ตอนที่แล้วบทที่ 17 ผู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 ศิษย์พี่เหวยเสิ้ง

บทที่ 18 น้ำแกง


ภายในห้องสันโดษ จั่วม่อนั่งเข้าฌานด้วยท่านั่งดอกบัว (คล้ายๆขัดสมาธิเพชรบ้านเรานั่นแล)

มันฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อย่างบ้าคลั่ง [เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อันบัดซบ!

เจ้าบัดซบผูเยา!

มันก่นด่าสาปแช่งเจ้าคนวิกลจริตดังระงม เมื่อคืนหลังจากระเบิดอารมณ์ออกมา แน่นอนว่าหลังจากนั้น มันก็ถูกทารุณกรรมอย่างไร้ความปราณี จิตสำนึกของมันบาดเจ็บหนักอีกครั้ง ถูกผูเยาฉีกทึ้งเป็นชิ้น ๆ ผลกระทบของบาดแผลในจิตสำนึกนั้นเจ็บปวดกระชากหัวใจนัก ยามนี้มิต้องให้ผูเยากระตุ้นเตือน มันก็ย่อมต้องโหมฝึกฝน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]อย่างคลุ้มคลั่ง

จนกระทั่งหัวเย็นลงบ้างแล้ว จั่วม่ออยากร่ำไห้เป็นกำลัง คืนนั้นมันไม่สมควรไปยังทุ่งนาปราณจริง ๆ

มันนึกถึงผูเยา ความเจ้าเล่ห์เลือดเย็นของเจ้านั่น สามารถเจาะทะลวงลึกถึงกระดูก ไม่ผิดอันใดกับงูพิษค่อย ๆ เลื้อยพันขึ้นมาในขากางเกงของมัน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างไม่อาจควบคุม

การสั่งสอนอย่างทารุณที่มันประสบเมื่อคืน ทำให้จั่วม่อรู้แจ้งอย่างลึกซึ้ง ถึงช่องว่างของพลังอำนาจอันห่างชั้นระหว่างพวกมัน และมันไม่มีปัญญาข้ามไปได้

เจ้าคนวิกลจริต สติวิปลาส ที่แข็งแกร่งนัก!

จั่วม่อได้แต่ทอดถอนอย่างขมขื่น อนาคตของมันช่างมืดมนยิ่ง

เจ้าผู้นั้นหาได้มีกุศลเจตนาตั้งแต่แรก เริ่มจากทะเลดำในตอนต้น ตามมาด้วยปราณกระบี่เล่มนั้น จากนั้นจิตวิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บ แล้วค่อยมอบ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ให้ ทีละขั้น ทีละตอน มันเป็นเพียงลูกแกะที่ถูกต้อนเข้าสู่เงื้อมมือมารโดยไม่รู้ตัว

        โอ เจ้าจั่วม่อผู้น่าสงสารเอ๋ย มันคิดเพียงแค่มีเพื่อนบ้านอารมณ์บูดอาศัยอยู่ในนั้น ไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นอสูรปิศาจชั่วร้ายตนหนึ่ง

หากก่อนหน้านี้จั่วม่อเพียงแค่สงสัย ยามนี้มันค่อยแน่ใจเต็มร้อยส่วน ว่าผูเป็นอสูรปิศาจอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนอกเหนือจากอสูรปิศาจแล้ว ผู้ใดจะชั่วร้ายได้ถึงปานนี้?

ออกจากฌานสมาธิอย่างเชื่องช้า ด้วยสภาพประหนึ่งปฐมโกลาหล ก่อนการก่อเกิดทั้งมวล จั่วม่อเปิดตา ค่อย ๆ ระบายลมหายใจที่ไหลเวียนในร่าง ออกสู่อากาศ

ลมหายใจนี้ทั้งต่อเนื่องทั้งยาวนาน พอพวยพุ่งออกไป ลมหายใจก็ควบรวมหนาแน่นราวกับหัวลูกศร

จั่วม่อค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง จะอย่างไร[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]ยังนับว่าวิเศษยิ่ง ความเจ็บปวดในจิตวิญญาณมันทุเลาลงมาก อีกทั้งยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณมั่นคงขึ้น ทั้งที่ยามผูเยาสะบัดนิ้วจี้ใส่มันเมื่อคืน จิตสำนึกของมันแทบจะแตกสลายไปเสียแล้ว

มันมิทราบว่า[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]มีต้นกำเนิดจากที่ใด เนื้อความคลุมเครือ ยากเข้าใจ อีกทั้งไวยากรณ์ที่ใช้ยังแตกต่าง ตรงข้ามกับม้วนคัมภีร์หยกที่จั่วม่อเคยซื้อมา มันทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย ยังแทบไม่สามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาบทแรกได้

จั่วม่อไม่คิดจะเข้าไปถามผูเยา บทเรียนจากเลือดและน้ำตาสอนมันมากเกินพอ ว่าการพยายามใช้ประโยชน์จากเจ้าผู้นั้น เท่ากับยื่นคอเข้าไปรอให้อีกฝ่ายเชือดเฉือนเอาตามใจชอบ

[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] บทแรกเรียกว่า [บทจิตวิญญาณตั้งมั่น] กล่าวถึงวิธีการเข้าฌาน การควบกลั่นจิตวิญญาณ และการสร้างความมั่นคงให้กับจิตสำนึก

นี่ย่อมเป็นสิ่งที่มันปรารถนาที่สุดในยามนี้ หลังจากรับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง จิตสำนึกของมันแทบจะแตกสลายเป็นชิ้น ๆ หากไม่อาจเยียวยารักษาได้ในเร็ววัน เกรงว่าหลังจากนี้ มันอาจต้องกลายเป็นคนเสียสติ หรือพิการปัญญาอ่อนแล้ว

ส่วนวลีว่า‘สูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรก’ที่ผูเยากล่าวไว้ นั่นหมายถึงความสามารถที่จะใช้ทั่วทั้งร่างกาย สูดลมหายใจเข้าไปแทนจมูกปาก

ลมปราณก่อนกำเนิด คือแก่นหลักของ[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] ที่จริงมันเป็นเคล็ดวิชาบำเพ็ญตนขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งยังเป็นเคล็ดกำหนดลมหายใจที่จั่วม่อไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

กล่าวกันว่าลมหายใจแรกเริ่มของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นตอนเป็นทารกในครรภ์ ทารกในครรภ์ไม่จำเป็นต้องใช้จมูกปากในการหายใจ แต่อาศัยการเปิดจุดช่องชีพจรทั่วร่าง สูดรับอากาศเส้นบาง ๆ ดูดซึมเข้ามาทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเส้น ทีละสาย แล้วแพร่กระจายลมหายใจเหล่านี้ไปตามเส้นทางเฉพาะ จากนั้นสายธารอากาศหลายร้อยเส้นนี้จะไหลเวียนไปทั่วร่าง ผสานรวมกัน แล้วหายใจออกทางจมูกและปาก ถือเป็นหนึ่งวงจร

จุดช่องชีพจรบนร่างประดุจดวงดาวในห้วงจักรวาล ล้วนไม่อาจหยั่งวัดได้ จมูกและปากถือเป็นช่องที่ใหญ่ที่สุด ตามด้วยเหล่าจุดชีพจรบนร่างกาย ส่วนใหญ่เล็กละเอียด จนไม่สามารถมองเห็นจุดช่องชีพจรที่กระจายอยู่ทั่วร่าง

จั่วม่ออยากรู้อยากเห็นไม่น้อย ว่าผู้อาวุโสที่สร้างเคล็ดวิชานี้ ไฉนคิดค้นวิธีการอันพิสดารเช่นนี้ขึ้นมาได้ อย่างที่กล่าวกันว่าสิ่งที่เหมือนกันย่อมอยู่ด้วยกัน เคล็ดวิชาที่ผูเยา เจ้าคนเสียสติวิปริตจิตฟั่นเฟือนนั่นโยนออกมา ย่อมวิปลาสไม่ผิดอันใดกับตัวมัน

จั่วม่อยังไม่พบหนทางสำเร็จการหายใจด้วยร่างกายทั้งหมด นั่นคือมันยังเข้าไม่ถึงระดับสูดปราณก่อนกำเนิดลมหายใจแรก

คำกล่าวของผูเยาย่อมมิใช่เพียงคำข่มขู่โคมลอย เรื่องนี้ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนใน[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด] สองสามวันที่ผ่านมา จั่วม่อยังคงใช้จมูกปากหายใจอยู่เช่นเดิม แต่ไม่ว่าอันใดก็ตาม เรื่องสำคัญลำดับแรก ย่อมเป็นการรักษาเสถียรภาพให้กับจิตวิญญาณของมัน หากปล่อยให้จิตวิญญาณไม่มั่นคงต่อไปเรื่อย ๆ เกรงว่าเพียงความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราว ก็เพียงพอจะเอาชีวิตน้อย ๆ ของมันไป

แต่เมื่อจิตสำนึกของจั่วม่อเริ่มมีเสถียรภาพขึ้นบ้าง มันต้องกลับมาเผชิญกับปัญหาเดิมอีกครั้ง คือทำเช่นไรมันจึงจะสำเร็จการหายใจด้วยร่างกายได้

ลมหายใจแรก คำนี้เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้า ของบทนำเข้าสู่[เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด]เลยทีเดียว

กำหนดเส้นตายสามเดือน เป็นเหมือนเงาทะมึนที่ปกคลุมในหัวใจมัน

เมื่อจั่วม่อนึกถึงแสงแห่งความวิกลจริตในสายตาของผูเยา ยามที่พูดถึงเรื่องการลงทัณฑ์ทรมาน มันก็แน่ใจยิ่ง ว่าหากไม่สามารถสำเร็จลมหายใจแรกได้ภายในสามเดือน มันจะต้องเผชิญชะตากรรมเลือดลมตลบย้อนกลับโดยไร้หนทางเลี่ยง เจ้าผูเยาเฝ้าดูอย่างสนอกสนใจจากด้านข้าง เพื่อรอเพลิดเพลินในยามที่มันจะประสบความเจ็บปวด

โอ ชีวิตที่แสนเศร้า!

จั่วม่อกัดฟันแน่น ก่นด่าเหรินเยาซ้ำ ๆ ในใจ ไฟโทสะลุกฮือโหม

ทันใดนั้น ข่าวจากอินกุยก็กระตุ้นความสนใจของมันในฉับพลัน

“ในเดือนนี้ราคาข้าวปราณยังคงเพิ่มสูงขึ้น หลังจากสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเดือนที่แล้ว ความต้องการข้าวปราณคุณภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ราคาข้าวปราณคุณภาพต่ำพลอยเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน... ...”

จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง ราคาข้าวปราณเพิ่มขึ้น! ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นข่าวดีที่สุด ที่มันได้ยินในช่วงสองสามวันมานี้

จู่ ๆ ผูเยาก็โผล่ออกมา “เจ้าสิ่งนี้น่าสนใจจริง ๆ”

จั่วม่อตาเบิกกว้าง ตะลึงงันอยู่เป็นครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ชี้ไปที่ผูเยา ละล่ำละลักถาม “เจ้า เจ้า... ... เจ้าออกมาได้อย่างไร?”

ผูเยากระพริบตาขวาสีแดงเข้ม “ไฉน ไฉน ไฉนข้าจะออกมามิได้?”

“มิใช่ว่าเจ้าอยู่ได้แต่ในทะเลแห่งจิตสำนึกหรอกหรือ?” จั่วม่อถามอย่างโง่งม

“แล้วผู้ใดบอกเจ้าเช่นนั้น?” ผูเยาหันกลับมาถาม สีหน้างงงัน

จั่วม่อพูดไม่ออก ในใจมันคร่ำครวญอย่างหวนโหย ดูเหมือนว่าแม้แต่อำนาจต่อรองอันน้อยนิดอย่างสุดท้าย ก็ยังจะหายไป เจ้าผู้นี้สามารถออกมาได้จริง ๆ ... ...

ผูเยานิ่งฟังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะอ้าปากกว้าง “โอ้ ดูเหมือนสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง”

“สงคราม?” จั่วม่อไม่อาจเข้าใจได้

ผูเยาก็ไม่เสียเวลาอธิบาย มันกวาดเอาอินกุยเข้าไปในแขนเสื้อ พลางกล่าวเสียงรางเลือน “สิ่งนี้เป็นของข้าแล้ว” หางเสียงยังไม่ทันจะจางลงด้วยซ้ำ มันก็หายไปพร้อมกับอินกุยสุดรักของจั่วม่อ

“บัดซบ เจ้าเหรินเยาที่น่าตาย!” จั่วม่อคำรามด้วยโทสะ ดังก้องไปทั่วลานอันว่างเปล่า

ในเวลานี้เอง มันพลันได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู

จั่วม่อแปลกใจไม่น้อย เป็นผู้ใดกัน? ปกติไม่มีใครมาหามันถึงที่นี่ มันวิ่งไปเปิดประตู ค่อยพบเห็นใบหน้าชวนเวทนาของเสี่ยวกั่วลอยเด่นอยู่ด้านนอก

นางประคองหม้อดินเผาด้วยสองมือ พอเห็นจั่วม่อ ร่างน้อยก็ถอยกลับในฉับพลัน พลางเอ่ยทักทายอย่างเหนียมอาย “ศิษย์พี่”

“หนนี้เป็นปัญหาอันใด?” จั่วม่ออารมณ์ไม่ค่อยดีนักสำหรับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อใดที่มันเห็นสีหน้าขลาดเขลาของเสี่ยวกั่ว มันมักจะไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงของตัวเองไว้ได้

“มิใช่ มิใช่!” เสี่ยวกั่วส่ายหน้าระรัวเหมือนลั่นกลอง รีบอธิบายว่า “เสี่ยวกั่วนำบางสิ่งมาให้ศิษย์พี่ คราวที่แล้วศิษย์พี่ช่วยเหลือเสี่ยวกั่ว แต่เสี่ยวกั่วยังไม่ได้ตอบแทนอันใด”

กล่าวไปกล่าวไป ปากเล็ก ๆ ของนางก็บิดขึ้น ละไอหมอกในดวงตาเริ่มรื้น เสียงสั่นเครือปริ่ม ๆ จะร่ำไห้ นางอุบอิบเบา ๆ ว่า “เสี่ยวกั่วไม่มีจิงสือ ก็เลย... ...”

มันคอยลอบมองอยู่แล้ว พอเห็นเริ่มผิดท่า จั่วม่อรีบตะโกน “หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสี่ยวกั่วผวาถอยหลังกรูด แต่อาการเตรียมร่ำไห้หายวับไปทันที

นางวางหม้อดินเผาลงตรงหน้าจั่วม่ออย่างระมัดระวัง แล้วกระโดดกลับเหมือนกระต่าย มองจั่วม่ออย่างขลาดเขลา พลางรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “นี่เป็นน้ำแกงที่เสี่ยวกั่วตุ๋นไว้ ศิษย์พี่ ... ...ศิษย์พี่ ลองชิมดู เพียงแค่ลองชิมดูสักคำ... ...”

นางยังไม่ทันจะกล่าวจบ คำพูดก็เริ่มไม่ปะติดปะต่อ ใบหน้ากระวนกระวายแดงก่ำจนคล้ายเลือดจะหยดออกมา นางสูญเสียการควบคุมตนเอง ยกมือปิดหน้าวิ่งจากไปดื้อ ๆ

หลังจากวิ่งไปหลายสิบก้าว นางจู่ ๆ ก็หยุดชะงัก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับมาตะโกน “ศิษย์พี่ หากชิมแล้วรสชาติย่ำแย่ ท่าน .... ... ท่านก็เทมันทิ้งไปเถอะ”

จั่วม่อเฝ้ามองจนกระทั่งเสี่ยวกั่วหายลับไป จากนั้นก้มมองหม้อดินเผาที่วางอยู่แทบเท้ามัน ค่อยก้มลงยกหม้อดินเผาขึ้นมา

น้ำแกงยังอุ่น ๆ

ยกหม้อดินเผาจรดปาก ลองจิบคำหนึ่ง น้ำแกงทั้งเข้มข้นและหอมกรุ่น

“รสชาติไม่เลวเลย” จั่วม่อเอ่ยกับตัวเอง มันซดจนน้ำแกงจนเกลี้ยงฉาด แล้วถือหม้อดินเผาอันว่างเปล่ากลับไปยังห้องของมัน

ผูเยาโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ลิ้นคล้ายงูสีแดงเข้มตวัดเลียริมฝีปาก สายตาจ้องตรงไปยังตำแหน่งที่เสี่ยวกั่วหายลับไป “แม่นางน้อยที่น่าอร่อยนัก”

จั่วม่อมองมันอย่างตะลึงลาน

ผูเยาหันใบหน้าอันไร้ที่ติของมันกลับมา ในเวลานี้มันดูคล้ายแมวตะกรามตัวหนึ่ง ดวงตาสีแดงเข้มส่องประกายแวววาม “โชคดีกระไรเช่นนี้ เนื้อของแม่นางน้อยนี้สมควรอ่อนนุ่มและโอชะยิ่ง”

โทสะของจั่วม่อปะทุขึ้นในฉับพลัน มันเงื้อมือ ขว้างหม้อดินเผาที่ว่างเปล่าใส่ผูเยาอย่างหฤโหด

เพล้ง! หม้อแตกกระจาย เศษชิ้นส่วนกระเด็นไปทั่ว

“ไสหัวไป!”

------------------------------------------------------------------

เรือพันปีกทอดสมออยู่กลางเวหา

หลีเซียนเอ๋อร์ทอดสายตามองดวงจันทร์สีหยกที่นอกหน้าต่าง คิ้วอันละเอียดอ่อนของนางขมวดย่น “ดูเหมือนจะมีเสี่ยวเยาตนหนึ่งเล็ดรอดไปได้ ท่านลุงชื่อเหย่ มีคำตอบจากสำนักหรือไม่?”

(แซ่หลี ของเซียนเอ๋อร์ ออกเสียงหลี เป็นเสียงจัตวา คนละคำกับหลี่ของหลี่อิงฟ่งที่เป็นเสียงเอก และเป็นคนละตัวกับหลีในชื่อของหลัวหลีอีกด้วย)

ชื่อเหย่เจินเหรินส่ายศีรษะ “คุณหนู, อสูรปิศาจเป็นพัน ๆ ตนถูกกักขังอยู่ใต้หอหลอมอสูร เป็นเวลายาวนาน จนไม่มีการตรวจสอบอีกแล้ว พวกมันส่วนใหญ่มาจากมหาสงครามเมื่อสามพันปีก่อน ล้วนถูกจับกุมโดยเหล่าสุดยอดฝีมือของสำนักเรา อีกทั้งพวกมันเกือบทั้งหมดพลังฝีมือสูงล้ำ เข้มแข็งแกร่งกร้าว ยากจะสังหารได้ ดังนั้นถูกกักขังไว้ใต้หอหลอมอสูร ปล่อยให้พวกมันถูกทำลายอย่างช้า ๆ ข้าไม่เคยคาดคิดว่าอสูรปิศาจเหล่านี้ กลับดื้อด้านยิ่ง กระทั่งผ่านมาสามพันปี ยังคงหลงเหลือผู้รอดชีวิต!”

หลีเซียนเอ๋อร์สีหน้าหวนรำลึก “สามพันปีก่อน สำนักเราเข้มแข็งยิ่งนัก!”

ชื่อเหย่เจินเหรินทอดถอนใจเป็นเพื่อนนาง “มิใช่เพียงสำนักเรา สามพันปีที่แล้ว แต่ละสำนักในโลกแห่งการฝึกตนล้วนเข้มแข็งกว่ายามนี้มาก ตอนนั้นกลุ่มพันธมิตรอสูรปิศาจที่มีกองทัพกว่าหนึ่งแสนตน ถูกทำลายล้างสิ้นด้วยฝีมือของเหล่าคนรุ่นก่อน และการต่อสู้ครั้งนี้เองที่วางรากฐานให้กับผู้ฝึกตนเรา ได้มีสถานะดังเช่นทุกวันนี้”

ต่อมาสีหน้ามันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าเสียดาย “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหล่าอสูรปิศาจจะถูกกวาดล้าง และถูกจับกุมจนเกือบหมดสิ้น แต่ฝ่ายผู้ฝึกตนเราก็เสียหายสาหัส พลังอันยิ่งใหญ่หลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน หลายสำนักสูญสิ้นไปในมหาสงคราม เคล็ดวิชานับไม่ถ้วนหายสาบสูญ กระทั่งล่วงผ่านมาสามพันปี ฝ่ายผู้ฝึกตนเรายังมิอาจฟื้นคืนความรุ่งโรจน์เฉกเช่นในอดีตได้ แต่จะอย่างไร เมื่อเทียบกับเราแล้ว อสูรปิศาจยังสูญเสียใหญ่หลวงยิ่งกว่า จนถึงตอนนี้ เจ้าเคยเห็นพวกมันมีปัญญาบุกทะลวงผ่านมหานครนภาโลหิตออกมาหรือไม่?”

หลีเซียนเอ๋อร์รับฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่นางล่วงรู้อยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน ก็ยังจับใจนางอยู่ไม่คลาย

“ท่านปู่เรียกข้ากลับไป” นางทำปากยื่น สีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจ “ไม่ง่ายนักที่จะได้มีโอกาสออกมาข้างนอก และข้าก็เพิ่งออกมาได้เพียงไม่นาน ท่านปู่ยังจะเรียกร้องให้ข้ากลับไปอีก มิหนำซ้ำเรายังจับกุมเจ้าเสี่ยวเยานั่นไม่ได้เลย หากเราจะต้องกลับ ใช่สมควรรอจนกระทั่งข้าจับเสี่ยวเยาตนนั้นได้ก่อนหรือไม่”

ชื่อเหย่เจินเหรินมองความไร้เดียงสาบนใบหน้านาง ร่องรอยเอ็นดูวาบผ่านใบหน้ามัน แต่ยังคงกระตุ้นเตือนว่า “คุณหนู เจ้าสำนักสั่งให้ท่านกลับไป บางทีอาจมีเรื่องสำคัญอื่น”

“จะไปมีเรื่องอันใด?” นางแค่นเสียงเบา ๆ “อาจบางทีมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากบางสำนักมาเยือน เร็ว ๆ นี้ ท่านปู่มักจะหมกหมุ่นอยู่กับเซียนกระบี่เหล่านั้น แต่ข้าชิงชังเซียนกระบี่ พวกมันแต่ละคนทั้งหยิ่งยโส ทั้งหยาบคาย”

ชื่อเหย่เจินเหรินตอบพลางหัวร่อ “แต่คุณหนู ไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าไม่ใช่เพิ่งหยอกเย้ากับเซียนกระบี่หรอกหรือ?”

“ท่านหมายถึงคนโง่ที่น่าขบขันนั่นหรือไร ผู้ใดบอกว่ามันเป็นเซียนกระบี่?” หลีเซียนเอ๋อร์ตอกกลับ

“เขตปกครองนภาจันทร์เป็นดินแดนของเซียนกระบี่ ที่นี่หากเจ้าพบเห็นสิบคน ย่อมมีเก้าคนเป็นเซียนกระบี่”

“บางทีมันอาจเป็นหนึ่งคนที่เหลือนั่นก็ได้” หลีเซียนเอ๋อร์โต้แย้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นทุกข์ใจ ระคนคับข้องอย่างกะทันหัน “หากกลับไป ข้าไม่มีทางจะใช้นกกระเรียนน้อยพันตัวได้อีก กว่าจะพบเจอคนที่น่าสนใจเช่นนี้ไม่ง่ายนัก แต่ข้ากลับไม่สามารถเล่นสนุกต่อได้”

เห็นความเดือดเนื้อร้อนใจบนใบหน้านาง ชื่อเหย่เจินเหรินถึงกับรับไม่ไหวอยู่บ้าง “หากคุณหนูชอบเช่นนี้ ไฉนไม่ให้ข้าก่อตั้งค่ายกลเวทเคลื่อนย้ายไว้ที่เขตปกครองนภาจันทร์นี่เล่า แล้วค่อยมอบหมายให้ศิษย์สักคนคอยเฝ้าดูแลไว้ เช่นนั้นคุณหนูสามารถส่งพันกระเรียนนำทาง ผ่านค่ายกลเวทเคลื่อนย้าย มายังเขตปกครองนภาจันทร์ได้โดยตรง  จากนั้นพันกระเรียนนำทาง ย่อมสามารถค้นหาเจ้าผู้นั้นได้ด้วยตัวมันเอง”

หลีเซียนเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสุขใจขึ้นมา “ท่านลุงชื่อเหย่ยอดเยี่ยมที่สุด! ฮ่าฮ่า เจ้าผู้นั้นยังหลงคิดว่ากระเรียนกระดาษของเซียนเอ๋อร์ เป็นกระเรียนน้อยพันตัวธรรมดาสามัญอยู่เลย”

หัวใจของชื่อเหย่เจินเหรินค่อยคล้ายได้รับการปลอบประโลม มันหัวร่อพลางกล่าวยกย่องว่า “พันกระเรียนนำทางที่คุณหนูคิดค้นขึ้นมา กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสในสำนักยังต้องสรรเสริญ”

หลีเซียนเอ๋อร์เชิดปากอย่างภาคภูมิใจ “นั่นย่อมแน่นอน!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด