ตอนที่แล้วบทที่ 12 เคล็ดสารพันพฤกษ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 โรคประหลาด

บทที่ 13 ความสำเร็จ


พอหลุดพ้นจากสภาวะว่างเปล่า จั่วม่อยืนไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่าช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งหรือไม่? มันคิดอย่างยินดี และเศร้าเสียดายอยู่บ้าง

และก็เป็นดังคาด เมื่อมันใช้เคล็ดสารพันพฤกษ์อีกหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่เหมือนเช่นครั้งแรก สภาวะว่างเปล่าไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก

แต่การร่ายรำของนิ้วทั้งสิบ กระจ่างชัดขึ้นในทุกกระบวนท่า ทั้งยังพลิ้วไหว ไหลลื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมโยงของการแปรเปลี่ยนกระบวนท่า กับการไหลเวียนของพลังปราณ ราวกับว่ามันได้ค้นพบเคล็ดลับชนิดหนึ่ง เมื่อนิ้วขยับ พลังปราณก็สับเปลี่ยนแปรผันตาม ทั้งคู่คล้ายผูกพันกันอย่างแนบแน่น

กระบวนท่าดัชนีอันตระการตา กับผลลัพธ์อันน่าสะพรึงกลัว ทำให้บรรดาศิษย์สตรีที่ยังคงหวาดหวั่น ถึงกับหุบปากนิ่งอย่างเชื่องเชื่อ

จั่วม่อเองก็ไม่ได้คิดว่าผลกระทบจะรุนแรงถึงเพียงนี้

เคล็ดสารพันพฤกษ์ทรงพลังอำนาจเกินกว่าที่คาดไว้ มันลอบตื่นตัวอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ ครั้งต่อไปหากมันคิดใช้เคล็ดสารพันพฤกษ์ สมควรระมัดระวังให้มากไว้

หากเทียบกับสิ่งที่มันเพิ่งทำเสร็จสิ้น ขั้นตอนถัดไปยังง่ายดายกว่ามาก พวกนางเพียงต้องไถพรวนทุ่งปราณอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มเพาะปลูกหญ้าปราณ

กระบวนการที่พวกนางใช้ปลูกหญ้าปราณ ช่วยให้มันได้เปิดหูเปิดตา จั่วม่อเห็นศิษย์สตรีผู้หนึ่งนำกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากช่วงเอว พอเปิดจุกไม้ ไส้เดือนสีทองก็ไต่ออกมา นางร่ายเวทวิชา จากนั้นไส้เดือนสีทองก็เริ่มขุดลงไปในทุ่งปราณ

ชั่วครู่เดียว คลื่นดินก็พลิกตลบ บิดกลิ้งไปกลิ้งมา เพียงระยะเวลาครึ่งก้านธูปมันก็หยุดลง ทุ่งปราณทั้งหมดถูกไถพรวนอย่างเรียบร้อย และที่น่าตื่นตาที่สุด คือไม่มีเศษดินกระเด็นออกจากทุ่งปราณแม้แต่ก้อนเดียว

จั่วม่ออดสนใจไม่ได้ “นี่คือสัตว์อันใด? ช่างสะดวกสบายนัก!”

หลี่อิงฟ่งทั้งรอบรู้ ทั้งจิตใจดีงาม นางอธิบายอย่างเป็นกันเอง “เราเรียกมันว่าไส้เดือนตลบโคลน มันไม่ใช่สินค้าระดับสูงอันใด เพียงใช้เพื่อไถพรวน แต่ได้ผลดีมาก หลังจากนี้เราจะมอบให้ศิษย์น้องด้วย มันสามารถช่วยเหลือเจ้าในการเพาะปลูกข้าวปราณ”

จั่วม่อยินดียิ่ง “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่หญิง!”

ในทุ่งปราณที่ไถพรวนใหม่ เหล่าศิษย์สตรีเริ่มช่วยกันหว่านเมล็ดหญ้าปราณ การเพาะปลูกหญ้าปราณไม่ต้องใส่ใจมากเท่าข้าวปราณ เพียงแค่หว่านให้กระจายตัว หนาแน่น และสม่ำเสมอก็พอ

หลังจากเสร็จสิ้นการหว่าน จั่วม่อเห็นศิษย์สตรีผู้หนึ่งเตรียมร่ายเคล็ดเมฆฝนหล่นริน มันรีบขันอาสา “ใช่ต้องการฝนหรือไม่ ข้าจะช่วยเอง”

เมื่อผู้อื่นมีน้ำใจแก่มัน มันย่อมไม่สะดวกใจจะรับสิ่งของผู้อื่นโดยมิได้ตอบแทน

หลี่อิงฟ่งปลาบปลื้มยิ่ง “ได้ยินว่าเคล็ดเมฆฝนหล่นรินของศิษย์น้องไปถึงขั้นที่สาม วันนี้นับว่ามีวาสนาได้ชมแล้ว”

เคล็ดเมฆฝนหล่นรินเป็นเวทวิชาที่จั่วม่อช่ำชองที่สุด มันแทบไม่ต้องเตรียมตัวอันใด เพียงตวัดมือร่ายเวทวิชา หมู่เมฆก็พลันก่อตัวครอบคลุมเหนือท้องทุ่งปราณ

เส้นด้ายสีเงินค่อย ๆ หลั่งรินสู่ทุ่งปราณ ในอากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทุกผู้คนล้วนรู้สึกว่าหัวใจกลายเป็นแช่มชื่นเปี่ยมพลัง

มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง ระหว่างเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สามกับขั้นที่สี่ เมื่อหยาดฝนซาจนขาดเม็ด สายรุ้งก็พาดผ่านเหนือท้องทุ่งปราณ

ทุกผู้คนได้แต่ทอดถอนชื่นชม ทันใดนั้นศิษย์สตรีผู้หนึ่งร้องตะโกน พลางชี้ไปทางทุ่งปราณ “สวรรค์ของข้า! พวกเจ้าดูสิ มันงอกแล้ว!”

ตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ เห็นแผ่นผืนต้นกล้าสีเขียวอ่อน ปรากฏขึ้นเต็มท้องทุ่งปราณ

จั่วม่อนำลูกปัดแก่นสารพืชออกมา แล้วร่ายเวทวิชาเคล็ดสารพันพฤกษ์อีกครั้ง ลูกปัดละลายในพริบตา กลายเป็นกระจุกด้ายสีมรกตนับไม่ถ้วน หลอมรวมลงไปในทุ่งปราณ

เหล่าต้นกล้าสีเขียวอ่อนในทุ่งปราณ พลันกลายเป็นสีเข้มขึ้นทันตา พวกมันพากันเติบโตอย่างน่ารื่นรมย์

“ศิษย์น้องเก่งกาจสมคำร่ำลือ!” หลี่อิงฟ่งยกย่องอย่างจริงใจ

ศิษย์น้องผู้ไม่เป็นที่รู้จักผู้นี้ ช่างมีความสามารถไม่สิ้นสุด และมักจะทำให้นางประหลาดใจอย่างไม่คาดฝันอยู่เสมอ นางยังค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาใดที่จั่วม่อใช้ออกมา ล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงกับสิ่งที่นางเคยได้ยินได้ฟัง

ไฉนมันปกปิดตัวเองไว้? หลี่อิงฟ่งนึกถึงคำถามเดิมอีกครั้ง

เคล็ดสารพันพฤกษ์ผสานกับเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ได้ผลดีอย่างโดดเด่น ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น หลี่อิงฟ่งไม่สนใจว่าจั่วม่อจะใช้วิธีการใด นางเพียงหวังว่าจะสามารถผลิตหญ้าปราณได้ในเร็ววัน

เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ในช่วงหลายวันต่อมา นอกเหนือจากไปรดน้ำที่สวนยาปราณวันละหนแล้ว จั่วม่อใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดบนดอยตะวันออก และนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้รับการรับรองอย่างหรูหรา ด้วยการผลาญจิงสือเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ

ร่างกายก็เหมือนภาชนะ หากต้องการกักเก็บพลังปราณมากขึ้น ย่อมต้องขยายขนาดภาชนะให้กว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มขนาดภาชนะ คือการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ยิ่งใช้พลังปราณมากเท่าใด บ่อยครั้งเท่าใด พลังปราณจะค่อย ๆ กรุยเส้นชีพจรปราณ ช่วยเสริมสร้างเส้นชีพจรอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเท่านั้น ทำให้สามารถเก็บกักพลังปราณได้มากขึ้น

ความหนาแน่นและความบริสุทธิ์ของพลังปราณที่มีอยู่ในจิงสือ มากเกินกว่าพลังปราณธรรมชาติที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันง่ายดายที่จะดูดซับ ทั้งยังเห็นผลการเปลี่ยนแปลงเส้นชีพจรปราณเด่นชัดยิ่งขึ้น

ตลอดหลายวันต่อมา จั่วม่อโหมใช้เคล็ดสารพันพฤกษ์และเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ทั้งวันทั้งคืน ภาระงานสำหรับทุ่งปราณสี่ร้อยกว่าหมู่ มันทำจนเสร็จสิ้นโดยลำพังผู้เดียว

เหล่าศิษย์สตรี ในที่สุดก็ได้ยลความบ้าคลั่งและความหมกมุ่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ยามที่มันลงมือทำงานแล้ว

ร่ายเวทวิชา ถือจิงสือนั่งเข้าฌาน แล้วกลับมาร่ายเวทวิชา จนกว่าพลังปราณจะเหือดแห้ง จากนั้นก็นั่งเข้าฌานอีก... ...

กระทั่งผู้ที่ยืนดูจากด้านข้าง ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบทานทนไม่ไหว แต่จั่วม่อยังกระทำวงจรเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย

แน่นอนว่าจั่วม่อย่อมไม่รู้สึกเบื่อหน่าย!

กับการเลี้ยงดูอันหรูหราเช่นนี้ มันกระทั่งฝันยังไม่เคยฝันถึงมาก่อน โอกาสอันดีงามถึงเพียงนี้ หากมันไม่ใช้ประโยชน์ นี่ไม่เท่ากับโง่งมอย่างยิ่งหรอกหรือ?

จั่วม่อไม่ประหยัดพลังปราณแม้แต่น้อย ทุก ๆ ครั้ง มันจะรีดเค้นพลังปราณในร่างออกมาใช้จนเหือดแห้ง จากนั้นจะนำจิงสือออกมาดูดซับอย่างบ้าคลั่ง

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ มันได้รับประโยชน์มหาศาล จนแอบคิดว่า ต่อให้ไม่ได้รับสิบชิ้นจิงสือระดับสองเป็นค่าจ้าง มันยังคงตกลงรับงานอย่างแน่นอน

เส้นชีพจรปราณของมันไม่เคยดึงพลังปราณออกมา ในลักษณะเช่นนี้มาก่อน เหมือนผืนดินแห้งแล้ง จู่ ๆ ได้พบกับสายฝนห่าใหญ่ เพียงสองสามวันเท่านั้น ปริมาณพลังปราณในร่างมันเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งในสิบส่วน เส้นชีพจรปราณก็ขยายขึ้น และแข็งแรงขึ้นเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว ด้วยการที่มันใช้เคล็ดสารพันพฤกษ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ความชำนาญก็เพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรง จนเริ่มจะเห็นสัญญานของการทะลวงสู่ขั้นที่สอง

เหม่อมองท้องทุ่งปราณเขียวขจี ทุกท้องทุ่งล้วนงอกงามด้วยหญ้าปราณที่ปลูกขึ้นใหม่ นั่นหมายความว่าภาระงานของมันแล้วเสร็จเรียบร้อย ในใจมันเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ

เมื่อใดเล่า ที่มันจะได้พบกับสิ่งที่ดีงามเช่นนี้อีก!

มันทอดถอนลึกในหัวใจ

เป็นเวลาห้าวัน จั่วม่อใช้ห้าชิ้นจิงสือระดับสองจนหมด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันยังปรารถนาให้ดำเนินต่อไป

แต่โชคดีอยู่บ้าง สิบชิ้นจิงสือระดับสองอันเป็นค่าจ้าง เพียงพอจะเยียวยาความโหยหาในหัวใจมันได้

ก้อนหินที่ถ่วงในใจหลี่อิงฟ่งก็หายไป แม้ว่าจะจ่ายด้วยราคาสูงไปบ้าง แต่ในที่สุดสามารถแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากได้ ทั้งยังได้พบปะคบหากับศิษย์น้องเข้มแข็งผู้หนึ่ง โดยรวมแล้วถือว่านางพึงพอใจยิ่ง

------------------------------

ทำงานแล้วผ่อนคลาย นั่นคือวิถีทางที่ถูกต้อง

กลับมาถึงบ้าน ถุงเงินของจั่วม่อพองโต อารมณ์ของมันก็ผ่อนคลาย

แต่สำหรับการบำเพ็ญตบะประจำวัน มันไม่เคยเกียจคร้าน แม้ว่าประสิทธิภาพของการนั่งเข้าฌานตามปกติอาจด้อยกว่า หากเปรียบเทียบกับการดูดซับจิงสือ แต่จั่วม่อยังคงมุ่งมั่นและยืนกราน ควรทราบว่าแม้พลังปราณธรรมชาติในจิงสือจะบริสุทธิ์ และง่ายต่อการดูดซับ แต่พลังงานรุนแรงไปบ้าง ส่วนการนั่งเข้าฌานตามปกติ แม้ว่าการดูดซับพลังปราณธรรมชาติอาจเชื่องช้า แต่มันอ่อนโยนมาก

ในระยะยาว หากพึ่งพาการดูดซับจิงสือมากเกินไป มันจะทิ้งผลกระทบข้างเคียงไว้เป็นอันตรายแฝง

สำหรับเหล่าสำนักใหญ่นั้น มีรากฐานมั่นคงยาวนาน เพียบพร้อมด้วยสรรพวิชา พวกมันมีหลากหลายวิธีที่สามารถจัดการกับอันตรายแฝงนี้ แต่สำหรับจั่วม่อแล้ว มันห่างชั้นจากผู้คนเหล่านั้นมาก

แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุด ก็คือจั่วม่อไม่มีปัญญาหาจิงสือมากมายปานนั้น มาถลุงเล่นได้

นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยามนี้มันมุ่งเน้นฝึกฝนเคล็ดทองคำคร่ำคร่า กับเคล็ดสารพันพฤกษ์เป็นหลัก

เคล็ดทองคำคร่ำคร่าอยู่ที่ขั้นที่สอง ส่วนเคล็ดสารพันพฤกษ์ ไม่ได้ห่างไกลจากการบรรลุขั้นที่สองมากนัก หากมันสามารถฝึกฝนจนทั้งสองวิชาทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สาม รวมกับเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สี่ ก็เพียงพอแล้วที่มันจะได้รับคุณสมบัติของเกษตรกรปราณ

ฮ่า เมื่อถึงเวลานั้น จิงสือก็จะไหลมาเทมา... ...

--------------------------------------

สองสามวันหลังจากนั้น อารมณ์ของจั่วม่อยังคงดียิ่ง

แต่ละวัน มันจะวิ่งอย่างเบิกบานใจไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก เพื่อร่ายเวทเรียกฝน สมุนไพรปราณในสวนยาเจริญงอกงามดี ผลลัพธ์อันโดดเด่นของเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นสี่เห็นได้อย่างชัดเจน สมุนไพรปราณเหล่านั้นดูคล้ายมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ทุกครั้งที่มันเริ่มเสกเรียกฝน เหล่าสมุนไพรปราณจะทำตัวเรียบร้อย และแกว่งไปแกว่งมาอย่างยินดี อารมณ์ของจั่วม่อยิ่งร่าเริงเมื่อเห็นเหล่าสมุนไพรปราณเต้นรำ สำหรับภาระงานที่มันถูกบังคับให้ทำนี้ ความไม่พอใจได้ค่อย ๆ ลดลงมานานแล้ว

สวนยาปราณในหุบเขาหมอกเย็นเยือกเป็นทุ่งปราณระดับที่สาม สติปัญญาของสมุนไพรปราณเหล่านี้ ย่อมสูงกว่าพืชธรรมดามาก

เคราะห์หามยามร้ายถูกกวาดออกไป ชีวิตของมันเริ่มสดใสอีกครั้ง

เหมือนเช่นทุกครั้ง มันตรวจสอบไปรอบ ๆ พื้นที่ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอันใด มันก็ออกจากหุบเขาหมอกเย็นเยือก

ไม่นานหลังออกจากหุบเขาหมอกเย็นเยือก มันพลันได้ยินเสียงผู้คนสนทนากันจากทางด้านหน้า

“เหล่าเฮยช่างเคราะห์ร้ายนัก ข้าวปราณของมันติดโรคประหลาดนั่นเข้าเสียแล้ว  ปีนี้อาจจะไม่เหลือข้าวเลยสักเม็ด และปีต่อไปมันอาจจะไม่ได้ปลูกข้าวปราณอีก มันยังมีครอบครัวทั้งชราทั้งเยาว์วัย เกรงว่าจากนี้วันคืนของมันคงลำบากลำบนยิ่ง”

“โอ้ มันเป็นโชคชะตา! ข้ายังกังวลว่าโรคประหลาดนี้จะระบาดออกไป หากพวกเราพลอยติดเชื้อไปด้วย นั่นละที่น่าอนาถอย่างแท้จริง!”

“ถูกแล้ว! สวรรค์คุ้มครองด้วยเถอะ! ข้ายังหวังจะนำผลผลิตของปีนี้ไปแลกกับเคล็ดวิชากระบี่”

“ข้าก็เช่นกัน!”

โรคประหลาด? หัวใจจั่วม่อสะท้านขึ้น

ในการเพาะปลูกพืชปราณ สิ่งที่ผู้คนเกรงกลัวที่สุด ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าโรคประหลาด อันระบุที่มาไม่ได้ เมื่อมันเกิดระบาดขึ้นมา ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจต้องสูญเสียผลผลิตตลอดปีไป

สองปีมานี้ จั่วม่อได้เห็นศิษย์พี่น้องหลายคน เพราะประสบโชคร้ายเช่นนี้ ดังนั้นพวกมันไม่สามารถจ่ายค่าเช่าทุ่งปราณให้แก่สำนักได้ และถูกขับออกจากสำนักไป

เมื่อไม่นานมานี้ จั่วม่อเพิ่งได้เสกเรียกฝนให้ทุ่งนาของเหล่าเฮย ข้าวปราณของเหล่าเฮยเจริญงอกงามดียิ่ง ไฉนพวกมันจู่ ๆ ก็ติดโรคประหลาดขึ้นมา? จั่วม่อรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง

หากถามว่าผู้ใดลำบากยากเข็ญที่สุดในสำนัก มันสมควรเป็นเหล่าเฮยนี่เอง

เหล่าเฮยมีครอบครัว บุตรชายมันคาดกันว่ามีพรสวรรค์แต่กำเนิด และได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมสำนักกระบี่เล็ก ๆ สำนักหนึ่ง บรรณาการที่มันจำเป็นต้องจ่ายให้สำนักในแต่ละปี ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เมื่อรวมกับวัสดุที่จำเป็นในการฝึกตนและจิงสือ มันย่อมมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

เหล่าเฮยมีพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้า มันเช่าที่นาปราณเต็มสองร้อยหมู่จากสำนัก และใช้เวลาทั้งหมดกับการดูแลเพาะปลูกข้าวปราณ สิบปีมานี้ พลังฝึกตนของมันไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น จิงสือที่มันหามาได้ก็ยังแทบไม่พอยาไส้

ปีนี้เหล่าเฮยทำงานหนักยิ่งกว่าทุกปี มีข่าวลือว่าบุตรชายมันอยู่หน้าประตูด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ดแล้ว และเพื่อให้บุตรชายมันทะลวงผ่านขึ้นไปยังขั้นที่เจ็ดได้ มันต้องการจิงสือจำนวนมาก

มันยังต้องมีจิงสือที่จะมอบให้ผู้อาวุโสของสำนัก สำหรับเพื่อให้พวกมันสนใจเป็นพิเศษ นั่นเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้

นอกเหนือจากนั้น เหล่าเฮยได้ตั้งความหวังกับอีกวิธีหนึ่ง

สถานที่ใดปราศจากเส้นชีพจรปราณปฐพี ปริมาณของพลังปราณธรรมชาติในอากาศย่อมเบาบางยิ่ง หากพึ่งพาพลังปราณธรรมชาติเหล่านั้น เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังปราณในร่างของตัวเอง ผลลัพธ์จะเชื่องช้ายิ่ง ครอบครัวของเหล่าเฮยแน่นอนว่าอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้เอง

ควรทราบว่าผู้ฝึกตนที่มั่งคั่ง มักจะใช้สองวิธีการเสริม หนึ่งคือรับประทานข้าวปราณเป็นประจำ ในข้าวปราณมีพลังปราณธรรมชาติไม่มากนัก แต่ผลกระทบของมันอ่อนโยนและดูดซึมได้ง่าย ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือการดูดซับพลังปราณธรรมชาติจากจิงสือโดยตรง นี่จึงเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น การดูดซับจิงสือยังมีประสิทธิภาพพิเศษเฉพาะ สำหรับเพื่อทะลวงผ่านระดับชั้น

เหล่าเฮยคิดใช้วิธีอย่างหลังนี้เอง เพื่อให้บุตรชายทะลวงผ่านอุปสรรค ขึ้นสู่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เจ็ด

จั่วม่อตัดสินใจลองไปสังเกตการณ์ดู ถ้าหากโรคประหลาดเกิดระบาดขึ้นมาจริง เกรงว่าแม้แต่ทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ของมัน ก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

มีผู้คนมากมายอยู่รอบ ๆ ทุ่งนาปราณที่เชิงเขา จั่วม่อค้นพบเหล่าเฮยในการเหลือบมองแวบเดียว ใบหน้าดำ คล้ำของเหล่าเฮย ยามนี้ซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด ดวงตามันว่างเปล่า เลื่อนลอย และสิ้นหวัง

สภาพของทุ่งนาปราณที่จั่วม่อเองเป็นผู้เสกเรียกฝนให้ ยามนี้เพียงพอจะทำให้มันผวา

เห็นต้นข้าวปราณเหี่ยวเฉาเกือบทั้งหมด ส่วนใบและลำต้นเต็มไปด้วยพลังงานสีดำทะมึน ไม่ว่าผู้ใดเห็นสภาพเช่นนี้ ย่อมแน่ใจได้ว่าข้าวปราณเหล่านี้ จะไม่มีต้นใดเหลือรอดไปได้อย่างแน่นอน เหล่าศิษย์พี่น้องหลายคนรวมตัวกันอยู่ที่ชายขอบของทุ่งนาปราณ พวกมันจับกลุ่มสนทนาเสียงแผ่วเบา แต่ละเสียงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

“ศิษย์พี่กัวมาแล้ว! ศิษย์พี่กัวมาแล้ว!”

เสียงบางคนโห่ร้องขึ้นในฝูงชน ดวงตาสิ้นหวังของเหล่าเฮยเริ่มมีประกาย มันรีบตะกายขึ้นจากพื้น

เคล็ดทองคำคร่ำคร่าของศิษย์พี่กัวหลู ลึกล้ำช่ำชองที่สุดในสำนัก มันบรรลุขั้นที่สองตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ข่าวล่าสุดยังกล่าวว่ามันกำลังจะเข้าสู่ขั้นที่สามในไม่ช้า ตลอดมา หากพบโรคประหลาดที่รักษาไม่หายเกิดขึ้นกับข้าวปราณ ทุกผู้คนล้วนเรียกหาศิษย์พี่กัวหลู และมันก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง หลายต่อหลายครั้งที่มันสามารถช่วยเหลือข้าวปราณ ที่ผู้อื่นเห็นว่าหมดหวังแล้วเอาไว้ได้

ศิษย์พี่กัวหลูเดินเท้าเปล่า สวมกางเกงขาสั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ดูเผิน ๆ คล้ายชาวนาเฒ่าผู้หนึ่ง เมื่อมันพบเห็นทิวแถวข้าวปราณที่เหี่ยวเฉา มันอดหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่งไม่ได้ ก่อนจะกลับเป็นปกติในพริบตา

การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าวูบหนึ่งนี้ ที่จริงเล็กน้อยมาก แต่จั่วม่อกลับบังเอิญสังเกตพบ

คราแรกที่มันเห็นทุ่งนาปราณอันเหี่ยวเฉา มันก็บังเกิดความรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อพบว่าสีหน้าของศิษย์พี่กัวหลูถึงกับแปรเปลี่ยน ลางสังหรณ์อันเลวร้ายในใจยิ่งรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ที่เคล็ดทองคำคร่ำคร่าของมันก้าวหน้าครั้งใหญ่ มันก็เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น

หากเป็นเพียงศัตรูพืชธรรมดา ใบที่เหี่ยวเฉาของต้นข้าวปราณจะไม่เจือสีดำเช่นนี้ สีดำนี้ประหนึ่งเถ้าสีดำแห่งความตาย บันดาลให้หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดผวา

เหล่าเฮยแทบจะถลาไปเบื้องหน้าศิษย์พี่กัวหลู มันตะโกนเสียงบีบหัวใจ “ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!”

เห็นสีหน้าสิ้นหวังของเหล่าเฮย กัวหลูสีหน้าเด็ดเดี่ยวขึ้น มันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะทำเท่าที่ทำได้!”

จากนั้นมันเดินเข้าไปในทุ่งนาปราณ สายตาทุกคู่รวมตัวกันบนร่างมัน ไม่มีผู้ใดสนทนากัน ทุกผู้คนล้วนจ้องเขม็ง จดจ่ออยู่กับทุกย่างก้าวที่ศิษย์พี่กัวย่ำเข้าไปในทุ่งนาปราณ

ศิษย์พี่กัวหลูสีหน้าดูน่ากลัว มันเดินตรงไปยังข้าวปราณที่เหี่ยวแห้ง นั่งคุกเข่าลง พินิจพิเคราะห์ทุกส่วนของข้าวปราณอย่างตั้งอกตั้งใจ มันยังฉีกใบที่เหี่ยวแห้งเจือสีดำ ออกมาดู แล้วดม การตรวจตราของมันละเอียดลออยิ่ง มันยังเดินตระเวนก้ม ๆ เงย ๆ ไปเกือบทั่วท้องทุ่งนา ใช้เวลาไปร่วมครึ่งชั่วยาม

เห็นสีหน้ามันงงงวยหนักขึ้น หวาดระแวงมากขึ้น ราวกับว่ามันกำลังเผชิญกับบางสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง

มันส่ายหัวดิก สีหน้ายังงุนงง ขณะที่ยื่นมือออกไปจับใบที่เหี่ยวแห้งของต้นข้าวปราณ

จั่วม่อผู้คุ้นเคยกับเคล็ดทองคำคร่ำคร่า ทันใดนั้นก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมา มันรู้ว่าช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด