ตอนที่แล้วEternal Martial Sovereign ตอนที่ 19 – สังหารด้วยการโจมตีเดียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEternal Martial Sovereign ตอนที่ 21 – เถาวัลย์ม่วง

Eternal Martial Sovereign ตอนที่ 20 – พระราชวังมรดกของผู้ฝึกตนโบราณ


*เปลี่ยนจากประสาทสัมผัสเป็นจิตสำนึกนะครับ

*เปลี่ยนชื่อพระราชวังจากตอนที่แล้วด้วยนะครับ

 

Chapter 20 – พระราชวังมรดกของผู้ฝึกตนโบราณ

 

นิ่งเงียบ!

 

หุบเขาทั้งหมดได้เงียบอย่างผิดปกติ

 

พวกบุรุษที่เดิมทีเต็มไปด้วยกระหายเลือด แต่ตอนนี้กลับแสดงออกถึงความกลัวและความสะดุ้งกลัว

 

แทงทะลุลำคอได้ในการโจมตีเดียว!

 

เด็กหนุ่มคนนี้เร็วจนเกินไปและหยุดมันไม่ได้ พวกบุรุษได้ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์และรู้สึกในลึกๆว่าไม่ค่อยเชื่อ

 

“เขาอยู่ในขอบเขตหลอมร่างกายจริงหรือ?” พวกบุรุษมองกันและกัน และไม่สามารถเชื่อได้ว่าพึ่งเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

 

เซี่ยวหยุนลงมาบนพื้นและมองไปยังพวกบุรุษด้วยสายตาเย็นชา

 

บุซซ!

 

ถูกจ้องมองโดยเด็กหนุ่ม พวกบุรุษรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่ามีภูเขากดทับลงมาบนพวกเขา

 

“เป็นจิตสำนึกที่กดขี่อะไรแบบนี้!” พวกบุรุษสะดุดกลับไปข้างหลังอย่างช่วยไม่ได้

 

“พวกเจ้าทั้งหมดกลัวอะไรกัน? หัวหน้าก็เพียงแค่ประมาท ซึ่งเป็นผลให้สารเลวนี้ทำสำเร็จถ้าพวกเราโจมตีด้วยกัน เราจะต้องกลัวอะไรอีก?” ชายร่างผอมเล็กน้อยมีจมูกที่คล้ายกับอินทรีพูด “ฆ่า! ฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้หัวหน้า เมื่อใดกันที่กลุ่มนักผจญภัยนาคาสีเงินของพวกเราจะต้องกลัวใครมาก่อน?”

 

ขณะที่เขาพูด พวกคนเหล่านี้ก็เริ่มจ้องไปยังกระบี่ที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่ม

 

นี่เป็นกระบี่ที่มีค่าและไม่ใช่บางที่คนธรรมดาจะครอบครองได้!

 

พวกบุรุษทั้งหมดต่างมองกันและกันและหลังจากได้รวบรวมความกล้าของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ได้เริ่มรวมตัวกัน

 

ฆ่า!

 

หลังจากรวมตัวกันอีกครั้ง บุรุษทั้งหกได้โจมตีพร้อมกัน การโจมตีของพวกเขาปกคลุมไปทั่วจนดูเหมือนว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในท้องฟ้าและปกคลุมผืนโลก

 

พวกเขาทั้งหกที่อ่อนสุดอยู่ในขั้น 'สมบูรณ์' ระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกาย ในขณะที่ชายร่างผอมเล็กน้อยอยู่ในระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกาย การโจมตีผสานของพวกเขานั้นน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ และแม้กระทั่งเซียนระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกายก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากในการเอาชีวิตรอดจากมัน ในระยะไกลเซี่ยวหยุนรู้สึกจิตสำนึกของเซี่ยวหยุนรู้สึกถูกกดดัน

 

อย่างไรก็ตามในดวงตาของเซี่ยวนั้นไร้ซึ่งความกลัวมันมีเพียงเจตนาที่เย็นชาเท่านั้น

 

“พวกเจ้าทุกคนรนหาที่ตาย!” หลังจากที่พูดอย่างเย็นชา ดวงตาของเด็กหนุ่มรุนแรงขึ้นขณะที่เต็มไปด้วยคลื่นของพลังวิญญาณกวาดออกมาจากหน้าผากของเขา อากาศกระเพื่อมราวกับมีคลื่นที่มองไม่เห็นได้ผ่านมันไป

 

คลื่นพลังวิญญาณที่ทรงพลังไม่สามารถมองเห็นได้และก็ไร้รูปแบบ ขณะที่มันกวาดเข้าไปในจิตใจของพวกบุรุษ คิ้วของพวกเขาได้ขมวดขึ้น เผยให้เห็นลักษณะของความตกตะลึงขณะที่ดวงตาของพวกเขาาได้เป็นพร่ามัว

 

ภายใต้การโจมตีจากพลังโจมตีของเซี่ยวหยุน พวกเขาได้หยุดลงแทบพร้อมๆกัน

 

วูซซ!

 

ในขณะนี้เซี่ยวหยุนได้กระโดดขึ้นและกระบี่ในมือของเขาได้แทงไปยังบุรุษทั้งหกคน

 

ชวิ้ง,ชวิ้ง!

 

แสงจากกระบี่กระพริบขณะที่มันแทงผ่านเข้าไปลำคอของผู้ชายในการโจมตีเดียว

 

ทันใดนั้นชายที่อยู่ในระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกายได้ถูกสังหารไป

 

หลังจากนั้นคนอื่นอีกสามคนกูถูกฆ่า พร้อมกับคอของพวกเขาถูกแทง

 

 

ทุกการโจมตีของเซี่ยวหยุนราวกับว่ามันได้แทงขึ้นไปยังท้องฟ้า ความเร็วในการฟันและแทงแต่ละครั้งได้ไปถึงระดับที่เป็นไปไม่ได้

 

ในช่วงหนึ่งลมหายใจ บุรุษสี่คนได้ถูกสังหารไป

 

“ทักษะประเภทใดกันที่มันสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจและวิญญาณได้?” หลังจากเซี่ยวหยุนฆ่าชายสี่คน ที่เหลืออีกสองคนก็ได้กลับมารู้สึกตัวขณะที่พวกเราเริ่มมองไปเด็กหนุ่มด้วยความหวาดกลัว โดยจิตใต้สำนึกได้บอกให้พวกเขาหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ข้ายังคงไม่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาได้นานเท่าไหร่?” มองบุรุษ 2 คนที่กลับมารู้สึกตัวทำให้เซี่ยวหยุนขมวดคิ้ว

 

มันดูเหมือนว่ามีข้อจำกัดว่าพลังวิญญาณของทักษะกลืนกินสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากเท่าฝด

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาแห่งความสับสนมันจะสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุดและอาจจะแม้กระทั่งสามารถฆ่าใครบางคนที่มีการบ่มเพาะเหนือกว่าได้

 

หลังจากที่ทำให้อารมณ์ของเขาคงที่ คิ้วของเซี่ยวหยุนก็ยกขึ้นขณะที่เขามองอย่างเย็นชาไปยังผู้รอดชีวิตสองคน

 

“เจ้า ... เจ้าเป็นใคร?” ใบหน้าของบุรุษทั้งสองเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะที่พวกเขาล่าถอย เมื่อพวกเขามองไปยังเด็กหนุ่ม มันราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพแห่งความตาย เขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเท่านั้นแต่พวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้เลย – นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ!

 

“ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่เคยมีเรื่องข้องใจใดๆ ระหว่างเรา แต่ถึงกระนั้นพวกเจ้าก็ยังต้องการจะสังหารข้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นเป็นคนประเภทใด วันนี้ ข้าเซี่ยวหยุนจะทำลายสิ้นซึ่งความชั่วร้ายเพื่อส่วนรวมและลบเจ้าทิ้งจากโลกใบนี้” เซี่ยวหยุนดูสงบอย่างไม่น่าเชื่อขณะที่เขาถือกระบี่เหล็ดำซึ่งส่องแสงความมืดแพรวพราว และเดินไปยังบุรุษทั้งสองคน

 

“ไม่! เรามาจากกลุ่มนักผจญภัยนาคาสีเงิน เจ้าไม่สามารถสังหารเราได้” บุรุษคนหนึ่งรีบพูดขณะที่ขาของเขาสั่น

 

“กลุ่มนักผจญภัยนาคาสีเงิน?” เซี่ยวหยุนถามตามที่คิด เขาเห็นว่ามีสัญลักษณ์นาคาสีเงินบนอกของพวกบุรุษ ซึ่งมันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มนักผจญภัยนาคาสีเงิน อย่างไรก็อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้หยุดเดิน

 

เขาจะไว้ชีวิตคนเหล่านี้ที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?

 

“หัวหน้าของพวกเราคือเซียนขอบเขตต้นกำเนิดในช่วงปลาย ถ้าเจ้าสังหารเรา แน่นอนว่าเขาจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า” บุรุษอีกคนกล่าว

 

“ขอบต้นกำเนิดช่วงปลาย?”

 

สายตาของเซี่ยวหยุนเริ่มเย็นเยียบมากขึ้น

 

“ตั้งแต่ที่เป็นแบบนี้ แน่นอนว่าข้าไม่สามารถไว้ชีวิตเจ้าได้”

 

เซี่ยวหยุนเข้าใจถึงอันตรายจากการเก็บภัยพิบัติในอนาคตไว้

 

ได้ยินเรื่องนี้บุรุษทั้งสองกลัวอย่างยิ่ง มันดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่กลัวง่ายๆ!

 

“เจ้าไม่สามารถฆ่าเราได้ เรารู้ความลับ!” บุรุษคนหนึ่งพูดโพล่งออกมาอย่างหมดท่า

 

“ความลับ?” เซี่ยวหยุนค่อนข้างสนใจ “มันคืออะไร?”

 

“ภายในส่วนลุกของภูเขาเมฆาม่วง ที่นั่นมีพระราชวังมรดกผู้ฝึกตนโบราณอยู่ มันกำลังจะเปิดแล้ว” เมื่อเห็นว่าเซี่ยวหยุนค่อนข้างจะสวนใจ บุรุษคนนั้นก็ดีใจอย่างมากขณะที่เขารีบพูดต่อ “ตราบเท่าที่เจ้าไว้ชีวิตเรา เราจะบอกเจ้าถึงวิธีการเข้าไปในพระราชวังมรดก”

 

“พระราชวังมรดกผู้ฝึกตนโบราณ” ดวงตาของเซี่ยวหยุนสว่างขึ้น ด้วยชื่ออย่างนี้นั้นแน่นอนว่ามันจะต้องไม่ใช่มรดกที่อ่อนแอ

 

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่น่าทึ่ง

 

“ถูกต้อง” เห็นเซี่ยวหยุนสนใจพระราชวังมรดกอย่างชัดเจน บุรุษทั้งสองก็ถอนหายใจออกมา

 

“บอกข้าถึงเส้นก่อนเป็นอันดับแรก” เซี่ยวหยุนกล่าว

 

“อันแรกเจ้าไปต่อที่นี่ แล้วก็ที่นี่...”

 

หนึ่งในบุรุษเริ่มอธิบายเส้นทางไปยังพระราชวังมรดกของผู้ฝึกตนโบราณอย่างตื่นเต้น “นั่นคือทั้งหมด ถ้าเจ้าอยากรู้ตำแหน่งที่แม่นยำของสถานที่ เจ้าจะต้องค้นหามันภายในพื้นที่นั้น”

 

เซี่ยวหยุนได้พยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้เชื่อเขาทั้งหมด เขาเริ่มเปรียบเทียบเส้นทางที่บุรุษนั้นให้เขามากับแผนที่ที่เขาได้รับมาจากหยานซือเฟยในจิตใจของเขา หลังจากนั้นเขาต้องมั่นใจว่าเขาไม่ได้เดินเข้าสู่กับดัก

 

ฮี่ฮี่ ที่นั่นมีสัตว์อสูรที่กระวนกระวายจำนวนมาก และเซียนของกลุ่มนักผจญภัยจำนวนมากที่ล้มลงเมื่อไปที่นั่น เมื่อเจ้าไปเจ้าจะไม่ได้แม้กระทั่งเหลือศพที่ครบถ้วนทิ้งไว้ และนั่นคือการแก้แค้นของพวกเรา” บุรุษคนหนึ่งเริ่มพูดพึมพำด้วยเสียงเล็กๆอย่างไม่เชื่อ

 

ถึงแม้ว่าเสียงพึมพำของบุรุษคนนั้นแทบจะไม่ได้ยิน แต่จิตสำนึกของเซี่ยวหยุนก็คมยิ่งกว่าของพวกเซียนขอบเขตต้นกำเนิด ดังนั้นเขาจึงได้ยินทั้งหมด แสงเย็นชาแวบผ่านดวงตาของเขาขณะที่เขาคิดว่า “ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้บอกเขาว่าได้มีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆในบริเวณด้านในสุดของภูเขาเมฆาม่วง

 

“คุณชายหนุ่ม เราจะไปกันตอนนี้เลยรึไม่?” บุรุษคนหนึ่งยิ้มอย่างสุภาพ

 

“ที่นั่นแน่นอนว่ามีโอากาสใหญ่บางอย่างอยู่ ถ้าท่านไปช้า พวกมันอาจจะถูกยึดไปโดยคนอื่น” บุรุษอีกคนพูดขณะที่เขายังยิ้ม

 

อย่างไรก็ตาม มันมีกลิ่นอายความเย็นเยียบภายในรอยยิ้มของพวกเขา

 

“เอาล่ะ เราจะไปกันตอนนี้แหละ” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่ดวงตาของเขากวาดไปทั่วพวกเขา

 

“ขอบคุณท่านมาก คุณชายหนุ่ม” บุรุษพวกนี้มากจากกลุ่มนักผจญภัยนาคาสีเงินพวกเขากำมือคำนับแล้วเดินจากไป

 

ชวิ้ง! ชวิ้ง!

 

ข้างหลังพวกเขา เด็กหนุ่มแทงกระบี่เข้าไปยังหัวใจของพวกเขา

 

ในไม่ช้าหัวใจของพวกเขาทั้งคู่ก็ถูกแทง

 

ทั้งสองคนหันกลับมา การแสดงออกของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจขณะที่พวกเขาถาม “ทำไม…?”

 

“มีคลื่นของสัตว์ร้ายท่วมท้นออกมาจากภายบริเวณด้านในของภูเขาเมฆาม่วง เจ้าต้องการหลอกข้าให้ไปที่นั่นเพื่อตาย เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ตระหนักถึงรึ?” เซี่ยวหยุนพูดอย่างใจเย็น เขาไม่ได้รู้สึกถึงเศษเสี้ยวของความเห็นใจสำหรับคนประเภทที่น่ารังเกียจและเลว ถ้าเขาปล่อยให้พวกมันมีชีวิต พวกมันจะกระทำการชั่วร้ายมากขึ้นอีก

 

บุรุษทั้งสองเสียชีวิตด้วยความสับสน พวกเขาไม่สามารถเข้าใจไดเว่าเด็กหนุ่มอายุ 16 ได้มองเห็นถึงการโกหกที่สมบูรณ์ได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจิตสำนึกที่ไม่น่าเชื่อหรือความคิดของเขาดีเลย ซึ่งเขาได้กลายเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นๆในช่วงอายุของเขามานานแล้ว

 

“ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงในภูเขาเมฆาม่วง แม้ว่าจะอันตรายอย่างมาก ข้าก็สามารถเข้าไปดูได้”

เซี่ยวหยุนเดินออกมาจากหุบเขา ไปยังส่วนลึกของภูเขา แม้ว่าผู้คนจากกลุ่มนักผจญภัยพยายามที่จะหลอกเขา เขาก็อยู่ในป้องกันของเขาและจะไม่กระทำอย่างซี้ซั้ว

 

ตอนนี้เขารู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นแล้วและเส้นทางก็ใกล้กับที่หยานซือเฟยพยายามที่จะได้เถาวัลย์จิตวิญญาณม่วงในปีนั้น ดังเซี่ยวหยุนจึงตัดสินใจที่จะไปมองหา ถ้ามันเป็นอันตรายจริง มันก็ไม่สายเกินไปที่เขาจะถอยกลับ ตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ เป็นเรื่องธรรมดาที่เซี่ยวหยุนจะไม่ต้องการปล่อยให้โอากาสในการแข็งแกร่งขึ้นหลุด

 

ภูเขาเมฆาม่วงล้อมรอบด้วยหมอกและโดยปกติบริเวณภายในปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง อย่างไรก็ตามขณะที่เซี่ยวหยุนเดินไปบริเวณภายในของภูเขา เขาพบว่าหมอกเริ่มที่จะกระจายไปและมีความผันผวนบางๆในอากาศ

 

“สามารถเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระราชวังมรกดผู้ฝึกตนโบราณกำลังจะเปิดออกแล้วจริงๆ?” เซี่ยวหยุนคิด หลังจากชำเลืองไปยังส่วนลึกของภูเขา เขาเริ่มเดินทางต่อไปด้วยความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ ด้วยแผนที่และจิตสำนึกที่น่าเหลือเชื่อของเขา เขาจะไม่ได้พบเจอกับอันตรายมากมาย

 

ในชั่วพริบตา สิบวันได้ผ่านไป

 

ในช่วงเวลานี้ เซี่ยวหยุนได้ค้นพบไฟต้นกำเนิดเล็กน้อยและใช้จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาดูดซับแก่นแท้ปราณแห่งไฟจำนวนมาก

 

หลังจากดูดซับแก่นแท้แห่งไฟจากไฟต้นกำเนิด 3 อัน ใบที่เหมือนกับไฟบนจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้สุกสว่างมายิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้ไม่ใช่เพียงมีหมอกสีแดงรอบๆใบ แต่ยังมีแม้กระทั่งหยดน้ำค้างคริสตัลใสหยดลงมา

 

การค้นพบนี้ทำให้เซี่ยวหยุนรู้สึกประหลาดใจมาก

 

น้ำค้างที่หยดลงมามีขนาดค่อนข้างเล็กและดูเหมือนหมอก แต่พวกมันแน่นอนว่าได้ควบแน่นเป็นหยด

 

ภายในพวกมัน เซี่ยวหยุนตรวจพบกลิ่นอายแห่งชีวิตที่หนาแน่นอย่างเหลือแสน

 

“น้ำค้างเหล่านี้ใช้สำหรับอะไร?” หลังจากอัศจรรย์ใจชั่วครู่หนึง เซี่ยวหยุนก็ได้ส่ายหัวของเขาและตัดสินใจที่จะทำการทดสอบบางอย่างหลังจากที่เขาได้รวบรวมแก่นแท้ปราณแห่งไฟบางส่วนมากขึ้นและควบแน่นน้ำค้างเพิ่มขึ้น

 

ในขณะที่จิตวิญญาณการต่อสู้แข็งแกร่งขึ้น การบ่มเพาะของเซี่ยวหยุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ในเวลาเพียง 10 วัน เขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้น ‘สมบูรณ์’ ระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกาย

 

“แก่นปราณที่นี่ยังคงเบาบางเกินไป เมื่อข้าเข้าถึงแก่นแท้ต้นกำเนิด แน่นอนว่าข้าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกายได้ ในความจริงข้าอาจจะแม้กระทั่งสามารถไปถึงขอบเขตต้นกำเนิดได้ ด้วยวิธีนี้ข้าจะบรรลุเป้าหลักของข้า” เซี่ยวหยุนกำมือของเขาเป็นกำปั้น ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองและความตั้งใจ

 

สองวันต่อมา เซี่ยวหยุนได้ผ่านไปยังยอดเขาอื่นและมาถึงภูเขาลำธารที่มีเมฆสีม่วง

 

“ด้านหน้าควรจะเป็นลำธารเมฆาม่วงที่พี่สาวซือเฟยกล่าวถึง ที่มีบึงพิษที่นั่นเช่นเดียวกับแมลงพิษจำนวนมาก” เซี่ยวหยุนยินอยู่บนเขาสกปรกขณะที่เขาส่งจิตสำนึกวิญญาณของเขาไปยังถูเขาลำธารที่ห้อมล้อมด้วยหมอกสีม่วง

 

“ทำไมไม่มีสัตว์อสูรมากมายอยู่ที่นั่น?” เซี่ยวหยุนพบอย่างกะทันหันว่า ที่นั่นไม่มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังจำนวนมากอยู่รอบๆเลย

 

รูม่านตาของเขาหดลงทันทีขณะที่เขาตระหนักว่า “บ้าเอ้ย อาจมีคนมาถึงที่นี่ก่อนและลองพยายามเอาเถาวัลย์จิตวิญญาณม่วง”

 

ขณะที่เขาพูดออกมาเสียงดังแบบนี้ เซี่ยวหยุนก็วิ่งไปข้างหน้าทันที

 

พี่สาวซือเฟยปฏิบัติกับเขาอย่างจริงใจมาก เขาจะสามารถให้คนอื่นเอาสมบัติที่นางต้องการไปได้อย่างไรกัน?

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด