บทที่ 1 เคล็ดเมฆฝนหล่นริน
“อย่าได้ลืมเลือน!”
“ต่อให้ต้องตาย ก็มิอาจลืม!”
……...............
เสียงแปลก ๆ แต่คุ้นเคย ดุจจะดังแว่วมาจากส่วนลึกของเมฆา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนก้องเป็นชั้น ๆ ไร้จุดสิ้นสุด
ผู้ใด?
มิอาจลืมเลือน?
มิอาจลืมเลือนอันใด?
มันพลันผวาตื่น และก็เป็นเช่นทุกครั้ง ร่างกายชุ่มเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกชื้นแนบติดผิวน่าอึดอัด มันลุกขึ้นนั่ง เหนือศีรษะเห็นราตรีมืดทะมึนเกลื่อนกล่นไปด้วยแสงดาว เตือนให้ทราบว่ายังอีกนานกว่าจะรุ่งสาง สายลมกระโชกผ่านไปอย่างเย็นชา
ฝันเช่นเดิมอีกแล้ว!
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเยือก ยามนี้ยังเร็วไปมากหากจะตื่นนอน มันล้มตัวลง แล้วหลับใหลไปอีกครา
————
ก่อนที่จะเดินไปถึงทางขึ้นภูเขา จั่วม่อได้ยินใครบางคนตะโกนจากที่ไกล ๆ
(จั่วม่อ อ่านว่า จั่ว – หม้อ : จั่วแปลว่า ซ้าย, ผิด, ตรงกันข้าม : ม่อแปลว่า ไม่ หรือ อย่า)
“ม่อเกอ (พี่ม่อ) อย่าลืมเสกเรียกน้ำฝนให้ไร่นาของข้า อย่างที่เราตกลงกันไว้เมื่อตอนต้นฤดู ผลผลิตของปีนี้ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ชายหนุ่มมองออกไปตามเสียง เห็นชายชราวัยห้าสิบกว่าปี ผอมบางและดำคล้ำ โผล่ศีรษะขึ้นมาจากกลางทุ่งนา ซึ่งหากไม่ได้เพ่งมองดี ๆ ก็แทบจะไม่สังเกตเห็นว่ามีผู้คนอยู่ตรงนั้น
ตาเฒ่าผู้นี้เรียกกันติดปากว่าเหล่าเฮย (ตาเฒ่าดำ) เรียกจนนามที่แท้จริงแทบไม่มีผู้ใดทราบแล้ว มันสูงวัยที่สุดในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักกระบี่สุญตา
(อ่านว่า สุน-ยะ-ตา แปลว่าความว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด ๆ ทั้งปวง)
จั่วม่อป้ายเหงื่อที่หน้าผาก พลางตอบกลับไปว่า “ไม่ลืม ไม่ลืม อย่าได้กังวลไป พรุ่งนี้ก็จะถึงตาเจ้าแล้ว”
จั่วม่อร่างผอมบางดุจลำไม้ไผ่ อาภรณ์สีม่วงของศิษย์ฝ่ายนอกที่คลุมร่างจึงหลวมโพรก ตรงกันข้ามกับวาจาที่โต้ตอบอย่างไหลลื่น กลับเป็นใบหน้าแข็งทื่อประหนึ่งผีดิบที่ทั้งดำคล้ำและมืดมน
ใบหน้าผีดิบแข็งทื่อของจั่วม่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวมัน เมื่อแรกเริ่มผู้คนล้วนพากันหลบเลี่ยง แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ค้นพบสิ่งอื่นนอกเหนือจากใบหน้าอัปลักษณ์ ค่อยทราบว่านิสัยใจคอของเจ้าหน้าผีดิบล้วนดีงาม ทำให้ผู้คนกล้าคบหาสมาคมกับมันมากขึ้น หลังจากผ่านไปสองปี มันกลับเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกทั้งมวล
เหล่าเฮยหน้าระรื่น ปากก็รีบยกยอเป็นการใหญ่ “ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง! ม่อเกอ ความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาของเจ้าช่างลึกล้ำ ข้าเหล่าเฮย เกิดมาไม่เคยพบเห็นฝีมือเช่นนี้มาก่อน”
เคล็ดเมฆฝนหล่นรินของจั่วม่อมิใช่ธรรมดาสามัญ มันเป็นผู้เดียวในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกที่บรรลุถึงเคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สาม ด้วยฝีมือเช่นนี้ จึงเกือบจะผูกขาดสัญญาในการเรียกฝนให้ไร่นาปราณทั้งหมดของสำนัก
อันที่จริงเคล็ดเมฆฝนหล่นรินหาใช่เวทวิชาที่ซับซ้อนแต่อย่างใด แทบทุกผู้คนล้วนเรียนรู้เวทวิชานี้ ประโยชน์หลัก ๆ คือใช้เสกเรียกน้ำฝนสำหรับไร่นาปราณ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบรรลุระดับแรกได้ภายในสามวันห้าวัน ระดับที่สองก็ยังถือว่าง่ายดาย สามารถสำเร็จได้ภายในไม่เกินปีสองปี แต่เริ่มจากระดับที่สามจะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการรู้แจ้ง ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดของสำนักกระบี่สุญตา มีเพียงจั่วม่อที่เข้าใจและฝึกฝนสำเร็จ
หลังจากเคล็ดเมฆฝนหล่นรินบรรลุถึงขั้นที่สาม ประสิทธิผลจะเพิ่มขึ้นอีกระดับชั้น สามารถเพิ่มผลผลิตธัญพืชปราณและพืชผักปราณให้สูงขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้เองหลังจากประสบความสำเร็จในขั้นที่สาม สถานะในสำนักของจั่วม่อก็สูงขึ้นด้วย คำเรียกหาก็เปลี่ยนจากเจ้าผีดิบน้อยกลายเป็นม่อเกออันเสนาะหู
จั่วม่อโบกมืออำลาเหล่าเฮย
———–
จั่วม่อกัดฟันแน่น เกร็งกำลังยกถุงกระสอบแบกขึ้นหลัง ไหล่บ่าพลันปวดปลาบ ในนั้นเป็นข้าวปราณน้ำหนักร่วมสามร้อยจิน ซึ่งแทบจะหักไหล่อันผอมบางของมันเสียแล้ว
เจ้าผีดิบผอมแห้งและอ่อนแอ แบกถุงกระสอบซึ่งใหญ่โตกว่าร่างของมันหลายเท่าไว้บนหลัง พลางขยับเดินอย่างยากลำบากไปตามเส้นทางภูเขา
คอนถุงกระสอบหนักสามร้อยจินเดินตุปัดตุเป๋ ทนถูลู่ถูกังลงมาจนกระทั่งถึงปากทางขึ้นภูเขา ครั้นแบกผ่านพ้นประตูใหญ่ออกมาได้ มันก็เหวี่ยงถุงกระสอบลงกับพื้น ทิ้งร่างทรุดลงนอนแผ่ หอบหายใจอย่างหนักหน่วง
หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ใหญ่ พอฟื้นฟูเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง จั่วม่อก็ลุกขึ้นยืน แล้วค่อย ๆ หยิบนกกระเรียนกระดาษฟางสีเหลือง ออกจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
นกกระเรียนกระดาษขนาดเพียงฝ่ามือ พับด้วยกระดาษฟางเหลือง และใช้สีชาดวาดอักขระยันต์
ครั้นประจุพลังปราณลงไป นกกระเรียนกระดาษก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น เติบโตจนตัวโตกว่านกกระเรียนจริงเล็กน้อย ก้านไม้ไผ่บาง ๆ สานเป็นโครง และปิดทับด้วยชั้นกระดาษฟางเหลือง บนร่างเต็มไปด้วยเส้นโค้งคล้ายลูกอ๊อดของกลุ่มอักขระยันต์ เห็นได้ชัดว่าฝีมือการสร้างย่ำแย่ยิ่ง หลายแห่งหลุดลุ่ย ปิดทับด้วยแป้งเปียก กระดาษสีเหลืองคุณภาพต่ำมาก สามารถเห็นเศษหญ้าหยาบ ๆ แทรกอยู่ทั่วบริเวณพื้นผิว
จั่วม่อเกร็งกำลังยกถุงกระสอบขึ้นจากพื้น วางลงบนหลังนกกระเรียนกระดาษตัวนั้น
ควรทราบว่าศิษย์ฝ่ายนอกของสำนัก ถูกห้ามไม่ให้เหินบินภายในเขตภูเขา ซึ่งตลอดสองปีที่ผ่านมา จั่วม่อไม่ทราบว่าสาปแช่งกฎสำนักข้อนี้ไปกี่ร้อยกี่พันหน เนื่องจากเป็นเหตุให้มันต้องแบกกระสอบออกมาจนพ้นเขตภูเขาเสียก่อน จึงจะเอากระเรียนออกมาบินได้
บุรุษหน้าผีดิบค่อยปีนขึ้นไปบนหลังนกกระเรียนกระดาษอย่างงุ่มง่าม เสียงโครงไม้ไผ่งอลั่นดังเอี๊ยด ชายหนุ่มชะงักค้าง จากนั้นสักครู่ พอเห็นว่านกกระเรียนกระดาษยังไม่มีสัญญาณว่าจะพินาศเอาในยามนี้ ค่อยผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
“เสี่ยวหวง เสี่ยวหวง (เจ้าเหลืองน้อย) เจ้าจะมาพังตอนนี้ไม่ได้นะ”
จั่วม่อตบเบา ๆ บนหัวของนกกระเรียนกระดาษ ขณะที่เจ้านกค่อย ๆ บินส่ายขึ้นจากพื้น
เสียงกรีดร้องของโครงไม้ไผ่และกระดาษดังลั่นขึ้นอีกครั้ง นกกระเรียนกระดาษลอยตัวเหมือนเมาสุรา บินส่ายโค้งไป โค้งมา เดี๋ยวสูง เดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวไปทางซ้าย เดี๋ยวย้ายมาขวา ส่งเสียงครืดคราดพลางลอยตุปัดตุเป๋มุ่งหน้าไปตามเส้นทางภูเขา
จั่วม่อนั่งพลางยึดจับอย่างมั่นคงยิ่ง มันประสบเรื่องเช่นนี้มานักต่อนัก นี่เป็นนกกระเรียนกระดาษบินได้ที่คุณภาพต่ำที่สุด บรรทุกน้ำหนักสูงสุดได้ราวสี่ร้อยจิน ซึ่งยามนี้เรียกได้ว่าถึงขั้นวิกฤติมากแล้ว แต่เจ้านกกระเรียนกระดาษด้อยสมรรถภาพตัวนี้ ก็เป็นสิ่งที่สร้างความอิจฉาให้ศิษย์ฝ่ายนอกผู้อื่นไม่น้อย
ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกของสำนัก มันเป็นคนแรกที่เป็นเจ้าของพาหนะบิน แน่นอนว่า เรื่องที่ว่านกกระเรียนกระดาษไม่อาจนับเป็นพาหนะบินได้อย่างเต็มปากนัก จั่วม่อไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงคล้ายคร่ำครวญ และเสียงเอี๊ยดอ้าดดังระงม เวลาล่วงผ่านไปห้าชั่วยาม เมื่อใบหน้าผีดิบของจั่วม่อเริ่มจะซีดลง เมืองตงฝูก็มองเห็นไกล ๆ ที่เส้นขอบฟ้า
เหล่าเซียนเหินสัญจรผ่านไป ตงฝูแย้มโฉมรำไรกลางหมู่เมฆา
ปีนั้น ตงฝูเจินเหรินใช้กระบี่เดียวฟันตัดยอดเขา จากนั้นยึดที่ราบสูงครึ่งยอดที่เหลือเป็นรากฐาน สร้างเมืองตงฝูขึ้นมา หลังจากห้าร้อยปีผ่านไป ตงฝูเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นหนึ่งในสิบสามเมืองหลักของเขตปกครองนภาจันทร์
(ตงฝูเจินเหริน – ปรมาจารย์บูรพาลอย เจินเหรินเป็นคำเรียกปรมาจารย์พรตแบบยกย่อง)
ในสามพันเขตปกครองของเหล่าผู้ฝึกตน เขตปกครองนภาจันทร์แทบไม่มีความสำคัญอันใด มันเป็นเพียงเขตปกครองขนาดเล็กที่มีประวัติศาสตร์เพียงหนึ่งพันห้าร้อยกว่าปี หนึ่งพันห้าร้อยปีที่ผ่านมา เทียนเยวี่ยเซียนเหริน (นางเซียนนภาจันทร์) ค้นพบและเข้าควบคุมเขตปกครองนี้ นางใช้นามของตนตั้งนามเขตปกครองนภาจันทร์ เทียนเยวี่ยเซียนเหรินมีต้นกำเนิดจากคุนหลุน ดังนั้นเขตปกครองนภาจันทร์จึงตกอยู่ภายใต้อำนาจของแดนคุนหลุนโดยปริยาย
หลังจากนั้นปรมาจารย์พรตบางท่านก็มาถึงเขตปกครองนภาจันทร์ เพื่อเริ่มก่อตั้งสำนัก และค่อย ๆ พัฒนามาเป็นตงฝูในปัจจุบัน
นกกระเรียนกระดาษส่งเสียงคล้ายคร่ำครวญระงมไปตลอดทาง ในขณะที่มันกระเสือกกระสนบินตรงไปยังเชิงเขาตงฝู ระหว่างการเดินทางจั่วม่อมักได้ยินเสียงหัวร่อของผู้คน เจ้าผีดิบผอมแห้ง, นั่งอยู่บนเจ้าตัวประหลาดที่ผอมพอ ๆ กัน, นกกระเรียนกระดาษที่คล้ายจะเมาสุรา ฉากเช่นนี้เรียกเสียงหัวร่อได้ไม่หยุดหย่อน
จั่วม่อนั่งอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าแข็งทื่อเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันเป็นผีดิบตัวจริงเสียงจริง แต่อันที่จริง ภายในใจมัน กำลังน้ำลายไหลยืดมองพาหนะบินอื่น ๆ ที่บินอยู่ด้านบนเหนือศีรษะ...อ้า เจ้าพวกนี้แหละพาหนะบินที่แท้จริง!
เจ้าตัวนี้ ร่างกายสีเทาและจะงอยปากสีแดงสด มันคือห่านจะงอยแดง พื้นที่บนหลังห่านทั้งกว้างขวางและนุ่มนิ่ม หากนั่งอยู่บนนั้น ท่านแทบจะไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือน เรียกได้ว่าเป็นความเพลิดเพลินระดับสูงสุด
ส่วนเจ้าก้อน ๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกตน เรียกว่าเมฆมนตรามหาโชค การได้เหยียบเมฆาท่องไปในเวหา ดูน่าสุขสำราญและโดดเด่นไม่น้อย
เจ้าแผ่นสีเงินที่ลอยติดแผ่นหลังผู้ฝึกตน เรียกว่าปีกอัสนีบาต มีแสงฟ้าแลบเป็นประกาย และบินด้วยความเร็วสูงประหนึ่งฟ้าผ่า ท่านปรารถนาจะสัมผัสความเร็วอันสุดแสนเร้าใจหรือไม่?...
จั่วม่อท่องคำขวัญเหล่านี้ได้คล่องปาก แต่มันก็ทำได้แค่ท่องโฆษณาเท่านั้นเอง
ที่น่าตื่นตาที่สุด กลับเป็นเรือพันปีกที่แล่นช้า ๆ อยู่ด้านบนสุด เรือลำนั้นเหมือนภูเขาเคลื่อนที่ลูกหนึ่ง ขณะที่ล่องลอยข้ามหัวมันไป จั่วม่อเพียงรู้สึกว่าสายตามืดมิดในฉับพลัน และเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นกราบเรือสีดำ กับประกายเรื่อเรืองของลวดลายอาคมหวงห้ามได้อย่างแจ่มชัด
ไม่ทราบหรือไร บาปอันมหันต์ที่สุดของเหล่าผู้ฝึกตน คือความหรูหราสิ้นเปลือง!
จั่วม่ออดก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ แต่เมื่อมันเห็นสีหน้าน่าสมเพชเช่นเดียวกันของผู้ฝึกตนอื่น อารมณ์ค่อยดีขึ้นบ้าง
หลังจากบินต่ออีกราวหนึ่งชั่วยาม หนึ่งคนกับนกกระเรียนกระดาษก็มาถึงเชิงเขาตงฝู ด้วยความด้อยสมรรถภาพทางการบินของเสี่ยวหวง ได้แต่ลงจอดเหนือพื้นดินบริเวณตีนเขา การบินขึ้นไปยังเมืองตงฝูโดยตรงเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันแล้ว
จั่วม่อปีนลงจากหลังกระเรียนกระดาษ แล้วค่อยยกถุงกระสอบลงมา ชั่วขณะที่กำลังจะเก็บนกกระเรียนกระดาษ ก็พลันเห็นรอยแตกชัดเจนบนพื้นผิว จั่วม่อถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก นี่มันต้องซื้อใหม่หรือไร? ความคิดนี้ทำให้มันเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
เงยหน้าขึ้นมองตงฝูที่คล้ายล่องลอยอยู่เหนือหมู่เมฆ มองทางเดินคดเคี้ยว และขั้นบันไดหินยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วก้มมองถุงกระสอบใบโตที่ข้างเท้า จั่วม่อพลันขาสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“พี่ชาย ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” เงาหนึ่งเคลื่อนเข้ามาบดบังสายตาของจั่วม่อ
ผู้กล่าววาจาเป็นบุรุษเปลือยท่อนบนผู้หนึ่ง เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อบึกบึนประดุจเหล็กกล้า
“เท่าใด?” จั่วม่อถามทันควัน พลางมองกวาดไปรอบ ๆ และด้วยสายตาดุจให้กำลังใจของมันนี้เอง ผู้อื่นอีกสองสามคนรีบลุกยืนขึ้น
ชายคนแรกสังเกตเห็นเพื่อนร่วมอาชีพกำลังจะแทรกเข้ามา หัวใจของมันบีบรัด รีบพูดอย่างรวดเร็ว “ระดับหนึ่ง สามชิ้น”
ระดับหนึ่งสามชิ้น หมายถึงจิงสือคุณภาพระดับหนึ่ง จำนวนสามชิ้น
จั่วม่ออุทานอย่างตกใจ “ราคานี้เจ้าฆ่าข้าเถอะ!” แล้วกล่าวอย่างเฉียบขาด “แค่สอง! ถ้าเจ้ายินดี ก็ทำ แต่ถ้าไม่ยินดี ก็ไม่เป็นไร” ในเวลานี้ หากมันทำสีหน้าตกใจไปด้วย ก็จะเพียบพร้อมทั้งน้ำเสียงและรูปลักษณ์ แต่น่าเสียดายที่วิธีการนี้สิ้นหวังสำหรับจั่วม่อ เพราะใบหน้าผีดิบแข็งทื่อของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย บรรยากาศจึงกลายเป็นแปลกพิกลอยู่บ้าง
“เสแสร้งเกินไปแล้ว!” บุรุษกำยำกัดปาก แต่พอมองผู้อื่นล้อมเข้ามา มันก็กัดฟันรีบพยักหน้า “ข้าตกลง!”
กล่าวจบคำ มือหยาบใหญ่ราวกับพัดก็ยื่นเข้าหาถุงกระสอบบนพื้น จั่วม่อพลันตะโกน “รอสักครู่!”
“เป็นไร?”
“ลงนามสัญญาก่อนได้หรือไม่” จั่วม่อหยิบม้วนหยกออกมา
“แค่สองชิ้น ต้องทำสัญญาด้วยหรือเล่า?” บุรุษร่างกำยำพึมพำอย่างไม่พอใจ
“เพื่อความปลอดภัย มิเช่นนั้น ด้วยสารรูปเช่นข้า หากเจ้าวิ่งหนี ข้าก็ไม่มีปัญญาไล่จับเจ้า” ใบหน้าจั่วม่อยังคงไร้อารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับคล้ายเจือเสียงหัวร่อ
ไร้หนทางเลือก บุรุษกำยำได้แต่ลงนามในสัญญากับจั่วม่อ ผู้คนอื่นเห็นหมดหวังแล้วค่อยพากันแยกย้ายไป
เสร็จสิ้นเรื่องสัญญา บุรุษนั้นหยิบฉวยถุงกระสอบขึ้นจากพื้น น้ำหนักสามร้อยจินดูเบาราวไร้น้ำหนักในมือมัน
--------------------------
หลังจากนั้นมิทราบว่านานเท่าใด ที่ครึ่งทางขึ้นภูเขา จั่วม่อคล้ายกำลังพยายามคลานขึ้นบันไดหิน ทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ชายร่างกำยำกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการดูแคลน “ความอดทนของเจ้าย่ำแย่ยิ่ง” จากนั้นมันพยายามกระตุ้น “เจ้าสามารถเร่งรีบกว่านี้หรือไม่? ข้ายังต้องทำงานอีกสองรอบภายในวันนี้! ด้วยความเร็วเยี่ยงเจ้า คงโชคดีมากแล้วหากเราสามารถไปถึงก่อนมืดค่ำ”
จั่วม่อรู้สึกเหมือนมันเป็นปลาที่หลุดพ้นจากน้ำ คนคล้ายกำลังสำลัก นั่งพิงอยู่บนบันไดหิน หอบหายใจอย่างหนัก ลมหายใจไม่ปะติดปะต่อ “ข้า...ข้า...ไม่ไหว....”
บุรุษกำยำพลันตื่นตระหนกขึ้นมา “ไฉนเป็นเยี่ยงนี้ นี่เจ้ากำลังพยายามก่อกวนการทำมาหากินของข้าหรือไร?”
จั่วม่อเหลือกตา พลางกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “เจ้าก็เห็นอยู่แล้ว ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย”
บุรุษกำยำโวยวายอย่างขุ่นเคือง “รับทำงานให้เจ้า วันนี้ข้าขาดทุนย่อยยับ” กล่าวจบมันก็คว้าจั่วม่อขึ้นด้วยมือข้างเดียว แล้วหนีบไว้ใต้แขนอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ เริ่มวิ่งเหยาะ ๆ ขึ้นบันไดหิน
“พวกเจ้า เหล่าซิวเจ่อที่ฝึกฝนร่างกาย ช่างน่าชื่นชมนัก” จั่วม่อผู้กำลังเอารัดเอาเปรียบ กล่าวอย่างใจร้าย
“น่าชื่นชมอันใด? เพียงแค่คอยสูดปราณเสริมสร้างความแข็งแรงเท่านั้น ตอนนี้ข้าเพียงอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่ห้า หาได้สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก รอให้ข้าทะลุผ่านถึงด่านจู้จีเสียก่อน ข้าจะทำงานได้มากขึ้นอีก หรือเจ้าไม่ทราบ ทุกวันนี้การหาเลี้ยงชีพช่างยากลำบากยิ่ง” ชายร่างกำยำอดถอนหายใจไม่ได้
“ถูกแล้ว! การมีชีวิตอยู่หาได้ง่ายดายไม่” จั่วม่อรู้สึกเศร้าใจไปด้วย ทันใดนั้นมันพลันนึกถึงเรือพันปีกที่พบเห็นบนเส้นทางสัญจร จึงอดถามไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว เรือพันปีกเป็นเรื่องราวใด? ข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน”
“นั่นคือตำหนักเคลื่อนที่ของชื่อเหย่เจินเหริน (ปรมาจารย์ป่าแดง) เจ้าต้องระวังอย่าได้ตอแยพวกมัน” ชายกำยำเตือนฉันท์มิตร “หากเจ้าพบพานเหล่าสตรีชุดขาวที่มีผ้าคลุมหน้า จงนอบน้อมอยู่ห่าง ๆ พวกนางล้วนเป็นสนมของชื่อเหย่เจินเหริน ฟังว่านิสัยใจคอร้ายกาจ หลายคนเคยล่วงเกินพวกนาง และพวกมันทั้งหมดไม่มีจุดจบที่ดี”
ความแข็งแรงของชายผู้นี้น่าอัศจรรย์ยิ่ง มือหนึ่งหิ้วถุงกระสอบหนักสามร้อยจิน อีกมือหนึ่งหนีบจั่วม่อ มันยังสามารถกล่าววาจาได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีอาการสะดุดหรือเหนื่อยล้า
“นั่นก็ใช่แล้ว สำหรับพวกเราเหล่าคนตัวเล็ก ๆ การตอแยพวกมันเท่ากับหาที่ตาย” จั่วม่อเห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ย่างก้าวของบุรุษกำยำนั้นยาวมาก และความเร็วของมันยังเร็วกว่าเสี่ยวหวงอีก มันใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ในการไต่ขึ้นเส้นทางบันไดหินอันคดเคี้ยว
จั่วม่อรีบจ่ายจิงสือระดับหนึ่งจำนวนสองชิ้น ชายกำยำไม่พูดพล่ามทำเพลง รับจิงสือก่อนจะหันหลังกลับ วิ่งรี่ลงจากภูเขา
“ชีวิตไม่ง่ายเลย” จั่วม่อมองตามแผ่นหลังของชายผู้นั้น และสรุปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
จั่วม่อคุ้นเคยกับตงฝูไม่น้อย มันแบกถุงกระสอบขึ้น และหลังจากเลี้ยวลดไม่กี่หน ก็ถึงจุดหมายปลายทาง
นี่คือร้านค้าพิเศษในการรับซื้อข้าวปราณ มันมีเพียงหน้าร้านเล็ก ๆ นอกประตูแขวนธงผืนน้อย บนธงมีเพียงสองคำ ‘ข้าวปราณ’และการจัดเรียงอักขระยันต์บนธงรับประกันได้ว่า สองคำนี้จะสามารถมองเห็นได้แต่ไกล แม้กระทั่งในยามราตรีก็ตาม
ข้าวปราณคุณภาพระดับสอง น้ำหนักสามร้อยจิน กับร้านค้าประเภทนี้แล้ว มันเป็นเพียงการซื้อขายรายเล็ก ๆ เจ้าของร้านไม่ใส่ใจออกมาทักทาย เพียงส่งผู้ช่วยมาเท่านั้น
“สามสิบชิ้น จิงสือระดับสอง”
ผู้ช่วยนั้นมิได้เสียเวลากล่าวถึงราคา หรือเจรจาต่อรอง จั่วม่อก็ทราบดีว่ามันไม่มีสิทธิ์ต่อรอง ได้แต่รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ราคานี้ความจริงน้อยไปบ้าง แต่ร้านอื่นก็เหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่ามันสามารถนำข้าวปราณมากกว่าหมื่นจิน มาส่งได้ในคราวเดียว จากนั้นจึงจะมีสิทธิ์ต่อรองราคา ซึ่งความจริง หลังจากหักส่วนที่ต้องจ่ายให้แก่สำนักไว้แล้ว ข้าวปราณหนักสามร้อยจินนี้ ก็เป็นผลที่มาจากความพยายามอย่างหนักตลอดทั้งปีของมันแล้ว
สามสิบชิ้นของจิงสือระดับสอง สำหรับจั่วม่อนับว่าเป็นเงินก้อนโต
เมื่อเดินไปตามถนนพร้อมจิงสือระดับสองจำนวนสามสิบชิ้น จั่วม่อรู้สึกว่าสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมาไม่ต่างอะไรกับคมมีด
ถนนหนทางในตงฝูนั้นกว้างใหญ่ บ้านเรือนหลากสีหลายรูปทรงลอยอยู่กลางเวหา ในหมู่สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นยังมีร้านค้าอยู่ด้วย แต่นั่นเป็นย่านร้านค้าชั้นสูง หากปราศจากพาหนะบินระดับสูง ผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถเหินบินบนกระบี่ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง แม้ว่าพวกมันจะต้องการก็ตาม ร้านค้าชั้นสูงบางแห่งก็เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่กลางนภา พรั่งพร้อมด้วยบุปผาหอมกรุ่น กับบทเพลงเซียนอันไพเราะเสนาะหู
นั่นเป็นสถานที่ที่จั่วม่อไม่เคยคิดฝันถึง มันมักจะมองดูเฉพาะชามข้าวของตัวเองเท่านั้น