ตอนที่ 2 เรื่องเล่าของบิลลี่
“ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อว่า มาราเล่ เดฟินี่ หญิงสาวที่มีผมสีดำยาวจรดไปถึงเท้าของเธอ มันดูแปลกใช่ไหมล่ะฉันก็พึ่งเคยได้ยินสาวที่มีสีผมเป็นสีดำทมิฬ สำหรับฉันตอนแรกก็ไม่เชื่อใจสิ่งที่ทวดเล่าให้ฟังหรอกนะ แต่พอได้มาเจอเกาะบ้านี่เข้ากับตัวเองมันทำให้ฉันรู้เลยว่าสิ่งที่ทวดเล่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าธรรมดา แต่มันเป็นเรื่องจริงเมื่อฉันได้เห็นมัน ฉันบอกเลยนะว่าฉันไม่อยากเข้าไปใกล้เกาะแห่งนั้นเลย คำสาปอาจจะร้ายแรงก็เป็นได้ฉันไม่ยอมเด็ดขาดที่จะเข้าไป!!! ฉะนั้นพวกเราต้องกลับกันเดี๋ยวนี้”
สิ่งที่บิลลี่พูดทำให้ทุกคนหยุดชะงักเลยในทันที เรือที่กำลังจะมุ่งไปยังเกาะแห่งนั้นก็ยังอยู่ตรงบริเวณหมอกพวกนี้
“เราจะเอายังไงดีครับหัวหน้าสิ่งที่บิลลี่พูดอาจจะเป็นเรื่องจริงตามที่เขาว่าก็ได้นะครับ ผมว่าเรากลับกันเถอะไปหาที่อื่นก็ได้เกาะออกจะมีเยอะแยะ”
ลูกน้องคนหนึ่งได้พูดขึ้นซึ่งผมว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงเขาก็มีเรื่องเล่าของเขาร้อยพันเรื่อง อาจจะจำผิดมาก็ได้หรือแต่งขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้ล่ะ
“ฉันอยากจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวฉันว่าเรื่องนั้นอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าก็ได้”
พอพูดจบทุกคนก็หันมาทางผมในทันทีสีหน้าของพวกเขาดูแปลกๆไปแต่พวกเขาก็ทำตามที่ผมบอกในทุกขั้นตอน เรือใหญ่ของเราเริ่มเข้าไปในหมอกเรื่อยๆจนกระทั่งไปเจอกับซากหินที่แหลมคมอยู่ข้างหน้าของเรา
“ผมว่าเราควรที่จะหยุดเรือใหญ่แล้วเอาเรือเล็กพายไปดีกว่าไหมครับ”
ลูกเรือคนหนึ่งของผมได้พูดขึ้นมาซึ่งผมว่ามันก็เป็นความคิดที่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน ผมพยักหน้าให้กับลูกเรือของผม แล้วเรือลำน้อยก็เริ่มหย่อนลงไปสู่น้ำทะเลข้างล่าง
“เอาล่ะหย่อนช้าๆนะหย่อนให้ฉันช้าๆหน่อย” ผมพูดขึ้นก่อนจะมองลงไปที่ทะเลแล้วก็มองขึ้นไปข้างบน แต่แล้วก็มีใครบางคนหัวเราะขึ้นมา
“เหอะๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกพลาดแล้วที่แกลงไปเป็นคนแรก สิ่งที่เฒ่าแก่พูดน่าจะเป็นเรื่องจริงที่สุดแล้ว อย่างไรฉันก็ไม่อยากจะตายอยู่ที่นี่กับแกหรอกนะ ขอให้โชคดีกับการลอยแพรอยู่ในเกาะต้องคำสาปนั่นก็แล้วกัน”
พอลูกเรือคนนั้นพูดจบเขาก็หยิบมีดที่ผูกไว้ตรงเอวของเขาขึ้นมา แล้วก็เอามาฟันเชือกที่มัดผูกไว้กับเรือลำน้อยของผม จนทำให้เรือตกลงไปด้วยความสูงที่ทำให้เรือเกือบแตกออก จากนั้นเรือก็กระทบเข้ากับน้ำทะเลดังตู้ม ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่ในจังหวะนั้น
“อะไรของนายทำไมนายทำแบบนี้กับฉันได้ฉันอุส่ารับนายเข้ามาให้นายทุกอย่าง แต่สิ่งที่ฉันได้มากับเป็นการทรยศของพวกนายอย่างนั้นหรือ ?”
ผมพูดขึ้นด้วยความเสียใจเพราะเสียความรู้สึกที่พวกเขาทำเช่นนี้กับผม พวกเขายังคงหัวเราะอยู่ข้างบนเรือแม่ แล้วเรือแม่ก็เริ่มลอยตัวออกไปจากเรือเล็กลำที่ผมอยู่นี้ พวกเขาปล่อยผมให้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ผมผิดหวังกับพวกเขามากและผมไม่น่าจะไปเชื่อใจพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมจะเอายังไงกับตัวเองดี ผมควรจะไปที่เกาะนั้นก่อนที่จะคิดถึงเรื่องอื่นดีกว่านะผมคิดว่า จากนั้นผมก็เริ่มใช้พายพายเรือลำเล็กไปยังเกาะที่เขาลือว่ามันต้องสำสาป เรือของผมล่องลอยไปตามน้ำทะเลผ่านโขดหินที่แหลมคมแล้วก็ไปประจบกับชายหาดที่เกาะแห่งนี้ แต่ผมมองไม่ค่อยเห็นอะไรเลยเนื่องจากหมอกที่คุมหนาแน่นมาก ขนาดผืนทรายที่ชายหาดของเกาะนี้ผมยังมองไม่เห็นเลยว่ามันเป็นแบบไหนบ้าง ผมลงจากเรือลำเล็กของผมแล้วผูกมันไว้เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะได้วิ่งขึ้นเรือของผมทัน แถมมันจะได้ไม่ลอยออกไปตามลมและคลื่นของทะเลด้วย หึ๊บ //ตุบ// (ลงจากเรือ)
“เฮ้อที่นี่มองอะไรแทบจะไม่เห็นเลยฉันควรจะไปทางไหนดีล่ะ ??”
ผมยืนถามตัวเองอยู่ที่หน้าชายหาดอยู่สักพักกว่าผมควรจะเข้าไปดีไหม แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าการเข้าไปยังข้างในเกาะมันดีที่สุดแล้วล่ะ ผมลองเดินตามขอบที่ผมสามารถมองเห็นเพื่อที่จะเข้าไปยังเกาะ อาจจะใช้เวลานานเสียหน่อยเพราะว่าหมอกสีดำขุ่นๆนี้มันทำให้ผมไม่สามารถที่จะมองเห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจนเลย แต่ในที่สุดผมก็เดินมาถึงต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง ผมจึงหยุดเดินแล้วนั่งข้างต้นพร้าวนั้นด้วยความเหนื่อยพร้อมกับเริ่มหิวกระหายน้ำแล้วในตอนนี้
“นี่ฉันมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่กันเนี่ย ฉันน่าจะเชื่อเจ้าพวกนั้นมากกว่าจะได้ไม่ต้องโดนทิ้งอยู่ที่เกาะบ้าๆแบบนี้”
ผมสะบดออกมาอยู่คนเดียวทั้งเหนื่อยทั้งเสียความรู้สึกผมไม่รู้จะเอายังไงหรือจะทำอย่างไรต่อดีแล้ว แต่ผมจะทำมันให้ดีที่สุดก็แล้วกันเพื่อที่จะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ตอนนี้ภารกิจของเราก็คือการหาน้ำดื่มแต่จะหาได้จากที่ไหนล่ะ . . .ผมมองขึ้นไปข้างบนของต้นพร้าวที่สูงอาจจะต้องหลี่ตามองสักนิดหนึ่งเพราะมีหมอกปกคลุมอยู่ แต่ผมก็มองเห็นลางๆว่ามันมีลูกมะพร้าวที่แสนจะสวยงามน่าจะมีน้ำเต็มลูกมะพร้าวลูกนั้น ผมว่าผมหาทางออกของผมได้แล้วล่ะแต่ผมต้องหาวิธีขึ้นไปเอาลูกมะพร้าวลงมาให้ได้เสียก่อน !! สู้เพื่อชีวิตโว๊ย