บทที่ 16 เจตจำนงกระบี่
“อย่าได้ลืมเลือน!”
……
“ต่อให้ต้องตาย ก็มิอาจลืม!”
……
สุ้มเสียงประหลาด แต่เคยคุ้น กังวานแว่วราวกับฝันร้ายตื่นหนึ่ง
แล้วก็เป็นเหมือนเช่นทุกครั้ง จั่วม่อผวาตื่นขึ้นจากความฝันของมัน มันฝืนยิ้มบิดเบี้ยว ขณะที่ลุกขึ้นนั่ง
อันที่จริงหากมันฝันเช่นเดิมซ้ำ ๆ หลายครั้งหลายหนปานนี้ ก็สมควรชินชาสักทีได้แล้ว แต่ไฉนทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา มันยังพบว่าร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ กระทั่งมันเองยังรู้สึก ว่านี่ออกจะเป็นไปไม่ได้อยู่บ้าง
ดวงดาวพราวพรายส่องประกายทั่วผืนฟ้า ลำแสงดาวตกสว่างวาบเป็นทางยาว ภูเขาสุญตาเงียบสงัดและสงบสุข
ภาพเหตุการณ์อันตรายเมื่อค่ำคืนวาน กระพริบผ่านในดวงตามัน มันพลันจดจำเมล็ดผูกงอิงสีดำในทะเลแห่งจิตสำนึกของมันได้ จั่วม่อรีบเข้าไปตรวจสอบ เห็นเมล็ดดำยังล่องลอยอยู่ในทะเลจิตแห่งสำนึกของมัน ไม่เคลื่อนไหว ทั้งไม่หายไป มันได้แต่ถอนหายใจยาวเยือก ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ก็ไม่ส่งผลอันใดต่อเจ้าเมล็ดผูกงอิงสีดำเมล็ดนี้
จั่วม่อวิตกยิ่ง มองแค่แวบเดียวผู้ใดก็ทราบว่าเมล็ดผูกงอิงสีดำนี้ เป็นสิ่งที่สมควรระแวงระวัง แต่ยามนี้เมล็ดดำกลับบุกรุกเข้ามาในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน เป็นที่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีงามอันใด
มันสมควรรอสักพัก แล้วค่อยทดลองไปหาหมอหรือไม่? จั่วม่อไตร่ตรองในใจ
พอตื่นขึ้นมากลางดึก มันไม่รู้สึกง่วงนอนอีก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็โยนเรื่องเมล็ดผูกงอิงสีดำทิ้งไปก่อน ในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่มีปัญญาหาหนทางแก้ไข กังวลมากเกินไปก็หาได้มีประโยชน์ต่อมันไม่
เนื่องจากถูกจำกัดด้วยพื้นฐานพลังฝึกตน ดังนั้นทะเลแห่งจิตสำนึกของมันไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก นอกเหนือจากเมล็ดผูกงอิงสีดำแล้ว รอบข้างล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก
คิดถึงเรื่องนี้ จั่วม่อนึกถึงเจตจำนงกระบี่ที่เหินร่อนไปทั่วฟ้าสวรรค์ ความแตกตื่นที่มันได้รับจากเจตจำนงกระบี่เล่มนั้นใหญ่หลวงเกินไป ภาพลักษณ์กระบี่ถึงกับฝังแน่นอยู่ในหัวมัน
จั่วม่อไม่เคยฝึกฝนเพลงกระบี่อันใด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่เข้าใจสิ่งใดเลย ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอก มีหลายคนฝึกฝนเพลงกระบี่ นั่นเพราะสำนักกระบี่สุญตาเป็นสำนักกระบี่สำนักหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มันเน้นฝึกฝนเฉพาะเคล็ดกระบี่เท่านั้น กระทั่งเคยยอมตนเป็นข้ารับใช้กระบี่ของศิษย์พี่หลัวหลีมาก่อน
สิ่งที่เรียกว่าข้ารับใช้กระบี่ พวกมันเป็นข้ารับใช้ของผู้ฝึกตนกระบี่ มักมีภาระทำความสะอาดหลังการสู้รบ และหน้าที่เพิ่มเติมบางอย่าง
ศิษย์พี่เหวยเสิ้ง คือยอดฝีมือที่เข้มแข็งที่สุดในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก ประสบการณ์ในการต่อสู้ของมันลึกล้ำยิ่ง มีเสียงเล่าลือว่า กระทั่งผู้ฝึกตนกระบี่ในด่านจู้จีขั้นแรก ยังเคยตกตายภายใต้คมกระบี่มันมาแล้ว จั่วม่อเคยชมดูศิษย์พี่เหวยเสิ้งฝึกกระบี่จากที่ไกล ๆ กระบี่ของมันดุจลำแสงเหินบิน เข้มแข็งตระการตาไม่น้อย แต่หากเทียบกับเจตจำนงกระบี่ค่ำคืนนั้นแล้ว กระบี่ของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง มิต่างอันใดจากนกกระดาษมากสีสันตัวหนึ่ง เพียงถูกกระทบเบา ๆ ก็ฉีกขาดกระจัดกระจาย
แต่สำหรับเจตจำนงกระบี่อันสุดไพศาลนั้น ราวกับจะทะลวงฟ้าผ่าสวรรค์ กระทั่งในฝันจั่วม่อยังไม่เคยฝันถึงอะไรเช่นนี้ ภายใต้การจู่โจมของมัน ทุกสิ่งล้วนศิโรราบ ตัวจั่วม่อเองก็ไม่ต่างอันใดกับมดน้อยตัวหนึ่ง
คิดไปคิดมา ทันใดนั้นเอง ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน เจตจำนงกระบี่เย็นเยียบสีขาวพิสุทธิ์ จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศโดยปราศจากคำเตือน!
จั่วม่อร่างแข็งทื่อ ดวงตาเหลือกโปน ลมหายใจหยุดชะงักขาดห้วง
จังหวะต่อมา ร่างที่เย็นเฉียบค่อยอุ่นขึ้น แววตาเริ่มคืนสติช้า ๆ มันกระอักกระไออย่างหนัก ลมหายใจค่อยกลับคืนมา ความตื่นตระหนกถมเต็มในดวงตา
ไฉนเป็นเช่นนี้?
เจตจำนงกระบี่ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นนี้ เหมือนกับการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อคืน ไม่มีผิดเพี้ยน!
จั่วม่อไม่มีสิ่งป้องกันตัว กระบี่นี้แทบจะผ่าครึ่งทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน เจตนาสังหารบริสุทธิ์เย็นเยียบกดทับมันจนหายใจไม่ออก ในขณะนั้นอวัยวะทั้งหมดไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
มันหวาดผวายิ่ง และมิอาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นไปไม่ได้!
การที่มีเมล็ดผูกงอิงสีดำอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก ทำให้มันขวัญหนีดีฝ่ออยู่แล้ว ยามนี้กระทั่งเพิ่มเจตจำนงกระบี่มหาประลัยเข้ามาอีกหนึ่ง!
นี่ไม่ถูกต้อง!
ตอนที่มันตรวจดูก่อนหน้านี้ ไม่พบเจตจำนงกระบี่เล่มนี้เสียหน่อย!
จั่วม่อรีบออกจากทะเลแห่งจิตสำนึก มันนึกย้อนถึงกระบวนการที่เจตจำนงกระบี่ปรากฏตัวออกมา แล้วก็ค้นพบ ยามที่เจตจำนงกระบี่ปราณโผล่ออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่มันเผชิญหน้ากับเมล็ดผูกงอิงสีดำในทะเลแห่งจิตสำนึก แล้วมันนึกถึงเจตจำนงกระบี่เล่มนั้น
ความคิดอันชัดเจนพลันวาบขึ้นในใจมัน
เจตจำนงกระบี่นี้ ใช่เมล็ดผูกงอิงสีดำปลดปล่อยออกมาหรือไม่?
ความคิดประหลาดอันน่าทึ่งนี้ พอนึกขึ้นมาได้ ก็ไม่อาจลบล้างออกไปจากหัวได้
ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันกลับสู่ความเวิ้งว้างอีกครั้ง เมล็ดผูกงอิงสีดำล่องลอยอย่างอ้างว้างอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่า จั่วม่อค่อนข้างลังเล เจตจำนงกระบี่นั้นเข้มแข็งแกร่งกร้าวเกินไป เพียงแค่มองเท่านั้น ร่างกายและจิตวิญญาณก็ได้รับผลกระทบรุนแรง จนมันแทบแบกรับไว้ไม่ไหว
แต่ความอยากรู้อยากเห็นเป็นฝ่ายชนะอย่างรวดเร็ว จั่วม่อกัดฟันแน่น
ไม่ลองไม่รู้!
มันพลันเข้าเผชิญหน้ากับเมล็ดผูกงอิงสีดำ แล้วหวนนึกถึงเจตจำนงกระบี่เล่มนั้น!
ซู่ววว!
เจตจำนงกระบี่สีขาวเงินทะยานออกมา!
ชั้วะ!
จั่วม่อร่างแข็งทื่อ พ่นเลือดออกจากปากคำหนึ่ง
ชั่วแวบถัดมา “ฮ่า ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวร่อดังก้องไปทั้งลานบ้าน จั่วม่อปากเปรอะเปื้อนเลือด ดูน่ากลัวไม่น้อย แต่ใบหน้ากลับเบิกบานยิ่ง
ที่แท้เป็นเจ้าเมล็ดผูกงอิงสีดำจริง ๆ ! เป็นมันที่ปลดปล่อยเจตจำนงกระบี่ออกมา!
หนนี้จั่วม่อเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว ดังนั้นสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น มันยังพบอีกว่าเจตจำนงกระบี่คราวนี้ แตกต่างจากที่มันเคยเห็นรอบที่แล้ว หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้อง สมควรบอกว่าเจตจำนงกระบี่กระจ่างชัดยิ่งขึ้น!
และด้วยเหตุนี้เอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังกระบี่ยิ่งเข้มแข็งกว่าเดิม เช่นนั้นวิญญาณที่อ่อนแอของจั่วม่อ จะเอาปัญญาอันใดไปทนทานต่อแรงกระแทกอันดุเดือดเยี่ยงนี้ได้
ดังนั้นจั่วม่อได้แต่รับบาดเจ็บ กระอักเลือดพ่นออกมาเป็นฟูฝอย
แต่แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ กระนั้นจั่วม่อยังอดหัวร่อปนคำรามออกมาไม่ได้
หากมันสามารถเข้าใจเจตจำนงกระบี่เล่มนี้ได้.... ...
ก่อนหน้าค่ำคืนที่ผ่านมา จั่วม่อไม่เคยเหลือบแลการฝึกฝนเป็นเซียนกระบี่ แต่แล้วปราณกระบี่อันพิสุทธิ์เย็นเยียบเล่มนั้น กลับปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจมัน เป็นเมล็ดพันธุ์ที่โหยหาความเข้มแข็งชนิดหนึ่ง
แต่จั่วม่อรีบบังคับตัวเองกลับสู่สภาพความเป็นจริง เจตจำนงกระบี่นี้เข้มแข็งแกร่งกร้าวยิ่ง มันยังไม่มีปัญญาทานทนรับได้
จั่วม่อชักปวดศีรษะขึ้นมา หลังจากกัดฟันทนรับไปสองกระบี่ จิตวิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บไม่เบา หวนนึกถึงความเจ็บปวดในยามที่ร่างกายถูกแช่แข็งอย่างสิ้นเชิง กับการที่จิตสำนึกของมันแทบจะถูกผ่าครึ่งอย่างง่ายดาย ใบหน้ามันก็ซีดเผือดลง
หากสามารถรู้แจ้งในเจตจำนงกระบี่เล่มนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นประโยชน์มหาศาล แต่ยามนี้มันยังต้องจ่ายด้วยราคาอันเจ็บปวดเกินไป ควรทราบว่าหากบาดเจ็บในจิตวิญญาณ การเยียวยารักษายังลำบากยากเย็นกว่าอาการบาดเจ็บอื่น ๆ มาก
อาการเจ็บร้าวในศีรษะทำให้มันต้องสูดปากเป็นครั้งคราว จั่วม่อค่อยหยิบอินกุยที่ข้างกายขึ้นมา แล้วประจุพลังปราณลงไป
“ความขัดแย้งอันรุนแรงได้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ที่มหานครนภาโลหิต... ...”
เสียงที่ดังออกมาจากอินกุยทำให้จั่วม่อชะงักงัน อินกุยเป็นส่วนสำคัญในชีวิตมัน ทุกคืนมันมักจะฟังเสียงจากอินกุยจนกระทั่งหลับใหลไป ดังนั้นมันย่อมทราบ ระยะนี้สัญญาณความขัดแย้งในมหานครนภาโลหิตยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นเหล่าอสูรปิศาจไม่พอใจที่ถูกปราบปรามมายาวนาน ยามนี้เริ่มตีโต้หรือไม่?
จั่วม่อคิดอย่างขบขัน แล้วโยนปัญหานี้ไว้ด้านข้างอย่างรวดเร็ว ไม่สำคัญว่าจะเป็นมหานครนภาโลหิตหรืออสูรปิศาจ เหล่านี้ล้วนอยู่ห่างไกลจากมันแปดหมื่นหลี่สิบหมื่นหลี่ หามีส่วนเกี่ยวข้องกับมันไม่
มันไม่เชื่อว่าอสูรปิศาจสามารถก่อคลื่นลมอันใด สามพันปีที่แล้ว ในสงครามระหว่างผู้ฝึกตนกับอสูรปิศาจ จบลงด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้นของเหล่าผู้ฝึกตน หากมิใช่ว่าทำเลของมหานครนภาโลหิต หยุดยั้งการรุกคืบของทัพผู้ฝึกตนไว้ชั่วคราว เกรงว่าทั้งอสูรทั้งปิศาจ คงถูกกวาดล้างจนสิ้นซากเสียนานแล้ว
จากนั้นเป็นข่าวคราวเกี่ยวกับงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่ ซึ่งจั่วม่อไม่ได้ให้ความสนใจนัก
ทันใดนั้น ในหัวรู้สึกปวดแปลบราวกับบางอย่างแตกหัก จั่วม่อกุมหัวพลางสบถด่าอย่างดุเดือด จิตสำนึกของมันรับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น
ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตในยามนี้ ยากจะบ่งบอกบรรยาย คล้ายกับว่าพบเห็นโฉมสะคราญหยาดฟ้าผู้หนึ่งลอยหล่นลงมาจากเบื้องบน แต่ในเวลาเดียวกัน กลับมีมังกรน่ารังเกียจตัวหนึ่งเฝ้าอารักขานางไว้ด้วย
และที่ยิ่งปวดร้าวมากขึ้นไปอีก เมื่อเพียงได้ชื่นชมโฉมหน้างดงามไร้ที่เปรียบของนางแวบเดียว แต่กลับถูกเจ้ามังกรชั่วร้ายเตะใส่จนอยู่ในสภาพปางตาย
จั่วม่อได้แต่ร่ำไห้อยู่ในใจ ยามนี้การเยียวยาจิตสำนึกถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุด แต่จะอย่างไรสำหรับผู้ฝึกตนชั้นต่ำ ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดเช่นมัน การเยียวยาจิตสำนึกเป็นปัญหาที่ห่างไกลจากขอบเขตอำนาจของมันไปมาก
อั้ก เจ็บปวดเหลือเกิน!
ราวกับว่าส่วนลึกที่สุดในสมองมัน ถูกใครบางคนใช้มีดกรีดใส่ซ้ำ ๆ ไม่ยอมหยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ามันคงไม่พ้นต้องเจ็บปวดจนคลุ้มคลั่งในไม่ช้า
มันนั่งกุมศีรษะอยู่บนหลังคา เสียงครางอย่างเจ็บปวดดังไม่หยุดปาก
จั่วม่ออยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่ฝืนกุมขมับ กึ่งเดินกึ่งคืบคลาน ลากสังขารกลับไปยังเสื่อในห้องสันโดษ
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของมันในยามนี้ คือปรารถนาว่าการเข้าฌาน จะช่วยลดทอนความเจ็บปวดได้บ้าง
แต่ความเป็นจริงอันโหดร้าย ทำลายความหวังเสี้ยวสุดท้ายของมันในทันที ไม่ว่าจะพยายามใช้พลังปราณเช่นไร ความเจ็บปวดหาได้บรรเทาลงแม้แต่น้อยไม่
ตัวตนของมันคล้ายถูกผ่าเป็นสองส่วน ทั้งที่ร่างกายยังปกติดี
จั่วม่อได้แต่กุมหัว ร้องครวญครางพลางกลิ้งไปบนพื้น จากนั้นเสียงโอดครวญค่อย ๆ ลดน้อยลง และแผ่วเบาลงช้า ๆ
ผู้ไม่รู้ความ มักไม่รู้จักหวาดกลัว สิ่งที่จั่วม่อล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณน้อยนิดจนน่าเวทนา หากพลังฝึกตนของมันสูงส่งกว่านี้ ทำความเข้าใจกับหลายสิ่งมากขึ้นกว่านี้ มันย่อมไม่กล้าหุนหันพลันแล่นถึงเพียงนี้
การเยียวยาจิตสำนึกนั้น กระทั่งผู้ฝึกตนด่านหนิงม่ายยังแทบไม่มีปัญญากระทำ เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ฝึกตนด่านจินตันยื่นมือเข้าช่วยเหลือ การเยียวยาอาจง่ายดายขึ้นบ้าง
แต่กระนั้นต่อให้ปรมาจารย์จินตันยินยอมช่วยเหลือ ราคาที่มันต้องจ่ายออกไปยังไม่ใช่น้อย ๆ
ผู้ฝึกตนระดับต่ำไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องจิตวิญญาณ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ฝึกตนนิกายเซนผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตสำนึกยิ่งกว่าผู้ใด ก่อนจะบรรลุด่านจินตัน ไม่เคยมีใครอาจหาญถึงปานนั้นมาก่อน
จั่วม่อไม่เพียงแต่ด่านฝึกตนต่ำเตี้ยที่สุด มันยังบรรลุเพียงขั้นที่แปดของด่านเลี่ยนชี่ ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันต้องเผชิญการจู่โจมสะท้านฟ้าถึงสองหน ซึ่งเกินกว่าที่ความสามารถของมันจะทานทนได้ไปไกลโข อันที่จริงการที่ยามนี้มันยังไม่ถึงกับตกตาย ก็นับว่าหายากมากแล้ว
ควรทราบว่าหากจิตสำนึกบาดเจ็บ หากไม่ได้รับการเยียวยาด้วยพลังจากภายนอก จะไม่มีวันทุเลาหายดีดังเดิม
จั่วม่อที่น่าสงสารได้แต่ขดตัวเป็นก้อนกลม มันไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะกลิ้งไปบนพื้นเหมือนตอนแรก ลมหายใจของมันสั้นลง สั้นลง จนคล้ายจะหยุดลงในไม่ช้า สติเริ่มเลือนรางลงไปทุกที
ในความเลือนรางนั้นเอง มันคล้ายได้ยินผู้ใดกล่าววาจา
“เจ้าอยากรอดชีวิตหรือไม่?”
น้ำเสียงโบราณและอ้างว้าง โอ่อ่าและซื่อตรง
“ช่วยข้าด้วย!” จั่วม่อได้ยินเสียงอ่อนระโหยของตนเอง เต็มไปด้วยการวิงวอนและความยินดี
“ปฏิบัติตามวิถีแห่งข้า กระทำการตามประสงค์แห่งข้า สืบทอดคำสาบานแห่งข้า เจ้าปรารถนาหรือไม่?”
“มันจะมากเกินไปแล้ว!” ในลมหายใจเฮือกสุดท้าย จั่วม่ออดคร่ำครวญออกมาไม่ได้ มันพลันรู้สึกว่าถูกหลอกล่อไปยังกับดัก
“เจ้ามิปรารถนา?” เสียงโอ่อ่าดังกึกก้องดุจฟ้าร้อง เต็มไปด้วยแรงกดดัน
“ไปลงนรกเถอะ!” จั่วม่อคั่งแค้นขึ้นมากะทันหัน “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังล่อลวง... ...” มันยังอยากจะก่นด่าบรรพบุรุษอีกฝ่ายต่อ แต่ความเจ็บปวดสุดขีดในจิตวิญญาณ ทำให้ได้แต่กรีดร้อง
“เจ้ามิปรารถนา?”
“ไปลงนรกซ๊า!” จั่วม่อสาปแช่ง ปนกรีดร้อง พร้อมกันนั้นก็ชูนิ้วกลางขึ้นมาด้วย
……
“เจ้ามิปรารถนา?”
“ลงนรกไป!” จั่วม่อไม่เหลือเรี่ยวแรงกรีดร้อง กระทั่งยกนิ้วกลางยังไม่ไหว มันได้แต่ครางเบา ๆ
……
“เจ้ามิปรารถนาจริง ๆ?”
“ไปนรกเถอะ!” จั่วม่อตอบราวกับเสียงสะอื้นของยุง เสียงแผ่วจางและเบาบางดุจเส้นผม
……
“เจ้าปรารถนาแล้วหรือไม่?”
“ไปลงนรก... ...”
จั่วม่อสติเลือนรางถึงขีดสุด แม้ว่าจะพยายามดิ้นรนฝืนทนไว้ก็ตาม
……
สุ้มเสียงโออ่าทรงอำนาจนั้นเงียบงันไปในที่สุด สติของจั่วม่อมึนชาอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งรอบข้างดูคลุมเครือไม่ชัดเจนไปหมด
ในความมึนงงเลือนราง มันมิทราบว่าคิดไปเองหรือไร เสียงนั้นคล้ายกล่าววาจาอีกหน ไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีอำนาจ มีเพียงความเดียวดายอ้างว้างอันลึกล้ำ
“ละทิ้งวิถี ความปรารถนาสิ้นสูญ เหลือเพียงคำสาบานยังดำรง... ...”
เสียงคล้ายห่างไกล ห่างไกลออกไปทุกขณะ จั่วม่อสิ้นสติไปอย่างสิ้นเชิง
ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ ผู้อยู่ในอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย เมล็ดผูกงอิงสีดำร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ
เมื่อลงมาต่ำ มันจมลงในทะเลแห่งจิตสำนึก หยั่งราก งอกต้นกล้า เติบโต ผลิดอก ออกผล จากนั้นเมล็ดสีดำนับไม่ถ้วนก็กระจายออกมาไม่หยุดยั้ง พวกมันล่องลอยไปยังทุกซอกทุกมุมของทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ
ภายในชั่วกระพริบตา ทะเลแห่งจิตสำนึกกลับกลายเป็นทะเลดำทะมึน จากนั้นทะเลดำก็แตกออกอย่างกะทันหัน เศษชิ้นส่วนเหลือคณานับล่องลอยประหนึ่งกลีบดอกไม้สีนิล แล้วแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันสีดำจำนวนมหาศาล
สุดท้ายกลุ่มควันดำก่อตัวเป็นเงาร่างคล้ายมนุษย์ร่างหนึ่ง