บทที่ 11 เจ้าผีดิบจอมละโมบ
หากเป็นก่อนที่ทั้งคู่จะได้ประมือกัน หลี่อิงฟ่งอาจจะยังกังขาในตัวมันอยู่บ้าง แต่ยามนี้ข้อสงสัยของนางลดน้อยลงมาก ด้วยพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด มันสามารถยืนอยู่หัวแถวในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก ศิษย์น้องผู้นี้ยังเป็นเช่นเดียวกับศิษย์น้องคนอื่น ๆ มันเลือกเพาะปลูกข้าวปราณ
จั่วม่อพยักหน้า “พลังชีวิตของวัชพืชนี้เข้มแข็งยิ่ง หากข้าคาดเดาไม่ผิด การตัดมันทิ้งไม่ใช่วิธีที่ดี บาดแผลจะกระตุ้นให้มันยิ่งงอกงาม หรืออาจกล่าวได้ว่า ยิ่งตัด ยิ่งถากถาง มันจะยิ่งเติบโตแพร่พันธุ์เร็วขึ้น”
เหล่าศิษย์สตรีหันไปซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรวดเร็ว
หลี่อิงฟ่งพลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “ที่แท้นั่นก็คือเหตุผล! ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันงอกงามขึ้น งอกงามขึ้น จนชวนผวา เช่นนั้นหากขุดรากถอนโคนมันเสีย สามารถแก้ไขได้หรือไม่?”
จั่วม่อกล่าวอย่างครุ่นคิด “หากเป็นตอนแรก วิธีนี้สมควรไม่มีปัญหาอันใด แต่สำหรับยามนี้ เกรงว่าในดินคงเต็มไปด้วยเมล็ดของพวกมันแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขุดรากคอนโคนให้สิ้นซาก”
“เช่นนั้น ศิษย์น้องมีคำแนะนำดีงามอันใด?”
“ข้าคงต้องกลับไปคิดดูเสียก่อน” จั่วม่อตอบ
หลี่อิงฟ่งหยิบถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมายื่นส่งให้จั่วม่อ
จั่วม่อรับถุงผ้ามาอย่างงุนงง เมื่อเปิดออกดู มันก็อ้าปากค้าง มีจิงสือระดับสองจำนวนห้าชิ้นอยู่ภายในถุง
“นี่สำหรับการล่วงเกินศิษย์น้องในวันนี้ ข้าเสียใจจริง ๆ จิงสือเหล่านี้หวังว่าจะช่วยชดเชยความตื่นตระหนกของศิษย์น้องได้ ศิษย์น้องก็อย่าได้ตำหนิว่ามันน้อยเกินไป” หลี่อิงฟ่งกล่าวพลางจ้องมองจั่วม่อ
ในใจจั่วม่อเบิกบานยิ่ง แต่ปากกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” ปากกล่าวก็ส่วนปาก แต่มือของมันซุกเก็บถุงเงินใส่ในอกเสื้อ การเคลื่อนไหวไหลลื่นเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
เสี่ยวกั่วอ้าปากค้าง จ้องจั่วม่ออย่างตะลึงลาน ศิษย์สตรีคนอื่น ๆ ก็มองมันอย่างดูหมิ่น – เจ้าผู้นี้ช่างละโมบเสียจริง!
ก้อนหินที่ถ่วงในใจหลี่อิงฟ่งพลันร่วงหล่นลง นางค่อนข้างโล่งอก อันที่จริงนางย่อมไม่ต้องการบาดหมางกับศิษย์น้องผู้เปี่ยมล้นด้วยศักยภาพผู้นี้ เพียงเพราะเรื่องเข้าใจผิดโดยไม่ตั้งใจ ห้าชิ้นจิงสือระดับสองไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย แต่สำหรับนางผู้มีชาติตระกูลอันมั่งคั่ง ถือว่าไม่มากมายเกินไป หากสามารถใช้เงินจำนวนนี้เพื่อลบล้างความเข้าใจผิด ในมุมมองของนางแล้ว นี่นับว่าคุ้มค่าสมราคายิ่ง
“ศิษย์พี่หญิง อย่าได้กังวลมากไป เรื่องของวัชพืชนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศิษย์น้องผู้นี้เอง” นี่อาจเป็นเพราะอิทธิพลลี้ลับของจิงสือห้าชิ้นก็เป็นได้ แต่เหล่าศิษย์สตรีทั้งหมดล้วนรู้สึกว่า เจ้าผีดิบน่าชังผู้นี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมาทันควัน
หลี่อิงฟ่งประสานมือคำนับ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนศิษย์น้องแล้ว”
แต่ในใจนางไม่ได้หวังมากนัก หากจั่วม่อมีหนทางจริง มันจะไม่กล่าวว่าจะกลับไปลองคิดดู
จั่วม่อไม่เคยคาดคิดเลย ว่าเพียงหลงเลอะเลือนชั่วคราว จนบังเกิดเมตตาจิตชั่ววูบในวันนี้ จะนำมาซึ่งห้าชิ้นจิงสือระดับสอง แบบได้เปล่า ในทางหนึ่งมันเพาะสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับหลี่อิงฟ่ง อีกทางหนึ่งก็ได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยของนาง
ก่อนนี้จิงสือที่มันมีอยู่ ส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปเกือบหมด คงเหลืออยู่ไม่มากนัก เช่นเดียวกันกับเงินสำรองที่ต้องจำกัดจำเขี่ย แต่แล้วโชคลาภพลันบินเข้ามาโดยมิต้องเชื้อเชิญ ความประหลาดใจอันไม่คาดฝัน ทำให้มันตัวเบาพองฟูจนเกือบจะล่องลอย
สำหรับการจ้องมองดูถูกเหยียดหยามของบรรดาศิษย์สตรี มันมองเมินเหมือนเป็นอากาศธาตุไปโดยสมบูรณ์
ครวญเพลงเบา ๆ แบกต้นวัชพืชกองหนึ่ง จั่วม่อออกจากดอยตะวันออกอย่างร่าเริง
“เจ้าผู้นี้หนังหน้าหนายิ่ง ข้าถลึงตาจ้องมองมันจนตาข้าเจ็บ แต่สีหน้ามันกลับไม่แดงแม้แต่น้อย!”
“ดูกิริยาที่มันฉกถุงเงินของศิษย์พี่หญิงสิ ช่างหยาบคายเหลือเกิน!”
“ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ ... ...”
……
เสี่ยวกั่วทำปากยื่น พลางงึมงำว่า “ศิษย์พี่เป็นคนดีมาก จริง ๆ นะ ... ...” ขณะที่นางพูดเอง นางยังรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใด เสียงนางก็เบาลง เบาลง จนท้ายที่สุดก็ถูกกลืนหายไป ในการสนทนาอันวุ่นวายของเหล่าศิษย์พี่หญิง
“พอได้แล้ว!” หลี่อิงฟ่งตะโกนพลางขมวดคิ้ว เสียงจ้อกแจ้กจอแจเงียบลงในบัดดล
นางมองตามร่างผอมแห้งที่ลับหายไปตามเส้นทางภูเขา ผู้ที่นางมิอาจอ่านออกว่ามันคิดเห็นเช่นไร นางย่อมไม่เปิดเผยพลังฝึกตนที่แท้จริงของจั่วม่อ ต่อบรรดาสตรีช่างนินทาเหล่านี้ หากผู้อื่นจงใจปิดปังไว้ แต่นางกลับกระจายข่าวออกไป นางจะเพาะสร้างศัตรูเข้มแข็งผู้หนึ่ง นั่นมิได้ฉลาดเลย ทั้งหาได้เกิดประโยชน์อันใด
.....................
จั่วม่อรีบเร่งกลับไปยังบ้านหลังน้อยของมัน หลังจากเสียเวลาไปไม่น้อย แก่นสารพืชที่มันเก็บมาใกล้จะสูญเสียประสิทธิภาพแล้ว
จั่วม่อยืนเคร่งขรึมอยู่ในทุ่งนาปราณข้างบ้าน ลูกปัดสีเขียวลอยอยู่เบื้องหน้า หมุนกลิ้งไปมาอย่างน่ารักน่าชัง สองมือมันยื่นเหยียด สิบนิ้วร่ายรำสลับไปมาอย่างรวดเร็ว พลังปราณกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น กระจายกว้างออกไปในอากาศอีกครั้ง
ลูกปัดแก่นสารพืชค่อย ๆ ละลาย ก่อตัวเป็นสระน้ำเขียวขจี สิบนิ้วของจั่วม่อขยับไหลลื่น แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ปลายนิ้วมือเริ่มเรืองแสง ทุกครั้งทิ่ดัชนีกรีดวาด จะปรากฏเส้นเรืองแสง ยิ่งนิ้วรวดเร็วเพียงใด เส้นเรืองแสงก็ยิ่งซ้อนทับ ก่อเกิดแผนผังที่ทั้งลึกลับและคลุมเครือชนิดหนึ่ง สระน้ำสีเขียวกลับกลายเป็นเส้นใยสีเขียวหลายพันเส้น โบกปลิวอยู่กลางอากาศ
“ไป!” จั่วม่อตวาดเบา ๆ
เส้นใยสีเขียวพลันกระจายพร่างเข้าสู่ทุ่งนาปราณ ประหนึ่งเทพธิดาโปรยดอกไม้
จั่วม่อถอนหายใจโล่งอก พลังปราณที่ปลายนิ้วกระจายหายไป
หากกล่าวถึงความยาก เคล็ดสารพันพฤกษ์เป็นเวทวิชาที่ยากที่สุด ในหมู่เวทวิชาทั้งห้าชนิด ไม่ใช่เพียงแค่กระบวนท่าดัชนีสลับซับซ้อนมาก การควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณยังต้องแม่นยำ ยิ่งกว่าวิชาใดในอีกสี่เวทวิชา
เพื่อที่จะฝึกฝนกระบวนท่าเคลื่อนไหวดัชนี จั่วม่อจะออกไปสองชั่วยามต่อวัน มันเป็นเรื่องน่าเบื่อถึงที่สุด เมื่อต้องฝึกฝนกระบวนท่าเฉพาะนิ้วมือเพียงอย่างเดียว เพราะนอกจากจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดแล้ว การเชื่อมประสานอันลื่นไหล และจังหวะยังต้องไร้ที่ติ
นิ้วผอมเหมือนกระดูกของมันผ่านการฝึกฝน จนถึงจุดที่นิ้วเกือบจะแตกหัก และยังถึงจุดที่มันอยากจะสำรอกออกมา
อย่างไรก็ตาม มันยังคงยืนหยัดฝึกฝนต่อไป เคล็ดสารพันพฤกษ์ขั้นแรกไม่ได้ยากเย็นอันใดสำหรับมัน สำหรับขั้นที่สอง ในระยะอันสั้นยังไม่อาจคาดหวังได้
บำเพ็ญตบะเพิ่มพูนพลังฝึกตน ฝึกฝนกระบวนท่าดัชนี ดูแลทุ่งนาปราณ และสวนยาปราณ ชีวิตมันเต็มเปี่ยมจนแทบจะล้น ยามนี้ยังต้องเพิ่มหน้าที่ ค้นหาวิธีกำจัดวัชพืชเข้าไปด้วย
หลี่อิงฟ่งอาจจะไม่ได้คาดหวังอันใด แต่สำหรับจั่วม่อ ไม่ได้เพียงกล่าวลวก ๆ มันตัดสินใจค้นหาแนวทางแก้ปัญหาจริง ๆ
นี่เป็นปัญหาที่ยุ่งยากถึงที่สุด ทีแรกที่มันนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เพียงเพราะเผลอใจอ่อนกับคำเรียกหา ‘ท่านแม่’ อย่างหมดหนทาง ของเสี่ยวกั่วเท่านั้น แต่พอหลี่อิงฟ่งมาพร้อมกับห้าชิ้นจิงสือระดับที่สอง สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไปแล้ว
จั่วม่อผู้นี้อาจมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่พอนับว่าดี นั่นคือหากเป็นสิ่งที่มันตัดสินใจแล้ว มันจะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อกระทำให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถกระทำ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะคำ ‘ท่านแม่’ คำนั้น หรือจะเป็นเพราะห้าชิ้นจิงสือระดับสองของหลี่อิงฟ่ง ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่มันคิด
หากว่ากันตามจริง จั่วม่อมีประสบการณ์ในการเพาะปลูกเพียงสองปีเท่านั้น ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหญ้าปราณหรือข้าวปราณ สมควรเรียกได้ว่าน่าอนาถใจ
จั่วม่อรู้ดีว่าไม่ง่ายดาย แต่มันไม่เคยหวั่นเกรง
-----------------------------------------
บนดอยตะวันออก หลี่อิงฟ่งกำลังฟังรายงานจากศิษย์สตรีผู้หนึ่ง
“พวกเราไปสอบถามที่ตงฝูแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ราคาของหญ้าปราณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นหญ้ากระบี่เขียวหนึ่งต้าน ก่อนหน้านี้ราคาห้าชิ้นจิงสือระดับแรก ตอนนี้ขึ้นเป็นแปดชิ้น หญ้าปราณชนิดอื่น ๆ ยังขึ้นราคามากกว่านี้อีก พวกมันล้วนกล่าวว่า ความขัดแย้งที่มหานครนภาโลหิตรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นราคาสินค้าจะทะยานขึ้นทุกหนทุกแห่ง”
ศิษย์สตรีผู้นั้นกล่าวไปกล่าวไป ก็เกือบจะร่ำไห้ออกมา ศิษย์สตรีคนอื่น ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าหม่นมัว
หลี่อิงฟ่งหัวใจกระตุก แต่ใบหน้านางยังแสร้งทำเป็นเยือกเย็น แปดชิ้นจิงสือระดับหนึ่งต่อหญ้าปราณน้ำหนักหนึ่งต้าน สำหรับคอกสัตว์ที่ต้องการหญ้าปราณจำนวนมากทุก ๆ วัน ปริมาณรวมของหญ้าปราณที่ต้องการ นับว่าน่าแตกตื่นสะท้านโลกแล้ว แม้ว่าตระกูลนางจะมั่งคั่ง แต่ยังไม่สามารถแบกรับการถลุงเงินเช่นนี้ได้
สองสามวันมานี้ นางพยายามหาทางขุดรากถอนโคนวัชพืช แต่การเจริญเติบโตของหญ้าปราณดูเหมือนจะไม่ฟื้นตัวเลย และยังคงเหี่ยวเฉาลงเรื่อย ๆ
ในทุ่งปราณ วัชพืชกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังลุกลามด้วยความเร็วอันน่าตระหนก หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าวันคืนที่พวกนางไม่สามารถจัดหาหญ้าปราณได้อีก ใกล้จะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว
“ศิษย์พี่หญิง เจ้าผีดิบจอมละโมบมาอีกแล้ว!” ศิษย์สตรีนางหนึ่งกล่าว เต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“มันยังมีหน้ามา?”
“เจ้าคล้ายลืมเลือนไป มันหามีใบหน้าแต่แรกไม่”
“นั่นก็ใช่แล้ว!”
……
เสี่ยวกั่วทำปากยื่น นางย่นใบหน้ารูปผลผิงกว่ออันน่ารัก ขณะที่จ้องมองเหล่าพี่สาวอย่างไม่พอใจ
หลี่อิงฟ่งตาสว่างวาบ นางเกือบจะรีบวิ่งออกไปรับหน้า ประสบการณ์ของนางเหนือล้ำกว่าบรรดาศิษย์น้องมาก หากจั่วม่อไม่มีข่าวคราวอันใด นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่มันเมื่อกลับมายังดอยตะวันออกอีกครั้ง ทำให้หลี่อิงฟ่งอดนึกถึงวาจาที่มันกล่าวไว้ก่อนจากไปมิได้
หรือว่า... ...
เมื่อหลี่อิงฟ่งเห็นสภาพของจั่วม่อ นางก็ตะลึงลาน
ผมของมันกระเซอะกระเซิง ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือด เบ้าตาโหลลึก มีกลิ่นแปลก ๆ ลอยออกมาจากร่างมัน มันดูไม่ผิดอันใดกับขอทาน
นอกเหนือจากหลี่อิงฟ่งกับเสี่ยวกั่ว ศิษย์สตรีอื่น ๆ ล้วนยืนอยู่ห่างไกล สีหน้าเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์
“ข้าพบวิธีแก้ไขแล้ว” จั่วม่อบอกง่าย ๆ แต่ทำให้หลี่อิงฟ่งกับเสี่ยวกั่ว บังเกิดความปิติยินดีขึ้นมาทันที
โดยไม่คำนึงถึงดวงตารังเกียจเหยียดหยาม กับการจ้องมองอย่างสงสัยของบรรดาศิษย์สตรี จั่วม่อมุ่งตรงไปยังทุ่งปราณในบัดดล
มันไม่ยอมสิ้นเปลืองวาจาไร้สาระ เพียงยื่นเหยียดสองมืออันดูคล้ายกระดูกออกไป ทันใดนั้นมันก็ร่ายเวทวิชา
หลี่อิงฟ่งเบิกตากว้าง จ้องมองไม่ให้คลาดสายตา นางเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดใดไป เห็นจั่วม่อร่ายรำกระบวนท่าดัชนีอย่างชำนิชำนาญ ทั้งยังควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณอย่างสะดวกดาย ทำให้นางยิ่งมั่นใจมากขึ้น ศิษย์น้องผู้นี้ซ่อนคมอย่างร้ายกาจ!
ปลายนิ้วเรืองแสงอันเร่าร้อน วาดแผนผังค่ายกลเวทที่ไม่มีผู้ใดรู้จักออกมา
“ไป!”
ภายใต้เสียงตวาดแหบแห้ง กระด้าง และน่าเกลียด แผนผังเรืองแสงประทับใส่ทุ่งปราณโดยไร้สุ้มเสียง
.............................
“เท่านั้นเองหรือ? ไม่เห็นจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” ศิษย์สตรีผู้หนึ่งกรีดร้อง
ประโยคนี้คล้ายจะเป็นชนวน ทันใดนั้นเหล่าศิษย์สตรีที่ไม่ชอบหน้าจั่วม่ออยู่แล้ว พลันพบเป้าหมายของพวกนาง
“เชอะ เพียงวาดอักษรไม่กี่ตัว ยังต้องการหลอกลวงพวกเรา? ไร้เดียงสาจริง ๆ !”
“โอ้ ได้โปรดเถอะ คิดจี้ปล้นผู้คนยังต้องลงทุนมากกว่านี้ !”
......................................
“พวกเจ้าหุบปากให้หมด!” หลี่อิงฟ่งตวาดด้วยโทสะ
เสียงเจื้อยแจ้วทั้งมวลสะดุดกึก ฟังคล้ายเสียงสำลัก พวกนางพลันพบว่าตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ สีหน้าของต้าซือเจี่ย กลับกลายเป็นน่าเกลียดสุดเปรียบปาน ใบหน้านางเย็นเยียบ พวกนางเงียบกริบ ตกอยู่ในความหวาดกลัวอันหนาวเหน็บในบัดดล
“วัชพืชชนิดนี้จัดอยู่ในประเภทหยาง ข้าค้นคว้ามาแล้ว หญ้าปราณส่วนใหญ่ที่พวกท่านปลูก จัดอยู่ประเภทหยิน ท่านสามารถใช้เคล็ดปราณพิภพ เพื่อช่วยรวบรวมพลังหยินจากพลังปราณปฐพี ไม่เพียงแต่ช่วยบำรุงหญ้าปราณ แต่ยังช่วยยับยั้งวัชพืชอีกทางหนึ่ง เรียกว่าลงแรงเพียงครึ่ง แต่ได้ผลสองเท่า”
กล่าวจบ จั่วม่อประสานมือไปทางหลี่อิงฟ่ง แล้วจากไป
ทันทีที่กลับถึงบ้าน จั่วม่อก็ล้มฟาด หลับใหลในทันที
มันวางใจว่าได้กระทำในที่ต้องการจนสำเร็จลุล่วง มันพึงพอใจมากแล้ว หลังจากไม่ได้พักผ่อนหรือนอนหลับมาทั้งวัน พลังงานของมันใช้ไปจนเหือดแห้งเกลี้ยงเกลา
--------------------------------------------
เมื่อจั่วม่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นแล้ว แสงสว่างยามเช้าทำให้รู้สึกสุขสบาย มันรับประทานอาหารอย่างเกียจคร้านกว่าปกติ จากนั้นจึงเริ่มการฝึกฝนสำหรับวันนี้
การฝึกฝนกระบวนท่าดัชนี เป็นหนึ่งในบทเรียนที่มันมุ่งเน้นในช่วงเวลานี้ ก่อนหน้านี้มันแทบไม่เคยฝึกฝนกระบวนท่าดัชนีมาก่อน นั่นเพราะกระบวนท่าดัชนีของเคล็ดเมฆฝนหล่นรินนั้นง่ายดายยิ่ง
แต่ในเวลานี้มันต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก จากกระบวนท่าดัชนีที่ซับซ้อนของเคล็ดสารพันพฤกษ์ จนถึงขณะนี้ แม้ว่ามันจะยืนหยัดฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ยังคงสามารถทำได้เพียงแค่ร่ายรำจนจบสิ้นกระบวนท่าเท่านั้น ยังห่างไกลอีกมากจากความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
อีกทั้งมันไม่กล้าย่อหย่อนในการฝึกฝนเคล็ดทองคำคร่ำคร่า มันเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นที่สอง ยังต้องการเวลาในการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคง
หากคำนวณอย่างคร่าว ๆ จั่วม่อถือว่าเรียนรู้ครบทั้งห้าชนิด ของเวทวิชาเบญจธาตุที่มันมีแล้ว ถึงตอนนี้มันมีข้อคิดเห็นและข้อสรุปของตัวเอง
ทั้งห้าวิชาล้วนแล้วแต่มีจุดที่ควรมุ่งเน้นเฉพาะตัว เคล็ดเมฆฝนหล่นริน มุ่งเน้นการจัดการพลังปราณ เคล็ดสารพันพฤกษ์ หัวใจหลักคือกระบวนท่าดัชนี เคล็ดทองคำคร่ำคร่า ใส่ใจการใช้งานพลังจิตสำนึก เคล็ดปราณพิภพ ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์ สุดท้าย เคล็ดอัคคีสีชาด กุญแจสำคัญคือการสงบใจ ทำสมาธิ และความพากเพียร
ในที่สุดจั่วม่อค้นพบรูปแบบที่ไม่เหมือนผู้ใด ดูเผิน ๆ เวทวิชาทั้งห้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ในความเป็นจริง พวกมันล้วนสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ยกตัวอย่างเช่น เวทวิชาที่มันเชี่ยวชาญที่สุดคือเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ซึ่งต่อมามีส่วนช่วยมันอย่างมากในการฝึกฝนอีกสี่เคล็ดวิชา จากนั้น เนื่องเพราะกระบวนท่าดัชนีของเคล็ดสารพันพฤกษ์ ซับซ้อนถึงที่สุด ช่วยเพิ่มพูนทักษะในกระบวนท่าดัชนีให้แก่มัน ดังนั้นมันสามารถอาศัยทักษะดัชนี ร่ายเคล็ดเมฆฝนหล่นรินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลังจากตระเวนไปจนทั่วทุ่งนาปราณภายใต้นามของมัน จั่วม่อก็ไปยังหุบเขาหมอกเย็นเยือก เพื่อเสกน้ำฝนให้สวนยาปราณ มันไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ จากศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่น และมิทราบเลยว่าทั้งคู่ไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุขอยู่ที่ใด แต่ตอนนี้มันไม่หลงเหลือความคับข้องใจต่องานที่ไม่ได้จ่ายค่าจ้างนี้แล้ว
หากจะมีสิ่งเดียวที่มันไม่พอใจอยู่บ้าง ก็คือระยะทางอันห่างไกลระหว่างหุบเขาหมอกเย็นเยือก กับที่พักของมัน ในทุก ๆ วันมันต้องเสียเวลามากมายไปบนถนนทางเดิน
เมื่อกลับมาจากหุบเขาหมอกเย็นเยือก จั่วม่อก็ต้องตะลึง เมื่อพบคนสองคนที่เฝ้ารอมันอยู่ ตรงด้านนอกประตูสู่บ้านหลังน้อยของมัน