บทที่ 14 โรคประหลาด
มือจับค้างที่ต้นข้าวปราณ ร่องรอยของแสงสีทอง ลอยขึ้นบนใบหน้าของศิษย์พี่กัวหลูในบัดดล
เท่านี้ก็เพียงพอให้จั่วม่อทอดถอนชมเชย ระดับความเข้าใจในเคล็ดทองคำคร่ำคร่าของศิษย์พี่กัวหลู เหนือล้ำกว่ามันมากนัก แม้ว่าต่างอยู่ในขั้นที่สอง แต่ทั้งการใช้งานจริงและระดับความเข้าใจ มันล้วนอ่อนด้อยกว่าศิษย์พี่อยู่หลายขุม
ทันใดนั้นบางสิ่งที่ไม่คาดฝันพลันอุบัติขึ้น!
ศิษย์พี่กัวหลูสีหน้าแปรเปลี่ยนไป มันกระอักโลหิตคำหนึ่ง พ่นออกมาเป็นฟูฝอย แล้วล้มฟาดลงบนพื้น เหล่าศิษย์พี่น้องที่กำลังชมดู ล้วนหน้าซีดเผือด พากันโถมเข้าไปยังตำแหน่งที่มันล้มลง
พวกมันเห็นเพียงศิษย์พี่กัวหลูหน้าเผือดขาวราวกระดาษ สิ้นสติ และเกือบจะไม่มีลมหายใจ
ศิษย์พี่บางคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับศิษย์พี่กัวหลู รีบช้อนร่างมันขึ้น และพาวิ่งกลับไปที่สำนัก เหล่าเฮยยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม จากนั้นมันเริ่มร่ำไห้ น้ำเสียงสะอื้นสร้อยเศร้าเสียจนผู้คนแทบจะร่ำไห้ตามมัน
ฝูงชนค่อย ๆ แยกย้ายจากไป ใบหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
จั่วม่อค่อยขยับเท้า เดินเข้าหาทุ่งนาปราณ พอเข้าใกล้ต้นข้าวปราณ ก็ค่อย ๆ ตรวจสอบใกล้ชิด มันไม่กล้าสัมผัสด้วยมือ เหตุการณ์เมื่อสักครู่เขย่าขวัญมันอย่างแท้จริง จนยามนี้มันหวาดกลัวข้าวปราณเหล่านี้ยิ่ง
มีกลิ่นคาวลอยเข้าจมูกมัน จั่วม่ออดขมวดคิ้วไม่ได้ ในสองปีที่มันเพาะปลูกข้าวปราณ มันไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน ในใจมันต้องการค้นหา ว่าที่แท้มีสิ่งใดอยู่ในข้าวปราณเหล่านี้กันแน่
มันพลันหวนนึกถึงยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูพืชเป็นครั้งแรก กลิ่นอายอันตรายและหฤโหดนั้นยังสดใหม่อยู่ในใจมัน สิ่งนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในตอนที่มันใช้เคล็ดทองคำคร่ำคร่าเป็นครั้งแรก ในทุ่งนาปราณห้าหมู่ข้างบ้านมัน และในยามนี้มันประสบเข้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
ยามที่ศิษย์พี่กัวหลูกระอักเลือดออกมาอย่างกะทันหัน สิ่งแรกที่จั่วม่อคิด คือสิ่งใดที่อยู่ภายในข้าวปราณเหล่านี้ ใช่เป็นบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าฝูงเพลี้ยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บทเรียนสดๆ ร้อน ๆ จากศิษย์พี่กัวหลู เตือนไม่ให้มันผลีผลามทดลอง
มองไปที่เหล่าเฮย มันได้แต่ลอบถอนหายใจ ปัญหาที่ศิษย์พี่กัวหลูแก้ไขไม่ได้ มันแม้ปรารถนา แต่ยังไม่มีปัญญาทำอันใด
จนกระทั่งจั่วม่อกลับมายังบ้านน้อยของมัน ภาพเหตุการณ์นั้นยังวนเวียนอยู่ในใจ การที่ศิษย์พี่กัวหลูถึงขั้นรับบาดเจ็บเจียนตาย ทำให้ระดับความรุนแรงของปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นที่แน่ใจว่าสำนักคงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในเร็ว ๆ นี้
ที่ย่ำแย่คือในระดับผู้นำของสำนัก มีเพียงผู้เดียวที่ล่วงรู้เรื่องการเพาะปลูก คืออาจารย์อาที่สี่ อาจารย์อาหญิงสือฟ่งหรง แต่นางออกเดินทางไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน จนถึงยามนี้ยังไม่กลับมา กระทั่งศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นผู้ดูแลรับผิดชอบสวนยาปราณของนาง ยังได้ออกไปพร้อมศิษย์พี่หลัวหลีเช่นเดียวกัน
ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นเกรงว่าจากนี้จะโชคร้ายแล้ว แต่จั่วม่อไม่ได้รู้สึกยินดีมากนัก
จั่วม่อสังหรณ์ว่าโรคประหลาด จะแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน เมื่อตอนที่เข้าไปในทุ่งนาปราณ มันตรวจพบว่าระดับความเหี่ยวเฉาของต้นข้าวปราณ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จากสิ่งนี้มันสามารถมองเห็นได้ว่าข้าวปราณส่วนอื่นบางส่วน กำลังอยู่ในขั้นตอนใกล้แสดงอาการหลังติดเชื้อ
โชคร้ายที่สถานการณ์เป็นไปตามที่มันคาดไว้อย่างแม่นยำ ในวัดถัดมา มีทุ่งนาปราณของศิษย์พี่สองคน แสดงอาการของโรคประหลาดนี้
ระดับผู้นำของสำนักยังไม่ได้กำหนดมาตรการอันใด ศิษย์พี่กัวหลูยังคงไม่ได้สติ
ชั้นเมฆอันหม่นมัวปกคลุมไปทั่วสำนักกระบี่สุญตา
ยังเหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวปราณ ทุกผู้คนได้แต่สวดภาวนา ให้ทุ่งนาปราณของพวกมันรอดพ้นจากภัยพิบัติ และทนอยู่ได้จนกระทั่งการเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ
ทว่าการภาวนาไม่ได้ช่วยอันใด ปีนี้จำนวนของผู้ที่อาจสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่หลงเหลือข้าวปราณแม้สักเม็ด เพิ่มขึ้นเป็นสิบคนอย่างรวดเร็ว
โชคดีของจั่วม่อคล้ายถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว มันเป็นหนึ่งในสิบคนนี้เอง ทุ่งนาปราณห้าหมู่ที่ข้างบ้านมันยังดีอยู่ แต่สำหรับทุ่งนาห้าสิบหมู่ที่มันเช่าจากสำนัก มีบางส่วนเริ่มปรากฏอาการต้นข้าวเหี่ยวเฉาขึ้น
หัวใจมันตึงเครียดอย่างกะทันหัน!
ไม่ว่าเวลาใดจั่วม่อก็ไม่เคยคิดจะไปจากสำนัก การเพาะปลูกอาจไม่ใช่อาชีพที่ง่ายดาย แต่ชีวิตมันยังสุขสำราญไม่น้อย ตั้งแต่มันฟื้นคืนสติเมื่อสองปีก่อน ก็อาศัยอยู่ในภูเขาสุญตามาตลอด ที่นี่ย่อมถือเป็นบ้านของมัน
แต่หากมันไม่สามารถจ่ายค่าเช่าทุ่งนาปราณในปีนี้ มันจะถูกขับออกจากสำนัก
นี่ไม่ใช่เรื่องที่มันยอมรับได้! ไม่ต้องกล่าวถึงว่าหากมันไปจากบ้านหลังนี้ มันยังจะหาเส้นชีพจรปราณปฐพีย่อยได้จากที่ใดอีกเล่า?
ไม่มีสิ่งใดจะน่าอึดอัดขัดใจยิ่งไปกว่า การทนเฝ้ามองต้นข้าวปราณเหี่ยวเฉาไปทีละต้น ทีละต้น และไม่มีสิ่งใดจะสิ้นหวังมากไปกว่า การที่ไม่มีปัญญาหยุดยั้งการระบาดได้ กลิ่นคาวอันรุนแรงล่องลอยไปทั่วบริเวณทุ่งปราณ ทุ่งนาปราณอันอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นบึงโคลนแห่งความตาย
บรรยากาศยิ่งสลดหดหู่ สำนักได้สำรวจผู้ตกเป็นเหยื่อ พบว่าจำนวนของศิษย์ฝ่ายนอกที่ทุ่งนาปราณติดเชื้อโรคประหลาด เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบห้าคน ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ปลอดภัยอันใด
ต้นข้าวปราณเหี่ยวแห้งเกือบทั้งต้น เหลือเพียงส่วนที่อยู่ใกล้กับพื้นผิวดินเท่านั้น ที่ยังพอพบเห็นร่องรอยสีเขียวอยู่บ้าง หากพวกมันยังไม่สามารถหาทางออกได้ เมื่อพลังชีวิตของต้นข้าวปราณเหือดหายไป มันก็จะสายเกินไปเช่นกัน
ในขณะที่จั่วม่อกำลังจนปัญญา ทันใดนั้น นกกระเรียนกระดาษสีชมพูพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตามัน
“สตรีที่น่าตาย! เวลาเช่นนี้ยังคิดสร้างปัญหา!” จั่วม่อพอพบเห็นนกกระเรียนกระดาษ มันอดสบถไม่ได้
มันไม่ใส่ใจจะหยิบนกกระเรียนกระดาษ หัวเราะเยาะพลางพึมพำกับตัวเอง “ฮึ่ม เกอไม่สนใจเจ้า ไปเล่นของเจ้าผู้เดียวเถอะ”
เพียงสิ้นคำพูดมัน นกกระเรียนกระดาษพลันคลี่กางออกด้วยตัวมันเอง
“ท่านปู่ของข้า เจ้ากำลังรอผู้อื่นอยู่ที่ใด?”
สุ้มเสียงหวานใสและน่ารักชอนไชเข้าไปในรูหู คล้ายเลียน้ำผึ้งหวานล้ำหนึ่งคำ คล้ายถูกสะกิดอย่างอ่อนโยนที่หัวใจ หากเป็นบุคคลจิตใจอ่อนแอ เกรงว่าเพียงได้ฟัง กระดูกกระเดี้ยวคงอ่อนยวบยาบไปทั้งร่าง
จั่วม่ออ้าปากค้าง ยืนตะลึง มองนกกระเรียนกระดาษสีชมพูที่คลี่เปิดตัวเองออกมาตรงหน้ามัน บนนั้นเขียนตัวอักษร ตรงตามที่เสียงนั้นกล่าวออกมาทุกคำ
คลี่เปิดด้วยตนเอง กล่าววาจาด้วยตนเอง ตามหาผู้คนจนเจอด้วยตนเอง... ...
เจ้ากระเรียนกระดาษตัวจิ๋วสำแดงอิทธิฤทธิ์ติดต่อกันมากมาย จนกระทั่งวิญญาณที่อ่อนแอของจั่วม่อ คล้ายถูกทุบตีเข้าอย่างจังโดยไม่คาดฝัน
มันเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่มิใช่ว่ามันไปตอแยปัญหาอันใหญ่หลวงเข้าหรอกหรือ?
“ลืมมันเถอะ ลืมมันเถอะ โต้เถียงกับอิสตรีหาได้มีหน้ามีตาอันใดไม่ เกอจะไม่เล่นกับเจ้า!” มันกล่าวกับตนเองอย่างเที่ยงธรรม
“หวังจะใช้ความงามล่อลวงข้าหรือ? ฮึ่ม ฮึ่ม!” จั่วม่อหัวร่อเย้ยหยัน “เจ้ายังอ่อนหัดนัก อย่าว่าแต่สุ้มเสียงแฝงมนตราแค่นี้เลย แม้กระทั่งสตรีเปลือยเปล่างดงามไร้ที่เปรียบ เกอยังคงสงบนิ่ง หัวใจตั้งตรงดั่งลำต้นสน”
บนท้องทุ่งนาปราณ มีเพียงเสียงคล้ายเป็ดของจั่วม่อ แหกปากร้องเพลงดังกึกก้องไปทั่ว “แต่เดิมข้าเป็นกระจกเงา กระนั้นฝุ่นยังตกหลุมรักข้า อ่า อี้ ย้า... ...”
หางเสียงมันยังไม่ทันจะขาดหาย กระเรียนกระดาษสีชมพูอีกตัวหนึ่งก็บินลงจากฟ้า มาลอยอยู่ตรงหน้ามัน
กระเรียนกระดาษสีชมพูอันประณีต ขยับตัวเยื้องย่างประหนึ่งกำลังถอดอาภรณ์ แต่ละท่วงท่าสง่างาม ยามที่มันคลี่เปิดออกด้วยตนเอง
“ฮาฮา ท่านปู่ของข้าเอย หากเจ้าไม่ยอมตอบ กระเรียนน้อยตัวต่อไป ข้าจะวาดยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาทลงไปด้วย”
“คิดว่าข้ากลัว?” จั่วม่อไม่ยี่หระ “ข้าผู้นี้ เหมือนคนที่จะก้มหัวให้กับการข่มขู่ของพลังอำนาจ... ...”
มันพลันหยุดกึกอย่างกะทันหัน เอียงคอคิด พึมพำกับตัวเอง “เดี๋ยวก่อน ยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาท ข้าคล้ายเคยได้ยินจากที่ใด... ...”
กล่าวยังไม่ทันขาดเสียง ก็พลันเหลือบเห็นกระเรียนกระดาษน้อยสีชมพู บินจากขอบฟ้าตรงดิ่งมายังมัน
จั่วม่อเกาศีรษะ นกบ้านี่มาอีกแล้ว! ไฉนอีกฝ่ายค้นหามันพบได้?
นี่เป็นส่วนที่ทำให้มันงุนงงที่สุด มันไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ากระเรียนน้อยพันตัวมีความสามารถเช่นนี้ด้วย เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังอำนาจอย่างแท้จริง แต่หากเป็นยอดยุทธ์ผู้ทรงพลังอำนาจจริง ๆ ผู้ใดจะมัวมาใช้สินค้าด้อยสมรรถภาพเช่นกระเรียนน้อยพันตัวนี้?
รอประเดี๋ยว! นางกล่าวว่าหนนี้จะวาดยันต์ระเบิดเพลิงกัมปนาท... ...
จั่วม่อดวงตาเบิกกว้าง มันโถมออกไปสุดชีวิต โกยอ้าวโดยไม่รีรอลังเล
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวมาจากทางด้านหลัง พลังกดดันอันหนักหน่วงกวาดวูบ กระแทกใส่จั่วม่ออย่างรุนแรง จนกลิ้งเกลือกตีลังกาสองสามตลบ สวาปามดินโคลนเข้าไปเต็มรัก
จั่วม่อผุดนั่งมึนงง ผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มเยี่ยงมัน เพียงหลักแหลมในการเพาะปลูกพืชปราณเท่านั้น บางสิ่งบางอย่างเช่นระเบิด ไม่สมควรปรากฏขึ้นในชีวิตมัน
ดิ้นรนลุกขึ้นจากโคลนตม มันค่อยมองเห็นหลุมขนาดใหญ่ ที่เกิดระเบิดขึ้นด้านหลัง สีหน้ามันมืดมนยิ่ง
จากขอบฟ้า กระเรียนน้อยสีชมพูอีกตัวหนึ่งบินมาหยุดตรงหน้า แล้วคลี่กางออกประหนึ่งระบำเปลื้องผ้าอันสง่างาม แต่ในสายตาจั่วม่อมันไม่ใช่ความสง่างามธรรมดาสามัญ แต่เป็นความสง่างามที่เต็มไปด้วยความโปรดปรานขององค์ราชินี
ความโปรดปรานคือคุณลักษณะพิเศษเฉพาะขององค์ราชินี ซึ่งไม่สนใจว่าท่านจะเต็มใจด้วยหรือไม่
“ฮา ฮา ท่านปู่ของข้า ให้เวลาหนึ่งก้านธูป คราวนี้ข้าจะวาดยันต์ห่วงโซ่ระเบิดเพลิงกัมปนาท”
จั่วม่อจิตใจพังทลาย กระโดดผลุงขึ้นจากพื้นเหมือนก้นถูกไฟไหม้ มันคว้ากระดาษสีชมพูที่ลอยอยู่ตรงหน้า แล้ววิ่งห้อสุดฝีเท้า ตรงกลับไปยังบ้านของตน
หนึ่งก้านธูป! บ้าแล้ว!
สตรีน่าตาย!
เมื่อลานบ้านที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสายตา ปอดของจั่วม่อเกือบถูกเผาไหม้ ควันลอยออกจากลำคอ จั่วม่อแทบร่ำไห้ มันถลาเข้าไปในบ้านประดุจลมพัดลิ่ว มันโถมเข้าไปในห้องดั่งลมโหมกระหน่ำ มันกระชากตลับชาดกับพู่กันขนพังพอนขึ้นมาปานสายลมกระโชก จากนั้นตวัดมือรวดเร็ว
“ที่แท้เจ้าต้องการอันใด?”
ตัวอักษรแทบไม่เหลือเค้าความองอาจ สบายๆ และอิสระเสรีเหมือนครั้งก่อน มันช่างดูขมขื่น ไร้หนทางสู้ ดุจอิสสตรีอ่อนแอ ที่ถูกเดรัจฉานบุกเข้าไปในห้องของนางยามกลางวิกาล
ด้วยความรวดเร็วถึงขีดสุด มันพับกระดาษสีชมพูเป็นนกกระเรียน และด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าความเร็วขีดสุดเมื่อครู่ มันประจุพลังปราณลงไป แล้วเหวี่ยงสะบัดมือ
จากนั้นก็มายืนตบหน้าอกอย่างกังวล ขณะที่เฝ้ามองกระเรียนกระดาษ บินลับหายไปตรงเส้นขอบฟ้า
จั่วม่อรู้สึกว่าตนเองช่างอับโชคอย่างแท้จริง ไฉนตอนนั้นมันใช้การไม่ได้ จนไปเก็บกระเรียนกระดาษมหาประลัยนี่ขึ้นมา? ไฉนมันจึงตอบกลับไป?
พอนึกภาพกระเรียนกระดาษฝูงใหญ่ บินร่อนลงมาจากฟากฟ้า แล้วก็ ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! โดยมีตัวมันเป็นศูนย์กลาง ในระยะสามหลี่เกรงว่าไม่มีอันใดหลงเหลือ
จั่วม่อรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ
จากนั้นเพียงครู่เดียว กระเรียนน้อยสีชมพูตัวหนึ่งบินลอดหน้าต่างเข้ามา
“ฮาฮา ข้าเพียงต้องการสนทนากับท่านปู่ของข้า อ้าห์ ชีวิต ปรัชญา ดูสิ น่าสนใจถึงเพียงไหน?
จั่วม่อรีบยกธงขาว “ข้าขอยอมจำนน!”
แต่ผู้อื่นทำเมินเฉย “ฮาฮา ความฝันของท่านปู่คือสิ่งใด?”
“ได้รับจิงสือ” จั่วม่อเขียนลงไปอย่างไม่เต็มใจ เต็มไปด้วยความอัปยศอดสู
“ทำอันใดจึงได้รับจิงสือ?”
“อันใดก็ได้ ข้าย่อมไม่สามารถถ่ายมันออกมาจากก้น” จั่วม่อตอบอย่างไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
……
ก่อนที่จั่วม่อจะรู้สึกหนังศีรษะชา ในที่สุดมันก็เข้าใจ ผู้อื่นเป็นเพียงสตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบไข่ในหินผู้หนึ่ง นางเบื่อหน่ายยิ่ง เหงา อ้างว้าง และว่างเปล่ายิ่ง เห็นชีวิตเป็นเพียงผักหญ้า แต่กลับทรงพลังอำนาจอย่างผิดปกติ และตรงที่ ‘ทรงพลังอำนาจอย่างผิดปกติ’ นี้เอง ที่ดับความคิดแข็งขืนของจั่วม่อไปอย่างง่ายดาย
สิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง คือสตรีผู้นี้ยังติดนิสัยชอบรับประทานอาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่จั่วม่อรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ต่อลักษณะนิสัยที่กำลังค่อย ๆ เลือนหายไปจากโลกใบนี้ นิสัยนี้พอดีช่วยชีวิตแกะน้อยที่น่าสงสารเช่นมันไว้ได้
พอส่งนางจากไปชั่วคราว จั่วม่อค่อยหายใจได้อย่างคล่องขึ้น จากประสาทตึงเครียดอย่างสูงในตอนต้น จนกระทั่งถึงอาการชาด้านอย่างสิ้นเชิงในตอนท้าย มันถือว่าได้รับประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบ เกี่ยวกับกระบวนการที่จิตวิญญาณถูกเคี่ยวกรำจนได้รับบาดเจ็บ
หากจะมีสิ่งที่พอนับว่าดีอยู่บ้าง เรื่องนี้ทำให้มันคลายความหวาดกลัว ที่มีต่อต้นข้าวปราณที่ทำให้ศิษย์พี่กัวกระอักเลือด การถูกเคี่ยวกรำทรมานตลอดช่วงบ่ายวันนี้ ทำให้มันบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างสุดแสน ว่าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดจะน่ากลัวมากไปกว่าสตรีที่น่าขนพองสยองเกล้าเช่นนี้อีกแล้ว
จั่วม่อตัดสินใจจะลองพยายามช่วยเหลือทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ของมัน
มันยังไม่ปรารถนาจะจากบ้านของมันไป