บทที่ 15 เสี่ยวเยา (อสูรน้อย)
รัตติกาลเริ่มเยือนกราย ภูเขาสุญตากลายเป็นความเงียบสงัดผืนหนึ่ง
เนื่องจากห่างไกลจากตงฝู ชีวิตในเทือกเขาสุญตาจืดชืดยิ่ง เมื่อถึงยามค่ำคืน เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกมักจะชุมนุมกัน เพื่อสนทนาวิสาสะและหาความบันเทิง ส่วนศิษย์ฝ่ายในจะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ ในการบำเพ็ญตบะฝึกตน หากมองจากอีกมุมหนึ่ง ความกดดันที่ศิษย์ฝ่ายในต้องเผชิญ ไม่ได้น้อยไปกว่าศิษย์ฝ่ายนอกแต่อย่างใด พวกมันจำเป็นต้องฝึกหนัก เพื่อที่จะได้มีคุณสมบัติเข้าร่วมการล่าอสูร
ทุกสิบปี หากสำนักกระบี่ใดไม่มีผู้เข้าร่วมการล่าอสูร สำนักนั้นจะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว นี่เป็นสิ่งที่ล่วงรู้กันทั่วไป
นี่เป็นลักษณะพิเศษของสำนักกระบี่ พวกมันมักจะรุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในทำนองเดียวกัน ยามร่วงหล่นยังเร็วยิ่งกว่า จำนวนของสำนักกระบี่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อาจน้อยจนนับได้ด้วยนิ้วมือ พวกมันล้วนเป็นองค์กรขนาดมหึมาปานสัตว์ประหลาดทั้งสิ้น
แต่เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับจั่วม่อ มันกับการล่าอสูรแทบไม่มีหนทางเชื่อมโยงเข้าหากันได้
ค่ำคืนนี้ มันเดินไปตามเส้นทางภูเขา หลังจากผ่านการครอบครองมาหลายชั่วอายุคน สัตว์ร้ายบนภูเขาสุญตาล้วนสูญพันธุ์สิ้น ดังนั้นมันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
ตั้งแต่ฟื้นคืนสติจนกระทั่งถึงบัดนี้ ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในช่วงชีวิตสองปีกระพริบผ่านในใจมัน ดวงตากลับกลายเป็นมั่นคงเด็ดเดี่ยวมากขึ้น ฝีเท้ายังก้าวเร็วกว่าเดิม
สำนักไม่ได้เลี้ยงดูมันอย่างดีกระไรนัก อย่างไรก็ตาม มันชอบวิถีชีวิตที่นี่ แม้ภาระการงานจะหนักหนาไปบ้าง แต่มันยังมีชีวิตที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย
เงื่อนปมเดียวที่ค้างคาใจคือเรื่องชาติกำเนิดของมัน ความฝันที่คอยย้ำเตือนเสมอ ใบหน้าที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ สิ่งเหล่านี้คล้ายต้องการบอกเล่าสิ่งใดต่อมัน แต่จนกระทั่งถึงยามนี้ มันยังไม่พบร่องรอยอันใด
นอกเหนือจากเงื่อนปมนี้แล้ว จั่วม่อค่อนข้างพึงพอใจกับชีวิตปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นมันอาจจะต้องเผชิญชะตากรรมถูกขับไล่ออกจากสำนัก
อาจบางทีมีสักวันที่มันต้องไปจากที่นี่ แต่ยังไม่สมควรเป็นตอนนี้
นอกจากเรื่องที่ว่า มันชักจะเข้าตาจนแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จั่วม่อตัดสินใจเด็ดขาดที่จะลงมือ มันเป็นแรงกระตุ้นที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ ซึ่งตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่ดูเหมือนว่านับตั้งแต่การเผชิญหน้าทั้งสองหน ความกระหายในการต่อสู้ที่ฝังอยู่ในกระดูกมัน ดูเหมือนจะเริ่มทำงานอย่างกะทันหัน
จั่วม่อไม่ทราบว่านี่สมควรถือว่าเป็นการต่อสู้หรือไม่ แต่ในใจมัน ความรู้สึกของการเผชิญหน้า ไม่เพียงไม่ทำให้มันหวาดกลัว แต่มันกระทั่งปรารถนาและตื่นเต้นอยู่บ้าง
ด้วยพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปดของมัน กลางคืนแทบไม่ต่างจากยามกลางวัน มันไม่ได้รับผลกระทบอันใด
จั่วม่อเดินทางมาถึงทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ของมันอย่างรวดเร็ว
การเหี่ยวเฉาลุกลามไปเร็วมาก สภาพการณ์เลวร้ายยิ่งกว่ายามที่มันจากไปเมื่อบ่ายนี้ ทุ่งนาปราณผืนใหญ่อีกด้านหนึ่งเริ่มแสดงอาการเหี่ยวเฉาออกมาให้เห็น
จั่วม่อย่างเท้าเข้าไปใกล้ต้นข้าวปราณ กลิ่นเหม็นคาวลอยเข้าปะทะหน้า มันพลันหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ ที่ศิษย์พี่กัวหลูกระอักเลือดเป็นฟูฝอย และสิ้นสติไป ต้องบังเกิดความลังเลขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ความลังเลนี้เพียงผ่านมา แล้วหายวับไปจากดวงตา เปลี่ยนเป็นประกายเจิดจ้าดุจดั่งเพลิงโหมไหม้
พลังปราณทองคำคร่ำคร่ากระพริบวาบ แสงประกายสีทองแพรวพราวเจิดจ้าท่ามกลางความมืด มันดูคล้ายไฟวิญญาณสีทองกลุ่มหนึ่ง
จั่วม่อมือขวาควบคุมปราณทองคำคร่ำคร่า สูดลมหายใจลึก แล้วพลันอัดปราณทองคำคร่ำคร่าใส่ต้นข้าวปราณที่อยู่เบื้องหน้า
บูม!
ราวกับว่ามันถูกดึงเข้าสู่โลกอื่นอีกครั้ง
เห็นเมล็ดพืชคล้ายดอกผูกงอิงสีดำจำนวนเหลือคนานับ ล่องลอยเต็มปรี่อยู่ในพื้นที่ช่องว่าง เกลื่อนกล่น แผ่กว้างไม่ผิดอันใดกับแผ่นผืนมหาสมุทรสีดำอันไพศาล มหาสมุทรสีดำส่ายไกวอย่างนุ่มนวล ทุกครั้งที่มันกระเพื่อม ก็แผ่พุ่งพลังกดดันมหาศาลออกมา
(ดอกผูกงอิง – ดอกแดนดิไลออน หรือทัมโปโปะของโนบิตะนั่นเอง)
ผูกงอิงแต่ละเมล็ดทั้งเล็ก ทั้งอ่อนแอ แต่พอพลังงานรวมของมหาสมุทรสีดำกระจายออกมา แม้แต่จั่วม่อผู้กระเหี้ยนกระหือรือ ยังไม่อาจปลุกปลอบความคิดต่อต้านขัดขืนขึ้นมาได้
จั่วม่อยืนตัวแข็งทื่อ เหม่อมองอย่างไร้สติ เผชิญหน้ากับมหาสมุทรสีดำอันน่ากลัวนี้ กระทั่งปราณทองคำคร่ำคร่าที่มักจะดุดันรุนแรง ยังถอยหลังกรูดเป็นครั้งแรก
----------------------------------------------
ในเวลาเดียวกัน ในทุ่งนาปราณของเหล่าเฮย ปรากฏสามเงาร่างยืนตระหง่าน
ในบรรดาบุรุษทั้งสาม คนแรกหน้าสี่เหลี่ยม เครายาว สีหน้าเข้มงวด ดูทรงอำนาจ
อีกผู้หนึ่งเป็นบุรุษสูงวัย ผอมแกร่งประดุจเหล็กกล้า ดวงตาเย็นเยียบ แก่นปราณกระบี่ของคนผู้นี้ทั้งโอ่อ่า ทั้งกดดันยิ่ง
ส่วนบุรุษคนสุดท้ายค่อนข้างอ้วนท้วน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นนิจ
หากมีศิษย์ผู้ใดอยู่ที่นี่ พวกมันจะต้องกระโดดตัวลอยด้วยความตระหนก
บุรุษคนแรกผู้ทรงอำนาจ ย่อมเป็นเจ้าสำนักกระบี่สุญตา เผยเหยียนหราน บุรุษที่คล้ายเหล็กกล้าคืออาจารย์อารอง ซินหยาน และบุรุษอ้วนท้วนผู้มีรอยยิ้มคืออาจารย์อาที่สาม หยานเล่อ
ในบรรดายอดฝีมือรุ่นที่หนึ่งของสำนักกระบี่สุญตา สามในสี่คนล้วนอยู่ที่นี่แล้ว หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าในสำนักคงได้วุ่นวายกันยกใหญ่
“ศิษย์น้องทั้งสองรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?” เผยเหยียนหรานถามเสียงลึก ในเวลานี้โรคประหลาดนี้น่ากังขายิ่ง จู่ ๆ ก็เกิดระบาดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ทั้งยังดุร้ายนัก เพียงผ่านไปไม่กี่วัน ทุ่งนาปราณครึ่งหนึ่งถึงกับได้รับความเสียหายไปแล้ว
นั่นย่อมหมายความว่าปีนี้ ผลผลิตข้าวปราณต้องประสบความสูญเสียอย่างหนัก อาจจะมากถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด สำหรับสำนักขนาดเล็กเช่นสำนักกระบี่สุญตา นี่เป็นการสูญเสียที่พวกมันไม่อาจแบกรับไว้ได้
ดังนั้นเมื่อพวกมันได้รับข่าว เจ้าสำนักกับสองอาวุโส ผู้ไม่เคยถามไถ่เรื่องราวเกี่ยวกับข้าวปราณ ยังต้องแล่นออกมาชมดู
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่คาดไว้มาก พวกมันทั้งสามล้วนอารมณ์ไม่ดี
ซินหยานส่ายศีรษะ “ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่มันสามารถกลืนกินพลังปราณได้ ดังนั้นสมควรเป็นเผ่าอสูร... ฆ่ามันเสียเถอะ!” คำสุดท้ายเต็มไปด้วยเจตนาสังหารอันหนาวเหน็บ
“ศิษย์พี่รองกล่าวถูกต้อง” กระทั่งหยานเล่อยังมิอาจรักษารอยยิ้มของมันไว้ได้ สีหน้ามันมืดครึ้ม “แต่เผ่าอสูรไม่เคยย่างกรายมาถึงภูเขาสุญตามาก่อน ไฉนอสูรน้อยนี้ปรากฏที่ภูเขาสุญตาของพวกเราได้?”
“นี่ย่อมนับว่าแปลก” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างขบคิด สีหน้ามีเค้าความกังวล “สามพันปีที่แล้ว หลังจากทั้งสองเผ่าพันธุ์ อสูร-ปิศาจ ล่าถอยไปในครั้งนั้น ตลอดหลายพันปีมานี้ ไม่เคยได้ยินว่ามีอสูร-ปิศาจปรากฏขึ้นในดินแดนเขตปกครองโดยรอบแม่น้ำกระบี่ แต่ยามนี้กลับพบเห็นเผ่าอสูรในสำนักเรา ช่างชวนให้ผู้คนฉงนใจนัก”
“ศิษย์พี่อย่าได้กังวล เพียงสังหารมันทิ้งเท่านั้น” ซินหยานตอบอย่างเยือกเย็น “อย่าว่าแต่มันเป็นเพียงเสี่ยวเยาที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ กระทั่งต้าเยา ฮึ่ม พวกมันล้วนตกตายภายใต้กระบี่ข้าจำนวนไม่น้อย”
(เสี่ยวเยา – อสูรน้อย น่าจะหมายถึงมันยังไม่ได้เติบโตพัฒนาเต็มที่ ยังไม่ค่อยมีพลังมาก ส่วนต้าเยา – อสูรใหญ่ คือพวกอสูรทั่วไปที่เติบโตแล้ว นับว่าเป็นอสูรที่แท้จริง ดังนั้นในเรื่อง ถ้ามีคำว่าอสูร ปกติจะหมายถึงต้าเยา ไม่ใช่เสี่ยวเยา)
หยานเล่อมีสีหน้าหวนรำลึก มันหัวร่อพลางกล่าวเสริม “คิดถึงปีนั้น ยามที่เราทั้งสามเข้าร่วมการล่าอสูร กระบี่มังกรน้ำแข็งของศิษย์พี่รองท่าน ขู่ขวัญเหล่าอสูรปิศาจจนพวกมันล้วนตัวสั่นสะท้าน!”
ฟังมันกล่าว อีกสองศิษย์พี่น้องค่อยปรากฏสีหน้าหวนหาเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นกวาดล้างอสูรน้อยนี้เสียก่อนเถอะ คืนนี้จันทรางดงามยิ่ง เรากลับไปดื่มชาชมจันทร์ รำลึกอดีต ไยมิใช่สุขสำราญบานใจนัก” เผยเหยียนหรานเสนอยิ้ม ๆ
หยานเล่อหัวร่อพลางตบมือ “นั่นฟังดูเข้าที! ลงมือเถิด ศิษย์พี่รอง พวกเราจะระวังหลังให้ท่านเอง”
ซินหยานไม่ปฏิเสธ ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ มันตวัดมือเรียกกระบี่บินออกมา
กระบี่ผลึกหิมะเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางเวหา ตัวกระบี่เป็นประกายกระจ่างเรืองรอง สว่างไสวจนแทบจะข่มจันทราให้อับแสง มันทะยานผ่านท้องฟ้าราตรีดุจดั่งจะประกาศตน นี่ย่อมเป็นกระบี่บินเลื่องชื่อคู่ใจของซินหยาน [กระบี่มังกรน้ำแข็ง]
“ไป!”
เสียงตวาดอันแจ่มชัด สะท้อนก้องไปรอบบริเวณ
กระบี่มังกรน้ำแข็งสะท้านเบาๆ จากนั้นมันกลับกลายเป็นมังกรน้ำแข็งสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง สองตาสาดประกายหฤโหด มันคำรามเสียงต่ำลึก แล้วพลันเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งวาบเข้าสู่ทุ่งนาปราณ
ยามที่ลำแสงกำลังจะจู่โจมทุ่งนาปราณนี้เอง เหตุแปรเปลี่ยนไม่คาดฝันพลันอุบัติขึ้น!
เหล่าต้นข้าวที่เหี่ยวแห้ง ปลดปล่อยควันดำพัดกระโชกแรง เส้นสายควันดำอันบางเบาขยายตัวขึ้นในสายลมอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วกระพริบตา ทุ่งนาปราณปกคลุมไปด้วยควันดำทะมึน ดุจน้ำหมึกเป็นชั้น ๆ มันเป็นความดำมืดชนิดที่ต่อให้กางมือไว้เบื้องหน้า ยังไม่อาจเห็นนิ้วมือของตน
พวกเผยเหยียนหรานทั้งสามจมอยู่ในควันดำ แต่พวกมันไม่ได้แตกตื่นลนลานแม้แต่น้อย
แต่ในขณะเดียวกัน พวกมันย่อมไม่มีทางทราบได้เลย ว่าไม่ไกลออกไปนัก มีศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่งถูกกลืนกินไว้ในควันดำเช่นกัน
เสียงตวาดของซินหยานทำให้จั่วม่อตกใจ จนรู้สึกตัวได้สติสัมปชัญญะคืนมา แต่มันก็ค้นพบในฉับพลัน ว่ามันกระทั่งมิอาจดึงจิตสำนึกของตนกลับออกมาได้
ทั้งหมดที่มันเห็น มีเพียงเมล็ดผูกงอิงสีดำนับไม่ถ้วนบินร่อนอยู่ทุกแห่งหน!
แต่เสียงตวาดอันแจ่มชัดจากที่ใดสักแห่งนี้ รบกวนความสงบของมหาสมุทรสีดำ เหล่าเมล็ดผูกงอิงสีดำพลันพลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จู่ ๆ ก็กลายเป็นมหาพายุโหมกระหน่ำ
ความโกรธ ดูหมิ่น ทำอะไรไม่ถูก เสียใจ... ...
อารมณ์ที่แตกต่างหลากหลายรุกรานเข้าไปในใจจั่วม่อ ตัวมันเป็นดั่งหุ่นเชิด ทับถมไปด้วยอารมณ์มากมายที่ไม่ใช่ของมัน อารมณ์เหล่านี้ไร้ที่สิ้นสุด ทั้งก่อกวนไม่รู้จบ ทั้งอาละวาดอย่างเดือดดาลไปทั่วทั้งจิตสำนึกของจั่วม่อ
แต่จิตสำนึกของตัวจั่วม่อเอง กลับกระจ่างชัดขึ้นกว่าที่เคย
ยังมีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการที่จิตสำนึกของมันถูกควบคุมอีกหรือ?
ทันใดนั้นหัวใจของมันคล้ายถูกบางอย่างสัมผัส ความชิงชังรังเกียจที่ไม่เคยมีมาก่อน พลุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
บัดซบ!
ร่างของจั่วม่อสั่นสะท้าน กระดูกทุกข้อทั่วร่างมันสั่น สั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นฉากที่ชวนให้รู้สึกไม่มั่นคงยิ่ง
ในทะเลแห่งจิตสำนึก มันพยายามต่อสู้อย่างดุเดือด ตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด
“ไสหัวไป!”
เสียงตวาดเกรี้ยวกราดกระชากออก คล้ายเสียงคำรามของสายฟ้า และก้องกังวานไปทั่วทั้งทะเลดำอันไร้ขอบเขต
อารมณ์เดือดดาลในหัวใจมัน พลันหายวับไปด้วยเสียงตวาดนี้ มันยังคงรู้สึกถึงอารมณ์แตกต่างมากมายถ่ายทอดมาจากมหาสมุทรสีดำ แต่อารมณ์เหล่านี้จะไม่มีวันได้ครอบครองจิตสำนึกของมันอีก
ฉับพลันนั้น มันได้เห็นบางสิ่งที่มันจะไม่มีวันลืมเลือน
กระบี่สีขาวบริสุทธิ์เล่มหนึ่งจู่โจมลงมาจากฟากฟ้า!
เพียงกระบี่เดียว!
มหาสมุทรดำที่มันเคยคิดว่ากว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด พลันถูกผ่าเป็นสองท่อน ขณะที่มันไม่มีปัญญาจะเข้าใจความไพศาล และความเข้มแข็งของกระบี่นี้ได้ จั่วม่อยังต้องตกตะลึงอีกรอบ ทะเลแห่งจิตสำนึกของมันในยามนี้ ถูกแช่แข็งโดยกระบี่อันยิ่งใหญ่เล่มนี้
ความหวาดผวาตามสัญชาตญาณครอบงำทุกซอกมุมในใจมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเชื่องช้าลง หลังจากการโจมตีที่คล้ายจะผ่าสวรรค์ แก่นปราณกระบี่ขนาดเล็กนับไม่ถ้วน ประหนึ่งฝูงฉลามดุร้าย ตรงเข้าไล่ล่าเมล็ดผูกงอิงสีดำ ทุก ๆ ที่ที่พวกมันแล่นผ่าน แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ มหาสมุทรดำส่งความรู้สึกหวาดหวั่นขวัญผวาออกมา
จั่วม่อแสยะยิ้ม มหาสมุทรดำบังอาจควบคุมอารมณ์ของมัน มันย่อมขุ่นเคืองยิ่ง และยามนี้สะใจไม่น้อย
การสู้รบจบสิ้นลงเร็วมาก กระบี่ที่สองไม่ทันได้ใช้ออก เพียงกระบี่เดียวก็เกินพอที่จะกวาดล้างมหาสมุทรดำทั้งมวล ต้นข้าวปราณกลับสู่สภาพเดิม แม้ว่าพวกมันจะได้รับความเสียหายหนัก ทั้งยังอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอยู่บ้างก็ตาม
จั่วม่อกลับมาควบคุมจิตสำนึกได้อีกครั้ง มันรีบถอนพลังปราณจากต้นข้าว แล้วเผ่นออกจากทุ่งข้าวปราณอย่างเร่งด่วน อดปาดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากไม่ได้
ความอันตรายทั้งหมดในค่ำคืนนี้ เหนือกว่าที่มันเคยจินตนาการไว้มาก พอหวนนึกอีกที ยังอดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้
จั่วม่อทิ้งตัวลงกับพื้น ทั่งร่างอ่อนยวบ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สายลมยามราตรีพัดผ่านมา มันพลันสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ครู่ใหญ่ มันค่อยลุกเดินอย่างไร้วิญญาณ กลับไปยังบ้านน้อยของมัน
ที่แท้เมล็ดผูกงอิงสีดำที่ซ่อนอยู่ในต้นข้าวปราณคือสิ่งใด? แล้วกระบี่ที่โจมตีมาจากที่ไหนสักแห่ง นั่นเป็นฝีมือผู้ใด?
กระบี่เล่มนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้มันอย่างเหลือเชื่อ!
ทั้งเย็นเยียบเสียดกระดูก เจตนาสังหารล้นปรี่ ความหมายของกระบี่ถูกตราตรึงไว้ในใจมัน ยามนี้มันพลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าไฉนผู้คนมากมายเลือกฝึกตนเป็นเซียนกระบี่ การไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งย่อมเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น เซียนกระบี่ช่างเข้มแข็งกระไรปานนี้ พลังอันน่าขนพองสยองเกล้ากระไรเช่นนี้!
ทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ของมันในที่สุดก็รักษาไว้ได้ แม้ว่าผลผลิตในปีนี้น่าจะลดลงอย่างมาก แต่สมควรเพียงพอให้มันจ่ายค่าเช่าที่นาในปีนี้
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จั่วม่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นั่งลง มันเริ่มตรวจสอบจิตสำนึกของตัวเอง มันไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นดั่งคืนนี้มาก่อน ย่อมกังวลว่าจะเกิดผลร้ายอันใดกับตัวมัน
จั่วม่อเพิ่งเริ่มเข้าสู่ฌาน ใบหน้ามันพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
เห็นเมล็ดผูกงอิงสีดำเมล็ดหนึ่ง ล่องลอยอยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน!