ตอนที่แล้วบทที่ 9 การหลอมสร้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 เจ้าผีดิบจอมละโมบ

บทที่ 10 วัชพืช


ศิษย์พี่พิลึกผู้นี้ มิทราบปรากฏออกมาจากที่ใด แม่นางน้อยหวาดกลัวมันอย่างเห็นได้ชัด นางจึงเล่าเรื่องราวอย่างสัตย์ซื่อ “มีหญ้าแปลกประหลาดเติบโตขึ้นในทุ่งปราณ เสี่ยวกั่วพยายามแล้ว พยายามอย่างหนักจริง ๆ แต่มันก็ยังเติบโตขึ้น โตขึ้นเร็วมาก ต้นหญ้ากระบี่เขียวน่าเวทนานัก มันผอมลง ผอมลง เติบโตช้ายิ่ง”

(เสี่ยวกั่ว-  เสี่ยวแปลว่าน้อย กั่วแปลว่าผลไม้ แปลรวมๆ ก็คือ กั่วน้อยหรือยัยผลไม้น้อย แต่กั่วคำนี้ยังมีอีกความหมายที่น่าสนใจคือ เด็ดขาด)

เห็นแม่นางน้อยเล่าไปเล่าไป เสียงก็เบาลง เบาลง สุดท้ายกลายเป็นงึมงำไม่พ้นริมฝีปาก จั่วม่อรีบขัดขึ้นทันควัน “พอแล้ว!”

แม่นางน้อยตะลึงลานอีกครา นางเงยหน้าขึ้น หมอกน้ำตาปริ่มจนแทบหยด เหม่อมองจั่วม่ออย่างสับสน

จั่วม่อลุกขึ้นยืน ตบไล่ฝุ่นเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”

ใบหน้าของแม่นางน้อยเต็มไปด้วยคำถาม อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยถามอย่างขลาดเขลา “ไปยังที่ใด?”

อาการขลาดกลัวบนใบหน้านาง ทำให้จั่วม่อเสียสติได้เสมอ โทสะที่เพิ่งจะสงบลง เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง มันกล่าวอย่างอดกลั้นสุดชีวิต “หยุดกล่าวไร้สาระ! ไปยังที่ใดข้าจะบอกเจ้าเอง!”

สงบใจไว้ สงบใจไว้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะถกเถียงกับเด็กหญิงน้อย จั่วม่อย้ำเตือนตัวเอง

มันปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง พยายามทำตัวให้ดูเยือกเย็น “ไปยังทุ่งปราณของเจ้า”

สำนักกระบี่สุญตาอาจเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ แต่ต่อให้เป็นนกกระจอกตัวเล็ก ๆ ก็ยังมีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ คอกสัตว์ตั้งอยู่ที่ดอยทางตะวันออกของเทือกเขาสุญตา เหล่าสตรีที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอกส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ที่นี่

นี่เป็นหนแรกที่จั่วม่อก้าวเข้าสู่ดอยตะวันออก ทิวทัศน์ที่ผ่านตาทำให้มันประหลาดใจอยู่บ้าง หากเปรียบกับดอยตะวันตกแล้ว ดอยตะวันออกยังสูงชันยิ่งกว่า ทัศนียภาพก็งดงามกว่ามาก อาจเป็นเพราะที่นี่มีศิษย์สตรีอาศัยอยู่ ดังนั้นภูเขาเต็มไปด้วยบุปผา และพฤกษานานาพรรณ เดินไปตามทาง มันรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ไม่น้อย

ดอยตะวันตกกับดอยตะวันออกอยู่ห่างไกลกันมาก ไม่ง่ายนักที่จะพบเห็นศิษย์บุรุษขึ้นมายังดอยตะวันออก

ในละแมกไม้ กระท่อมสีขาวหลังน้อยปรากฏขึ้นในสายตา แม่นางน้อยค่อยรู้สึกวางใจลงบ้าง นางหันมองจั่วม่ออย่างขลาดเขลา ชี้ไปยังกระท่อม พลางบอกกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นั่นคือบ้านของเสี่ยวกั่ว”

จั่วม่อคร้านจะกล่าววาจา เพียงมุ่งหน้าตรงไปยังกระท่อม

เมื่อจั่วม่อเดินเข้าไป มันพบพื้นหญ้าหย่อมหนึ่งอยู่ข้างกระท่อม ยังมีวัวเขาทองตัวหนึ่ง ทั้งร่างดูคล้ายทำจากโลหะ เจ้าวัวนอนแช่ปลักอย่างเกียจคร้าน ภายใต้แสงตะวัน

“อาเป่า อาเป่า” เมื่อเสี่ยวกั่วพบเห็นวัวสีทองแดงตัวนั้น นางตะโกนอย่างยินดี พลางวิ่งออกไปโดยไม่เหลียวแลจั่วม่อ

อาเป่า... ...

จั่วม่อมองวัวทองแดงที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงบึกบึน และนึกถึงนามอันน่ารักน่าชังนี้ มันกระพริบตาปริบ ๆ ไร้วาจาจะกล่าวแล้ว

จากนั้นมันเห็นวัวทองแดงใช้หัวชนเสี่ยวกั่วเบา ๆ อย่างสนิทสนม บางครั้งยังคอยเลียมือของเสี่ยวกั่ว

ลิ้นอันใหญ่โตที่เต็มไปด้วยน้ำลาย ทำให้มันหนาวสันหลังวูบด้วยความรังเกียจ

“ไหนเล่าทุ่งปราณ?” จั่วม่อรีบขัดจังหวะ มิเช่นนั้นมันก็ค่อนข้างกังขาอยู่ไม่น้อย ว่าดรุณีนางนี้จะยังคงเล่นกับวัวไปจนถึงเมื่อใด

-----------------------------------------

ในทุ่งปราณ จั่วม่อพินิจพิเคราะห์ต้นพืชที่อยู่เบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน

นี่เป็นต้นหญ้าชนิดที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้มันเปลี่ยนเป็นจริงจัง ควรทราบว่ามันใช้เวลาปลูกข้าวปราณกว่าสองปี กับต้นหญ้าที่มักขึ้นในทุ่งปราณ มันย่อมคุ้นเคยยิ่ง แต่มันแน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นต้นหญ้าเช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียว

หลังจากตรวจสอบจนรอบทุ่งปราณ มันยิ่งหนักใจมากยิ่งขึ้น

“เจ้าค้นพบพวกมันตั้งแต่เมื่อใด?”

“เกือบสามเดือนก่อน เสี่ยวกั่วจะกำจัดวัชพืชทุกวัน แต่พวกมันกลับยิ่งโตขึ้น โตขึ้น... ...” เสี่ยวกั่วเริ่มเบะปากอีก น้ำตาก็ดูเหมือนจะปริ่มขอบตาเจียนล้นอีกแล้ว

จั่วม่อจ้องมองนางด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์

เสี่ยวกั่วก้าวถอยหลังอย่างตื่นกลัว นางหยุดร่ำไห้ทันควัน ...ศิษย์พี่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!

จั่วม่อดึงสายตากลับมา ในใจมันตื่นตะลึง ความสามารถในการแพร่พันธุ์ของวัชพืชนี้แข็งแกร่งยิ่ง

“แล้วคนอื่น ๆ เล่า?”

“ทุ่งปราณของพวกพี่สาวทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกนางล้วนไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้” กล่าวถึงตอนนี้ นางพลันพึมพำเบา ๆ  “ศิษย์พี่ ท่านสามารถช่วยเหลือเหล่าพี่สาวด้วยหรือไม่?”

จั่วม่อคร้านจะตอบวาจานาง และเริ่มคิดหาวิธีจัดการวัชพืชชนิดนี้ ปกติการเพาะปลูกพืชย่อมต้องผจญกับปัญหามากมาย วัชพืชเป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด แต่หากมีวัชพืชที่สามารถเติบโตแพร่พันธุ์ได้อย่างบ้าคลั่งเกิดขึ้นในทุ่งปราณ นี่เกรงว่าจะกลายเป็นปัญหายุ่งยากมากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าการกำจัดวัชพืชด้วยวิธีธรรมดา ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เวลานี้ในทุ่งปราณ เจ้าวัชพืชนี้แพร่พันธุ์งอกงามไปทั่ว จนหญ้ากระบี่เขียวแทบจะถูกกลืนหายไป

สายตาของจั่วม่อ พลันจ้องลงไปยังลำต้นวัชพืชที่อยู่เหนือพื้นดิน ลำต้นส่วนนั้นมีสิ่งที่คล้ายเนื้องอกเจริญเติบโตเป็นรูปวงแหวน ในใจมันสะท้านขึ้น รีบตรวจสอบลำต้นของวัชพืชต้นอื่น ๆ และค้นพบว่าพวกมันล้วนมีวงตุ่มเนื้องอก ในลักษณะเดียวกัน ทั้งยังตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด

เมื่อมันเห็นเช่นนี้ ค่อยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แม้ว่าแม่นางน้อยยังไม่เข้าใจอันใดเลยก็ตาม

การกำจัดวัชพืชปกติเพียงตัด หรือถากถางวัชพืชที่อยู่เหนือพื้นดินออกไป แต่เจ้าวัชพืชวายร้ายชนิดนี้กลับมีจุดเด่นพิเศษเฉพาะ คือเมื่อมันได้รับบาดเจ็บ มันจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม กล่าวคือยิ่งตัด ถาก ถาง มันก็ยิ่งงอกงาม หากเป็นในตอนแรกเริ่มที่สุด ดำเนินการทำลายตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คือขุดรากถอนโคนมันให้เหี้ยน เหตุการณ์บานปลายเช่นนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

แต่ยามนี้ปัญหาร้ายแรงมากเกินไป มองไปทางใดก็มีแต่วัชพืช และวัชพืชเต็มพรืดไปหมด ที่สำคัญที่สุด คือพวกมันยังจะทิ้งเมล็ดวัชพืชจำนวนมหาศาลไว้ในดิน และนี่คือส่วนที่ยากจัดการที่สุด หากไม่สามารถทำลายเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ หลังจากนี้ปัญหาก็จะวนซ้ำ ไม่มีวันจบสิ้น

ช่างเป็นพลังชีวิตที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง! จั่วม่ออดยกย่องมันอยู่ในใจไม่ได้

———

หลี่อิงฟ่งขมวดคิ้วเรียวงาม ดวงตานางคมกริบ แต่ไม่มีร่องรอยของความเฉียบแหลม ที่มักจะปรากฏอยู่บนใบหน้านาง กลับเต็มไปด้วยความวิตกกังกล นางมิได้สวมใส่เสื้อผ้าชุดยาวและอาภรณ์ที่ศิษย์สตรีสามัญมักนิยม แต่กลับสวมใส่เสื้อผ้าบุรุษ อันเป็นชุดแขนสั้นที่เน้นสำหรับการสัประยุทธ์ มองเผิน ๆ ไร้ซึ่งเสน่ห์อันใด แต่กลับดูหล่อเหล่าสง่างามอย่างบอกไม่ถูก

(หลี่อิงฟ่ง – หลี่เป็นแซ่ แปลว่าต้นพลัม อิงคำนี้แปลว่าอัจฉริยะ ฟ่งที่แปลว่าหงส์ รวมก็คือ หงษ์อัจฉริยะแซ่หลี่)

“ศิษย์พี่หญิง เรามิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป!” ศิษย์สตรีอาภรณ์เหลืองที่ยืนอยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างอดรนทนไม่ได้ “ดูตามสถานการณ์ในยามนี้ อีกไม่เกินสองเดือน หญ้ากระบี่เขียวของเราจะไม่พอแล้ว”

เหล่าศิษย์สตรีรอบกายนาง ก็พากันสนทนาถกเถียงเสียงเจื้อยแจ้ว

“หยุดโวยวายกันเสียที!” หลี่อิงฟ่งเลิกคิ้ว ตวาดเสียงเย็น

นางมีพลังฝึกตนสูงส่งที่สุดในบรรดาศิษย์สตรีฝ่ายนอก เป็นธรรมดาที่จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากทุกผู้คน เมื่อนางตะโกน เสียงวุ่นวายก็เงียบลงทันควัน

หัวใจของหลี่อิงฟ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวล วัชพืชตัวร้ายแพร่พันธุ์งอกงามรวดเร็วจนน่าหวาดผวา พื้นที่สำหรับหญ้าปราณก็กลับกลายเป็นลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ หากต่อไปไม่สามารถจัดหาหญ้าปราณได้ เหล่าสัตว์ปราณจะไม่มีอาหารกิน เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการลงทัณฑ์ของสำนักได้อีกแล้ว

พลังฝึกตนของนางอยู่ที่ด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่เก้า อยู่ห่างจากด่านจู้จีเพียงก้าวเดียว ว่ากันว่าเหล่าผู้นำของสำนักได้เริ่มให้ความสนใจกับนางแล้ว ขอเพียงนางประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ด่านจู้จี ย่อมมีโอกาสสูงที่จะได้เลื่อนขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน

สำหรับช่วงเวลาอันสำคัญยิ่งเช่นนี้ กลับบังเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง วันนี้นางถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว

“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่หญิง!” ศิษย์สตรีผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พลางตะโกนบอก “เสี่ยวกั่วกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมศิษย์บุรุษผู้หนึ่ง นางดูเหมือนจะกำลังร่ำไห้อยู่ด้วย”

ฉับพลันนั้น พวกนางล้วนระเบิดขึ้น

“มันกล้ารังแกเสี่ยวกั่วหรือไร!”

“ประเสริฐ! ข้าอยากเห็นว่าผู้ใดกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนี้ พี่น้องทั้งหลาย อย่าปล่อยมันกลับไป!”

“ใช่แล้ว!”

“นั่นย่อมแน่นอน!”

กระทั่งหลี่อิงฟ่งยังขุ่นเคืองไม่น้อย พวกนางล้วนทั้งรัก ทั้งเอ็นดูเสี่ยวกั่วอย่างลึกซึ้ง โดยปกติแล้วทุกผู้คนปฏิบัติกับนางเช่นน้องสาวตัวน้อย เมื่อได้ฟังว่ามีบุรุษทำให้เสี่ยวกั่วร่ำไห้ นางไม่ลังเลที่จะออกนำหน้าทุกคน และเป็นคนแรกที่มุ่งไปยังที่พักของเสี่ยวกั่วอย่างเดือดดาล

เห็นดังนั้นผู้อื่นก็รีบกรูตามกันไปเป็นขบวน

———

ในขณะที่จั่วม่อกำลังค้นหาหนทางแก้ปัญหา เกี่ยวกับพลังชีวิตอันทรหดอย่างเหลือเชื่อ ของวัชพืชตัวร้าย หลี่อิงฟ่งก็ยกขบวน นำฝูงชนอันเป็นเหล่าศิษย์สตรีมุ่งหน้ามา

เมื่อหลี่อิงฟ่ง ผู้ที่ตอนแรกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ได้เห็นร่องรอยน้ำตาบนใบหน้าของเสี่ยวกั่ว โทสะในใจนางก็พลุ่งขึ้น

นางโถมออกไปอย่างรวดเร็ว เข้าเผชิญหน้ากับจั่วม่อ

“เจ้าเป็นใคร?” หลี่อิงฟ่งถามเสียงเย็น

จากนั้นนางก็ได้เห็นมันตอบด้วยสีหน้าอันเฉยชา ไร้อารมณ์ใด ๆ “จั่วม่อ”

สีหน้าเย็นเยียบของหลี่อิงฟ่งยิ่งหนาวเหน็บขึ้น ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอก นางถือเป็นต้าซือเจี่ย ต่อหน้านางทุกผู้คนล้วนเป็นซือตี้ หรือซือเม่ย นางไม่เคยพบเจอศิษย์คนใด หยาบคายเช่นมันมาก่อน ทันใดนั้น โดยไม่กล่าวคำใด นางพลันจี้ดัชนีใส่จั่วม่อ

(ซือเจี่ย – ศิษย์พี่ที่เป็นหญิง ต้าซือเจี่ยคือศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นผู้หญิง ซือตี้ – ศิษย์น้องที่เป็นชาย ซือเม่ย – ศิษย์น้องที่เป็นหญิง ในนิยายเรื่องนี้ลำดับศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้นับตามลำดับอาวุโส แต่นับตามสถานะในสำนัก หรือตามพลังฝีมือ ต่อไปจะยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้น)

สีเลือดจางหายไปจากใบหน้าของเสี่ยวกั่ว แต่นางยังไม่ทันได้กล่าววาจา พลันได้ยินเสียงแหวกฝ่าอากาศแหลมเล็ก

ปราณกระบี่สีเขียวที่บางอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง จู่โจมเข้าหาจั่วม่อ

จั่วม่อม่านตาหดแคบลง ก่อนที่จะได้ทันคิด มือขวาสะบัดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถอยหลังอย่างฉับพลัน

ปราณกระบี่สีทองสาดประกายวาบ

หลี่อิงฟ่งเมื่อเห็นปราณกระบี่สีทองเล่มนั้น ใบหน้าอดแปรเปลี่ยนไปไม่ได้

ปราณกระบี่สองเล่มปะทะกันกลางอากาศอย่างถนัดถนี่

ติ๊ง!

แสงเจิดจ้าบาดตาระเบิดขึ้น ทุกผู้คนพากันหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว เห็นประกายสีเขียวและสีทองกระจายพร่างทุกหนแห่ง

ใต้แสงประกายกระบี่ ทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากันแน่วนิ่ง

จั่วม่อเบิ่งตากว้าง ถลึงจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ โทสะอันยากบรรยายเริ่มพลุ่งขึ้น จู่ ๆ ก็ถูกลอบทำร้าย ซ้ำยังเป็นการโจมตีที่อันตรายยิ่ง หากยามนั้นมันไม่ทันหลบเลี่ยง กระบี่นั้นย่อมเจาะหลุมเลือดทิ้งไว้บนร่างมันอย่างแน่นอน

แต่ความตื่นตระหนกที่หลี่อิงฟ่งได้รับ ยังมากมายกว่าจั่วม่อ นางคือศิษย์ฝ่ายนอกที่โดดเด่นที่สุดในสำนักกระบี่สุญตา วิชาที่นางใช้ออกยังเป็น [เคล็ดกระบี่วิญญาณไม้] ซึ่งนอกจากนางแล้ว ไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกคนใดสามารถฝึกฝนได้ จนกระทั่งสายตานางตกลงมายังวงแหวนในนิ้วมือขวาของจั่วม่อ จึงค่อยเข้าใจ

คำหนึ่งคำ กระโดดเข้ามาในใจนาง – ยุทธภัณฑ์เวท!

นี่กลับไม่ได้ทำให้นางดูแคลนอีกฝ่าย ควรทราบว่าสิ่งของเช่นจอบกระตุ้นปราณ ความจริงถูกจัดระดับเป็นเพียงอุปกรณ์เท่านั้น แต่หากเป็นสิ่งที่จัดว่าเป็นยุทธภัณฑ์เวทอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับต่ำที่สุด ยังราคาแพงเกินไปสำหรับศิษย์ฝ่ายนอก อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เพียงแสดงให้เห็นว่าผู้อื่นมั่งคั่งไม่น้อย

แต่สิ่งที่ทำให้นางตื่นตระหนกจริง ๆ คือปฏิกิริยาตอบโต้ของอีกฝ่ายต่างหาก ควรทราบว่าความรวดเร็วของปฏิกิริยาตอบโต้ สัมพันธ์โดยตรงกับระดับพลังฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์เวทชั้นเลิศเพียงใด ยังต้องอาศัยพลังฝึกตนเป็นรากฐาน ปฏิกิริยาตอบโต้ของผู้อื่นรวดเร็วกว่าที่นางคาดไว้มาก

ดังนั้นพลังฝึกตนของซือตี้ผู้ไม่คุ้นหน้าผู้นี้ สมควรไม่ต่ำกว่าด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด!

พลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด ในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก สามารถเข้าสู่สามอันดับแรก เท่าที่นางทราบ ในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมด นอกจากนางแล้ว มีเพียงเหวยเสิ้ง ผู้เป็นข้ารับใช้กระบี่ของศิษย์พี่หลัวหลี ที่อยู่เหนือกว่าด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด นางไม่รู้จักบุรุษแปลกหน้าผู้นี้ มันน่าจะเพิ่งบรรลุด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด เมื่อไม่นานมานี้เอง

(เหวยเสิ้ง – เหวยเป็นแซ่ เสิ้งแปลว่า ชัยชนะ)

ในสำนักกระบี่สุญตา การบรรลุด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องราวเล็กน้อย แต่นางกลับไม่เคยได้ยินข่าวคราวอันใด ดังนั้นมีความเป็นไปได้เพียงประการเดียว นั่นคือบุรุษหน้าไร้อารมณ์ผู้นี้ จงใจปกปิดมันไว้!

ส่วนสาเหตุที่ว่า ไฉนอีกฝ่ายจึงจงใจปกปิดเรื่องสำคัญ ที่อาจจะยกสถานะมันอย่างถาวร นางมิอาจคาดเดาได้

เจ้าผู้นี้ลึกล้ำยิ่ง!

มองไปที่จั่วม่อผู้ไร้การแสดงอารมณ์ นางพลันรู้สึกเสียใจกับการกระทำของนางอยู่บ้าง

“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่หญิง! ไฉนท่านทำร้ายศิษย์พี่เล่า?” เสี่ยวกั่วรีบวิ่งไปขวางตรงกลางระหว่างทั้งคู่ ใบหน้านางทั้งซีดทั้งกังวล

หลี่อิงฟ่งตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางถามอย่างช่วยไม่ได้ “เสี่ยวกั่ว มันไม่ได้รังแกเจ้าหรอกหรือ?”

“รังแก?” เสี่ยวกั่วชะงัก แล้วส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ย่อมไม่! ศิษย์พี่กำลังช่วยเสี่ยวกั่วตรวจดูทุ่งปราณ ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่อาจดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ที่จริงเป็นคนดีมาก... ...”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จั่วม่อก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันกระทั่งไม่สามารถอ้าปากค้าง ได้แต่ก่นด่าเคราะห์หามยามร้ายของตัวเอง  พอสงบใจลง มันกลับรู้สึกเลื่อมใสความเข้มแข็งของสตรีเบื้องหน้าอยู่บ้าง

ทันใดนั้น มันนึกถึงคำเล่าลือที่เคยได้ฟังจนคุ้นหู ค่อยถามอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านคือศิษย์พี่หญิง หลี่อิงฟ่ง?”

“เป็นข้าเอง หลี่อิงฟ่ง!” หลี่อิงฟ่งตอบ นางมีท่าทีขออภัย ขณะที่ค้อมตัวคำนับทักทาย “เมื่อสักครู่ข้าใจร้อนเกินไป เกือบจะทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ ต้องขออภัยศิษย์น้องสำหรับเรื่องนี้ด้วย”

เห็นอีกฝ่ายทั้งใจกว้าง ทั้งมีท่าทีจริงใจ สร้างความรู้สึกที่ดีให้แก่จั่วม่อ มันรีบตอบอย่างรวดเร็ว “เพียงเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ศิษย์พี่หญิงท่านอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไป!”

หลี่อิงฟ่งก็ไม่ได้เสแสร้งแกล้งดัด นางเพียงถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้น ศิษย์น้องตรวจพบสิ่งใดบ้างหรือไม่?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด