นงานที่พิถีพิถันไม่น้อย ยังต้องเอาใจใส่ยิ่งกว่าการดูแลข้าวปราณมาก เคล็ดเมฆฝนหล่นรินของมันต่อให้ล้ำเลิศเพียงใด เพียงสามารถรับประกันปริมาณน้ำที่พอเพียงสำหรับสมุนไพรปราณ ซึ่งในมุมมองของการเพาะปลูก นี่เป็นเพียงความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
ในระยะเวลาอันสั้นอาจยังไม่พบเห็นปัญหาเด่นชัดอันใด แต่หากเนิ่นนานไป เกรงว่ามิอาจเลี่ยงข้อผิดพลาดแล้ว
ในยามนี้จั่วม่อรู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วง แม้ว่าถุงเงินของมันจะโป่งพองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มันไม่มีความเบิกบานใจอันใด
[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อันบัดซบ!
ห่าวหมิ่นกับหลัวหลีที่น่าชิงชัง!
และเจ้าผูเยาที่น่าตายสองหน!
ไฉนคนใจดีอย่างเกอ ต้องเผชิญพบกับมารร้ายเหล่านี้? จั่วม่ออยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
ช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจาก[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]แล้ว จั่วม่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดฝึกฝนเคล็ดทองคำคร่ำคร่า
ในบรรดาห้าเวทวิชาที่จำเป็นสำหรับเกษตรกรปราณ อย่างน้อยต้องมีสามวิชาที่บรรลุขั้นที่สาม สำหรับมันเคล็ดเมฆฝนหล่นรินลอยลำเข้าสู่ขั้นที่สี่เรียบร้อยแล้ว และในหมู่สี่วิชาที่เหลือ วิชาที่เข้าใกล้ขั้นที่สามมากที่สุดย่อมเป็นเคล็ดทองคำคร่ำคร่าเอง
แต่วันนี้จั่วม่อไม่มีอารมณ์จะฝึกฝนเคล็ดทองคำคร่ำคร่าแม้แต่น้อย มันเบิกตากว้าง ในหัวทบทวนทุกถ้อยคำของ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อย่างดุเดือด หากใบหน้ามันสามารถแสดงอารมณ์ได้ ยามนี้คงบิดเบี้ยวยับย่นจนเกือบจะพันกันไปแล้ว
อีกหนึ่งเดือน!
เหลืออีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น!
จั่วม่อเม้มปาก ไตร่ตรองทุก ๆ ถ้อยคำอย่างถี่ถ้วน การเยาะเย้ยของผูเยา กระตุ้นความดื้อรั้นในกระดูกของมันขึ้นมา
เจ้าบ้าบัดซบ!
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดจั่วม่อค่อยเข้าใจ ว่าไฉนมักถูกผูเยาปั่นหัวได้อย่างง่ายดาย
ผูเยาสามารถฉีกทึ้งตัวตนจอมปลอมของผู้คนดุจฉีกกระดาษ มันจะใช้ทั้งลูกล่อและลูกชน ทั้งควบคุม ทั้งชี้นำอารมณ์ของผู้อื่น แล้วลากเอาสันดานขั้นพื้นฐานของมนุษย์ออกมา
และสำหรับคนเจ้าเล่ห์เช่นผูเยา เพียงการสบถด่าอันที่จริงไม่อาจยั่วยุมันได้ ดังนั้นจั่วม่อไม่ต้องพยายามควบคุมอารมณ์เดือดดาลอีกต่อไป หากมันไม่ก่นด่าระบายอารมณ์เสียบ้าง เกรงว่าภายใต้การโจมตีของเจ้าเหรินเยาที่น่าตายนั่น มันคงได้อัดอกตายไปเองในไม่ช้า
สำหรับความทุกข์ทรมานเล็กน้อยที่อาจตามมา มันหาได้ใส่ใจไม่ ต่อให้มันยินยอมเชื่อฟังหรือกล่าววาจาดีงาม เจ้าผูเยายังจะเมตตามันหรือ? เรื่องนี้ต่อให้ผู้ใดใช้หัวแม่เท้าคิด ก็ยังทราบคำตอบที่ชัดเจน ดังนั้นการเอาคืนด้วยวาจา ก่นด่าสาปแช่งเจ้าผู้นั้นเสียบ้างไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยยังทำให้มันรู้สึกดีขึ้นมาก
เกอเป็นต้นหญ้าเล็ก ๆ ไม่ว่าเจ้าจะทุบตีเช่นใด เจ้าไม่อาจเหยียบย่ำให้เกอศิโรราบลง!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งร้อน
“เสี่ยวม่อเกอ เสี่ยวม่อเกอ!”
เป็นเสียงเหล่าเฮย มันไฉนมาถึงที่นี่?
จั่วม่อควบคุมความหงุดหงิดในใจ ลุกขึ้น แล้วเปิดประตู
พอประตูเปิดกว้างออกมา เป็นใบหน้ากร้านแดดลมของเสี่ยวเฮยดังคาด ทว่ามีบุรุษที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างมัน
เห็นหน้าจั่วม่อ เหล่าเฮยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “โชคดีที่เจ้าอยู่!”
กล่าวจบมันก็แนะนำบุรุษด้านข้าง “นี่คือศิษย์พี่เหวยเสิ้ง”
เหวยเสิ้ง! จั่วม่อตกตะลึงอยู่บ้าง บุรุษแปลกหน้ากลับเป็นศิษย์ลำดับแรกในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก นามเหวยเสิ้ง มันอดลอบมองประเมินไม่ได้
คนไม่สูงนัก ไหล่บ่าหนาและกว้าง หน้าสี่เหลี่ยม คิ้วเข้มหนา คล้ายสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา แต่ดวงตาที่สาดประกายแหลมคมออกมาเป็นบางคราว ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูแคลนมัน
“ศิษย์พี่เหวยเสิ้ง!” จั่วม่อคำนับทักทาย ศิษย์พี่เหวยเสิ้งแม้ไม่ค่อยปรากฏตัว แต่ศักดิ์ศรีของมันในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกสูงส่งยิ่ง หากสามารถคบหาสมาคมกับบุคคลเช่นนี้ สมควรมีแต่ประโยชน์ และไม่มีข้อเสียหายอันใด
เหวยเสิ้งพินิจจั่วม่อแวบหนึ่ง ก่อนจะคารวะตอบ พลางยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง
“ศิษย์น้องจั่วม่อ งำประกายมิดชิดจริง ๆ”
จั่วม่อตกใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายค้นพบพลังฝึกตนของมัน เนื่องเพราะพลังฝึกตนของศิษย์พี่เหวยเสิ้งสูงล้ำกว่ามัน ได้แต่กล่าวถ่อมตนว่า “ศิษย์พี่ชมเชยเกินไปแล้ว มา ๆ ศิษย์พี่เชิญเข้ามาคุยกันด้านในเถอะ”
ทั้งสามเดินเข้าไปยังลานกว้าง
เหวยเสิ้งเพ่งพิศไปรอบด้าน กล่าวอย่างชื่นชมว่า “ลานอันกว้างขวางนัก!”
ส่วนสองตาของเหล่าเฮยกลับถูกตรึงอยู่ที่ทุ่งนาปราณ มันนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะคร่ำครวญว่า “ไฉนข้าไม่เคยนึกถึงหนทางนี้! ที่นี่ใช่ได้รับการยกเว้นค่าเช่าหรือไม่?”
จั่วม่อหัวร่อพลางตอบว่า “ข้าเพียงได้รับอานิสงค์เท่านั้น ไม่เคยทราบว่าศิษย์พี่ท่านใดเป็นผู้สร้างที่นี่ แล้วยังหักร้างถางพงทุ่งนาปราณไว้อีกห้าหมู่ แต่น่าเสียดายที่ถูกทอดทิ้งไว้นานเกินไป ระดับคุณภาพถึงกับลดลงไปหนึ่งระดับ เฮ้อ แต่ทุ่งนาปราณระดับแรกก็ยังดีกว่าไม่มีอันใดเลย”
เหล่าเฮยมีสีหน้าเศร้าใจ “น่าเวทนาทุ่งนาปราณดี ๆ ต้องมาเสียเปล่า”
จั่วม่อไม่กล่าววาจา มันไม่ทราบสมควรกล่าวอันใด เหล่าเฮยใช้ชีวิตอยู่กับการเพาะปลูกมายาวนาน สำหรับกับทุ่งนาปราณ มันมักจะมีความผูกพันเป็นพิเศษ
“ทั้งลานบ้านล้วนแล้วแต่เป็นทุ่งนาปราณ ศิษย์น้องจั่วม่อดูท่าจะคลั่งไคล้การเพาะปลูกไม่เบา เช่นนั้นข้าสมควรมาหาไม่ผิดคนแล้ว” เหวยเสิ้งกล่าว
ทั้งสามนั่งลงใต้ต้นไม้ต้นเก่า จั่วม่อต้มน้ำชงชาอย่างรวดเร็ว เคล็ดอัคคีสีชาดของมันเพิ่งจะเข้าถึงขั้นที่หนึ่ง เพียงสามารถควบรวมลูกไฟเล็ก ๆ ซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่เมื่อใช้จุดไฟชงชา มันสะดวกอยู่ไม่น้อย
“ศิษย์พี่หาข้าด้วยเหตุอันใด?” จั่วม่อไม่อ้อมค้อม ตรงเข้าหาจุดประสงค์หลัก “ท่านเผชิญปัญหาเช่นไร? ศิษย์น้องผู้นี้แม้พลังฝีมือจำกัด แต่หากเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าย่อมยินดีกระทำ”
เหวยเสิ้งก็ไม่เกรงอกเกรงใจ “ที่ข้ามาวันนี้ มีเรื่องบางประการมารบกวนศิษย์น้องจริง ๆ” มันค่อยหยิบกล่องหยกออกจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นเปิดกล่องหยก การไหลเวียนของพลังปราณอันหนาแน่นพลุ่งออกมา เห็นสมุนไพรต้นหนึ่งวางอยู่ภายใน สมุนไพรนั้นยาวเกือบหนึ่งฉื่อ ใบสีแดงเพลิงมีเส้นใบสีหมึกพาดผ่าน ตรงข้ามกับใบสีแดงเพลิง เป็นผลไม้สีเขียวสมบูรณ์แบบผลหนึ่ง
หากกล้ามเนื้อบนใบหน้ามันไม่เป็นอัมพาต ยามนี้สีหน้าของจั่วม่อคงน่าดูชมยิ่ง สมุนไพรปราณที่มันไม่อาจระบุนาม เปี่ยมล้นไปด้วยพลังปราณอันน่าตื่นตะลึง มันหยิบสมุนไพรปราณขึ้นมาอย่างระมัดระวัง วางลงตรงหน้าสายตาเพื่อทำการตรวจสอบ พืชปราณนี้ราวกับถูกแกะสลักขึ้นจากหยกเพลิงแดง ทั้งโปร่งใสและเรืองแสง
แน่นอนว่าไม่ต่ำกว่าระดับที่สาม!
ช่วงหลังมานี้ จั่วม่อต้องช่วยดูแลสวนยาปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือก แทนศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น ความรอบรู้ด้านสมุนไพรปราณกว้างขวางขึ้นมาก มันอาจไม่สามารถระบุนามของสมุนไพรปราณต้นนี้ แต่ดูจากรูปลักษณ์และพลังปราณที่แผ่ซ่านออกมา เจ้าสิ่งนี้ถึงกับเหนือล้ำกว่าสมุนไพรปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือกแทบทั้งหมด
“สิ่งนี้เรียกว่าหญ้ามังกรเพลิง มันเป็นสมุนไพรปราณระดับที่สาม ชนิดหายาก และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ครอบครอง” เหวยเสิ้งอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยังมีเวลาอีกช่วงหนึ่งก่อนที่ข้าจะบรรลุถึงด่านจู้จี ในเวลานี้ ข้าอยากรบกวนให้ศิษย์น้องช่วยเลี้ยงดูหญ้ามังกรเพลิงต้นนี้แทนข้า”
“เลี้ยงดู?” จั่วม่อประหลาดใจ และตอบสนองในฉับพลัน “ศิษย์พี่ ใช่ต้องการใช้หญ้ามังกรเพลิงเพื่อทะลวงขึ้นสู่ด่านจู้จีหรือไม่?”
หากเหวยเสิ้งไม่ได้กล่าวว่าสิ่งนี้คือหญ้ามังกรเพลิง จั่วม่ออาจไม่สามารถจดจำมันได้ มิทราบเพราะว่าเจ้าต้นนี้มีคุณภาพระดับที่สามหรือไม่? หญ้ามังกรเพลิงต้นนี้ จึงแตกต่างกับหญ้ามังกรเพลิงในความทรงจำของมันอยู่มาก
“ใช่แล้ว” เหวยเสิ้งพยักหน้า สีหน้าสงบราบเรียบ
ที่ด้านข้าง จั่วม่อกับเหล่าเฮยอดเผยสีหน้าเลื่อมใสไม่ได้ ควรทราบว่ามีสมุนไพรปราณหลากหลายชนิดที่จำเป็นต่อการบรรลุสู่ด่านจู้จี แต่มีสมุนไพรหลักไม่กี่ชนิดที่เป็นกุญแจสำคัญ
หญ้ามังกรเพลิงเป็นหนึ่งในนั้นเอง แต่มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะต้องบริโภคดิบ ๆ โดยไม่ผ่านการปรุงกลั่น อีกทั้งผลกระทบของมันรุนแรงมาก หากเป็นผู้ฝึกตนที่จิตใจอ่อนแอ อาจไม่สามารถทนต่อผลกระทบอันรุนแรงนี้ได้ และเป็นเหตุให้พลังปราณของมันเหือดหายไป หลายปีมานี้ มีไม่กี่คนที่กล้าใช้หญ้ามังกรเพลิงเพื่อทะลวงขึ้นสู่ด่านจู้จี
แต่กระนั้น แม้ว่าหญ้ามังกรเพลิงไม่ต่างอันใดกับยาพิษชนิดหนึ่ง แต่หากผู้ใดสามารถเอาชัยมันได้ จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อพลังฝึกตนของตนเอง ผลที่ได้รับยังเหนือล้ำกว่าสมุนไพรปราณสามัญทั่วไปมาก
แต่นี่คือหญ้ามังกรเพลิงคุณภาพระดับที่สาม ผู้ใดสามารถบอกได้ว่าผลกระทบของมันจะรุนแรงถึงขั้นใด!
เพียงสนทนาไม่กี่คำ จั่วม่อรู้สึกนับถือศิษย์พี่ผู้เพิ่งเคยพบหน้าอย่างจริงจังผู้นี้ยิ่ง
มันเคยได้ยินคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ว่ากันว่าศิษย์พี่เป็นกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากถูกนำตัวเข้าสู่สำนัก มันหลงใหลงมงายในวิถีแห่งเซียนกระบี่ และเพื่อที่จะร่ำเรียนเคล็ดกระบี่ที่ดียิ่งขึ้น มันไม่ลังเลที่จะยอมตนเป็นข้ารับใช้กระบี่ของศิษย์พี่หลัวหลี
เมื่อได้พบหน้ากันในวันนี้ จั่วม่อพบว่าศิษย์พี่เหวยเสิ้งยังเหลือล้ำกว่าชื่อเสียงเสียอีก