ตอนที่แล้วPath to : ตอนที่ 3 - หันหน้าไปทางอื่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปPath to : ตอนที่ 5 - อย่าเป็นแมวตาบอดที่จับได้แค่หนูตาย

Path to : ตอนที่ 4 - ซื้อซากแม่งป่องไฟ


เส้นทางสู่สวรรค์ ตอนที่ 4

 

ตอนที่ 4 – ซื้อซากแม่งป่องไฟ

 

“เร่เข้ามาเร่เข้ามา นี่คือยันต์ห้าพิษจากสำนักเบญจพิษของจริง ผู้ที่จะใช้มันได้ก็ต่อเมื่อมีพลังอยู่ในระดับทะเลศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น มันสะดวกและรวดเร็วนับเป็นเครื่องยันต์ที่จำเป็นสำหรับการฆ่าคนไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน!”

 

“ยาฟื้นฟูพลังระดับหนึ่งเหลือเพียงแค่สองขวดเท่านั้น ด้วยราคาที่ทุกท่านสามารถเอื้อมถึงราวกับได้ฟรี ทุกท่านต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน”

 

“ซื้อของสมบัติหรือยาทุกชิ้นราคายุติธรรม แลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม ไม่หลอกหลวง”

 

“ขายแผนที่ดินแดนรกร้างแผนใหญ่ มีทางลัดในการเดินทางไปยังหุบเขาไก่ป่าอย่างเร็วที่สุด เอาชื่อข้าเป็นประกันรับรองเส้นทางนี้ปลอดภัยแน่นอน”

 

“ซื้อผลึกกระดูกปลาสีครามได้ที่นี่ๆ สามารถจ่ายเป็นหินจิตวิญญาณเพื่อแลกกับผลึกกระดูกปลาสีครามได้ที่นี่”

 

“ขายเทคนิคการสรรสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลของข้า ทุกท่านควรซื้อก่อนที่จะไป”

 

“มองหาคนนำทางไปยังเนินวิญญาณสถิตเพื่อสังหารอสูรหินซากศพ จำกัดที่การบ่มเพาะระดับทะเลศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามหรือมากกว่า หากต่ำกว่านั้นคงต้องขอปฏิเสธ”

 

“…”

 

เมื่อประตูเมืองทางทิศตะวันออกถูกเปิดออก เสียงของผู้คนจำนวนมากต่างดังขึ้น

 

“ผลึกกระดูกปลาสีคราม? เขาพูดถึงของไร้ประโยชน์นั้น จะมีคนโง่สักกี่คนที่ต้องการซื้อผลึกกระดูกปลาสีครามบ้าง?” ชายร่างใหญ่ที่มีคิ้วเป็นขวานกล่าว

 

“โอ้ยังถือได้ว่าไม่โง่เท่าไรนัก เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวมาว่ามีใครบางคนสามารถเขียนสูตรยันต์จากการทดลอง สามารถใช้ผลึกกระดูกปลาสีครามเขียนยันต์ลูกศรวารีได้ แม้ว่าข้าจะได้ยินมาว่าความแรงของลูกศรวารีนั้นกากมากมันไม่สามารถถือได้เป็นทักษะยันต์ระดับหนึ่งได้เลย แต่มันก็ยังถือเป็นยันต์ได้อยู่ครึ่งระดับเพราะมันยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้บ้างนิดหน่อย” ด้านข้างชายร่างใหญ่เป็นชายร่างผอมที่มีคิ้วดูเจ้าเลห์และตาเหมือนหนู “ให้ข้าบอกเจ้าไหมว่ามีอะไรบ้าไปกว่านี้ เวลาไม่นานมานี้ข้าเห็นใครบางคนซื้อแม่งป่องเพลิงไป”

 

“เจ้าลิงเจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือเปล่า? จะไปมีใครซื้อแม่งป่องเพลิงได้เยี่ยงไร?”

 

“ซื้อซากแม่งป่องไฟ! เป็นซากแม่งป่องที่ยังสดๆ ข้าไม่ต้องการที่จะดมกลิ่นเน่าๆเช่นนั้นหรอก” ก่อนที่ชายร่างผอมจะพูดจบแล้วเสียงตะโกนก็ดังขึ้น

 

“จริงเหรอ?” ชายร่างใหญ่คิดอย่างหงุดหงิดทันที “มีคนโง่เช่นนั้นจริงงั้นรึเนี่ย?”

 

 

“เฒ่าหัวเขียว เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดจะหลอกข้าจริงๆน่ะ”

 

ช่วงเย็นดวงอาทิตย์ลงไปในทิศตะวันตกแล้ว ภายในบ้านหินเล็กๆเหว่ยเส้ามองไปที่ซากแม่งป่องเพลิงทั้งหกตัวอย่างหงุดหงิดจนปวดหัว “หากเจ้ากล้าที่จะหลอกข้าข้าก็จะโยนเจ้าลงในถังหมักปุ๋ย”

 

ในช่วงเช้าตรู่ของวัน เหว่ยเส้าถูกมองเป็นคนที่โง่ที่สุดในเมืองวิญญาณสูงส่งอย่างไม่มีใครเปรียบทั่วตลาดเล็กๆทั่วประตูทิศตะวันออกทั่วเมืองวิญญาณสูงส่งอย่างแท้จริง

 

มีเหตุผลว่าทำไมคนในตลาดเล็กๆถึงคิดว่าเหว่ยเส้าเป็นคนโง่ที่สุดไม่มีใครเปรียบได้ และนั่นเป็นเพราะว่าแม่งป่องไฟเป็นเพียงสัตว์เลื้อยคลานในระดับต่ำเท่านั้น นอกเหนือจากที่หางแม่งป่องจะสามารถนำมาใช้สร้างสิ่งประดิษฐ์ ส่วนที่เหลือมันไร้ประโยชน์มาก ยิ่งไปกว่านั้นแม่งป่องไฟยังชอบอยู่ตัวเดียวโดดๆและอยู่กระจัดกระจายกัน ดังนั้นการที่จะฆ่ามันจำนวนหนึ่งเป็นงานที่น่ารำคาญอย่างแท้จริง ดังนั้นเป็นปกติที่จะไม่มีใครจะไปและฆ่าแม่งป่องไฟเพื่อเอามาขาย พวกเขาโดยส่วนมากก็แค่เพียงฆ่ามันเมื่อพบเจอและแสวงหาอสูรปีศาจอื่นๆและพวกวัสดุต่างๆ

 

ด้วยเหตุนี้แม่งป่องไฟจึงไม่มีใครต้องการสักคนเดียว เมื่อมีคนต้องการซื้อพวกมันพวกเขาแทบจะไม่ต้องมาซื้อที่ตลาดก็ได้ ดังนั้นราคาของพวกมันจึงกลายเป็นของแพงไป

 

มันก็เหมือนกับซ่องระดับต่ำของเมืองเขตต้นหลิวสีดำ ขณะที่มีหลายคนดูดี แต่ก็มีของเทียมเช่นกันผู้หญิงที่สูงสามฟุตและเอวหนาจนอ้วน หากคุณมีรสนิยมแปลกประหลาดจริงและอยากที่จะเจอหญิงใหญ่ ทางร้านก็จะจัดหาคนหนึ่งให้คุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาอาจจะไม่ได้ถูกไปกว่าผู้หญิงที่ดีที่สุดในซ่อง

 

เหมือนวันนี้ เหว่นเส้าใช้หินจิตวิญญาณระดับต่ำซื้อแม่งป่องไฟทั้งหกตัวนี้

 

สำหรับผู้อื่น อาจจะมองว่าหินจิตวิญญาณนั้นมีค่าน้อยนัก แม้ว่าเหว่ยเส้าจะยากจนมากจนเขาเคยคิดที่จะจำนำกางเกงขาสั้นของเขาแต่มันคือเงินก้อนใหญ่ หลังจากใช้หินจิตวิญญาณระดับต่ำ เหว่ยเส้าเหลือหินจิตวิญญาณเพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น

 

“มั่นใจได้เลย เชื่อข้าไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าเอาเลือดแม่งป่องไฟมาให้ข้าดื่มก่อนจะได้หรือไม่? ผ่านมากว่าหมื่นปีแล้วที่ข้าได้ดื่มเลือดแม่งป่องไฟเป็นครั้งสุดท้าย ข้ารู้สึกกระหายน้ำมากๆ” ในเวลานี้เฒ่าตัวเขียวมองไปที่แม่งป่องไฟทั้งหกตัวที่ถูกวางขว้างด้านข้าง ดวงตาของเขาส่องสว่างและเขากลืนน้ำลายเหมือนคนกำลังหิวโหย

 

“ในฝันเจ้าเถอะ เร็วเข้าบอกข้ามาว่าเราต้องทำเช่นใด หากว่าเจ้าสอนข้าเขียนยันต์ลูกไฟอย่างจริงจังข้าก็จะมอบเลือดให้เจ้าได้ดื่ม หากข้าไม่สามารถเขียนมันได้จริงๆ เจ้าก็ลงไปอยู่ในถังหมักปุ๋ยเสียไป”

 

เฒ่าตัวเขียวรู้สึกหมดหนทางต่อเหว่ยเส้าอย่างแท้จริง ไร้คำพูดใดๆต่อการกระทำของเหว่ยเส้า เขาทำได้แค่เพียงพูดว่า “เอาล่ะ ไปนำแม่งป่องไฟมาก่อนอย่างแรก ตัดมันออกจากกันตามเส้นสีดำที่ด้านหลังของมัน ระวังอย่าตัดลึกเกินไป”

 

“โอ้….”

 

เหว่ยเส้านำแม่งป่องไฟไปที่โต๊ะหิน แม้ว่าเจ้าแม่งป่องไฟนี้จะดูเหมือนไม่ใหญ่มากนักแต่มันก็ยังหนักเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาถือซากแม่งป่องไฟกลับมาเหว่ยเส้าได้แต่เสียใจกับหินจิตวิญญาณที่เสียไปและไม่ได้สังเกตดูลักษณะของแม่งป่องไฟแม้แต่น้อย

 

และตอนนี้เมื่อเขาได้สังเกตมันอย่างละเอียด มันมีขนาดใหญ่กว่าแม่งป่องธรรมดาสามัญ มีจุดอื่นอีกมากมายที่แตกต่างไปจากแม่งป่องธรรมดา เปลือกของมันเป็นสีแดงเข้มเหมือนกับกุ้งมังกรสุก หางของมันมีความยาวเท่ากับตัวของมันคล้ายเป็นแส้เหล็กเส้นเล็กๆ ปลายหางของมันเหมือนกัยเข็มเหล็กสีแดงที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความร้อน

 

เหมือนกับที่เฒ่าตัวเขียวได้กล่าวไว้ว่ามีเปลือกสีแดงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ด้านหลังของมันและมีรูอยู่ และเมื่อเคาะไปที่หัวของมันก็จะปรากฏเป็นเส้นสีดำอย่างชัดเจน

 

“ห่าเอ้ย ทำไมมันหนักอย่างนี้?”

 

เหว่ยเส้าเคยใช้แต่มีดทำครัวธรรมดาๆ ต่อมาเขามีดสีดำที่ดูเหมือนกับมีดตัดเนื้อ หลังจากส่งเสียงครวญครางอยู่นานก็จบลงด้วยการที่เขาใช้สิ่วขนาดเล็กตีมันอยู่นาน ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดเปลือกสีแดงตามแนวเส้นสีดำได้

 

ขณะที่เฒ่าตัวเขียวได้แต่เฝ้าดูก็กลิ้งตาขึ้น ตั้งแต่เขาได้ติดตามนายมากว่าห้าสิบรุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนโง่เพียงคนเดียวที่พยายามจะแงะเปลือกของแม่งป่องไฟไปตั้งครึ่งวันด้วยสิ่ว

 

อย่างไรก็ตามข้าไม่กล้าที่จะพูดอะไรในตอนนี้ นั่นเป็นเพราะถ้าคำพูดของข้าทำให้คนโง่นี้โกรธ เขาอาจจะหาหลุมขยะมูลฝอยและโยนข้าลงไปในนั้นเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าคงจะกลายเป็นสมบัติวิญญาณตนแรกที่จมขยะตาย

 

“เจ้าเห็นกระดูกสีแดงที่อยู่ด้านล่างมันหรือไม่? เอามันออกมาทั้งหมดอย่าทำให้มันแตกหัก”

 

“เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าต้องการเลือดของมันงั้นรึ? แล้วจะนำกระดูกไปทำอันใดกัน?”

 

“เลือดโดยปกติของแม่งป่องไฟไร้ประโยชน์ แต่เฉพาะเลือดไขกระดูกในกระดูกมันมีประโยชน์เป็นอย่างมาก เอามันใส่ขวดเร็วเข้าหากมันแห้งจะไม่สามารถใช้อะไรมันได้อีก”

 

“ตกลง เฒ่าหัวเขียวข้าควรทำอันใดต่อไป?”

 

“ผสมหญ้าเทียนเงินและดอกไม้หางเพลิงลงในน้ำผสมให้เข้ากันในอัตราส่วน 7 ต่อ 3 แล้วต้มให้เดือด หลังจากนั้นให้เทลงบนแม่พิมพ์ยันต์และตากให้ทั่วบนหินเพื่อทำกระดาษยันต์”

 

….

 

เหว่ยเส้าทำต่อ เขาทุบหญ้าเทียนเงินและดอกไม้หางไฟเข้าด้วยกันเทลงน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ทำตามที่เฒ่าตัวเขียวบอกและวัดอัตราส่วนอย่างรอบคอบโดยใช้ขวดผสมน้ำในอัตราส่วน 7 ต่อ 3 ส่วน

 

“เชี่ย กลิ่นนี้ค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ เฒ่าหัวเขียวเจ้าไม่ได้ตั้งใจแกล้งข้าเล่นเป็นคนโง่หรอกใช่มั้ย?”

น้ำจากพืชทั้งสองชนิดเดิมมีสีเงินและสีแดงที่สำคัญมันไม่มีกลิ่น แต่เมื่อหลังจากที่ต้มจนเดือดปุดๆ ฟองอากาศก็เริ่มโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ส่วนผสมทั้งหมดในน้ำกลายเป็นของเหลวสีแดงชาด นอกจากนี้ยังส่งกลิ่นคาวที่เหม็นมาก

 

“สำหรับเรื่องของกลิ่นนี้จะปรากฏขึ้นทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี ขณะนี้เจ้าสามารถนำมันออกมาและใช้เพื่อทำกระดาษยันต์ หลังจากที่เจ้าทำให้มันกลายเป็นกระดาษยันต์กลิ่นจะหายไปตามธรรมชาติ” เฒ่าตัวเขียวพยักหน้าด้วยความมั่นใจ

 

ด้วยความไม่เชื่อ เหว่ยเส้านำเอาแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขึ้นมา แม่พินพ์ยันต์นี้เป็นของที่เขาหยิบขึ้นมาโดยบังเอิญในอดีต มันเป็นแค่สิ่งของทั่วไป เนื่องจากความจริงที่เขาไม่รู้วิธีการทำกระดาษยันต์ แม่พินพ์ยันต์ถูกเก็บรวบรวมไว้ใต้เตียงตลอดเวลา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้มันในเวลานี้

 

“ดูติดขัดมาก เจ้าจะต้องทำได้ดีกว่านี้สิ”

 

เมื่อเห็นว่าเหว่ยเส้าเทน้ำปริมาณมากลงในแม่พิมพ์ยันต์จนมันเริ่มท่วมชายแก่รู้สึกปวดหัวกับภาพนี้ อย่างไรก็ตามเขาจำได้ว่าพืชทั้งสองชนิดมีอยู่มากและโตได้ในทุกที่ตอนนี้ชายแก่เริ่มรู้สึกหมดคำพูดไปต่อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด