Eternal Martial Sovereign ตอนที่ 19 – สังหารด้วยการโจมตีเดียว
Chapter 19 – สังหารด้วยการโจมตีเดียว
ภูเขาเมฆาม่วงล้อมรอบไปด้วยหมอกตลอดทั้งปีและบริเวณด้านในของภูเขาได้มีเปล่งแสงสีม่วงออกมา ซึ่งทำให้หมอกและเมฆปรากฏเป็นสีม่วง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดมันจึงได้รับชื่อนี้
ปัจจุบันเด็กหนุ่มกำลังหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และจ้องมองไปยังข้างหน้า ด้านหน้าของเขาได้มีพยัคฆ์จระเข้หุ้มเกราะยืนอยู่ ซึ่งมันอยู่ที่ระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกาย
แสงสีม่วงหมุนวนรอบมันเหมือนหมอกและได้มีกลิ่นอายหนาแน่นของแก่นแท้ชีวิตที่แผ่กระจายออกมา
พืชชนิดหาได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อและมันถูกเรียกว่าหญ้าจิตวิญญาณม่วง
“ด้วยหญ้าจิตวิญญาณม่วงนี้ พลังวิญญาณของข้าจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น” ดวงตาของเด็กหนุ่มถูกเผาไหม้ไปด้วยความปรารถนาขณะที่เขามองไปพยัคฆ์จระเข้หุ้มเกราะ มือของเขาจับไปยังกระบี่เหล็กดำที่หนักและยาวหนึ่งเมตรตรงเอวของเขา
เด็กหนุ่มคนนี้คือเซี่ยวหยุนนั่นเอง เขาได้เดินเขาไปยังส่วนลึกของภูเขาเมฆาม่วง
นี่ไม่ใช่พื้นที่ที่อยู่ข้างในสุดของภูเขาแต่ก็มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังหลายตัวอยู่รอบๆ
เซี่ยวหยุนได้ค้นพบหญ้าจิตวิญญาณม่วงนี้โดยอาศัยประสาทสัมผัสที่ทรงพลังของจิตวิญญาณ แต่นั่นก็ได้มีสัตว์อสูรพยัคฆ์จระเข้หุ้มเหราะคอยเฝ้าไว้อยู่
พยัคฆ์จระเข้หุ้มเกราะเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อและมันก็ดุร้ายผิดปกติ ถ้าเขาไม่ได้ฆ่ามันทันที เขาจะตกอยู่ในปัญหาเอง
อย่างไรก็ตามเซี่ยวหยุนก็อยู่แค่ระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกายเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเขาที่จะฆ่าสัตว์ตัวนี้ได้ในการโจมตีเดียว
เช่นนี้เขาเลยอดทนรอ
รังของพยัคฆ์จระเข้อยู่ที่นี่และมันก็จะไม่ได้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ
ในที่สุดค่ำคืนก็มาถึงและขณะที่ดวงจันทร์ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พยัคฆ์จระเข้นั่งลงบนหินก้องใหญ่และเริ่มดูดซับแก่นแท้ชีวิต
สัตว์อสูรไม่เหมือนกับสัตว์ธรรมดา พวกมันสามารถบ่มเพาะได้ตามธรรมชาติและสามารถดูดซับแก่นแท้ชีวิตตะวันจันทราได้ เพื่อให้ร่างกายของพวกมันสงบลงและทำให้เส้นลมปราณของพวกมันบริสุทธิ์
เผชิญหน้ากับท้องกับท้องฟ้าขณะที่เส้นใยแห่งแก่นแท้ชีวิตถูกดูดซับเข้าสู่ร่างของมัน
“สัตว์อสูรสามารถบ่มเพาะได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์” เซี่ยวหยุนรู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว – นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์อสูรดูดซับแก่นแท้ปราณ อย่างไรก็ตามแม้ว่าพยัคฆ์จระเข้ตัวนี้จะอยู่ในจุดสูงสุดระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกาย ความสามารถในการดูดซับแก่นแท้ปราณของมันด้อยกว่าเซี่ยวหยุนไปไกล
พยัคฆ์จระเข้มักจะกวาดสายตาคอยระมัดระวังไปรอบๆ บริเวณรอบตัว แต่ตอนนี้มันได้จมลงไปในการบ่มเพาะของมันเองเรียบร้อยแล้ว
“ได้เวลาลงมือแล้ว!” ดวงตาของเซี่ยวหยุนจ้องมองด้วยสมาธิขณะที่เขากระโจนออกมาเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้าย
หวด!
เด็กหนุ่มกำไปที่กระบี่ในมือของเขาขณะที่ส่งประกายแสงเย็นชาออกมาและพุ่งผ่านอากาศไปเหมอืนกับดาวตก และเจาะเข้าไปยังคอของพยัคฆ์จระเข้
ตาดำของพยัคฆ์จระเข้ได้หดตัวลงเผยให้เก็นแสงอันอำมหิต
วูซซ!
พยัคฆ์จระเข้แกว่งหางของมันซึ่งได้ฉีกผ่านอากาศไปและทำให้เกิดเสียงลมคำราม หางยาวของมันพุ่งไปยังเซี่ยวหยุนเหมือกับแซ่เหล็ก
หางของพยัคฆ์จระเข้ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่แหลมคมและภายใต้การระเบิดมาด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมด มันจะสามารถทำลายได้แม้แต่ก้อนหินที่ทนทาน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้หางของมันได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว กระบี่สีดำของเด็กหนุ่มก็ได้แทงไปทะลุเข้าไปยังคอหอยของมัน
Kacha!
เกราะของมันถูกแทงทะลุอย่างสมบูรณ์แบบและกระตูกของมันก็แตกหัก
ชิ!
ดวงตาของพยัคฆ์จระเข้เป็นสีแดงเลือดและดูเหมือนว่ามันต้องการจะต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งส่วนที่เหลือของมัน อย่างไรก็ตาม แก่นแทีชีวิตของมันได้เหือดหายไป ร่างกายของมันกลายเป็นอ่อนลงแล้วล้มลงไป
แขนขวาของเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวขณะที่เขาหยิบเอากระบี่ออกมา มันช่างน่าแปลกที่ไม่ได้มีเลือดไหลลงบนกระบี่เลย – เห็นได้ชัดว่านี่คือการโจมตีอย่างรวดเร็วของเขา
ชิ!
ขณะที่เลือดสดปะทุออกมาจากบาดแผล สุดท้ายพยัคฆ์จระเข้ก็ได้ตายไป
“หนึ่งการโจมตีเพื่อสังหารศัตรู – กระบี่นี้แน่นอนว่าได้เป็นไปตามคำกล่าวอ้าง” หลังจากเก็บกระบี่เหล็กดำไว้ เซี่ยวหยุนมองไปศพของพยัคฆ์จระเข้และเดินไปข้างหน้าขณะที่เขาถอนหญ้าจิตวิญญาณที่เรืองแสงสีม่วงด้วยความระมัดระวัง
หญ้าจิตวิญญาณเป็นสีม่วงโดยสมบูรณ์และเปล่งแสงสีม่วงสุกสกาวภายใต้แสงจันทร์ ซึ่งจะทำให้มันดูงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะที่เซี่ยวหยุนถือหญ้าจิตวิญญาณไว้ คลื่นที่หนาแน่นของแก่นแท้ชีวิตได้ฟุ้งกระจายออกมาจากมันทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน
หญ้าจิตวิญญาณนี้สามารถบำรุ่งจิตใจและวิญญาณได้และยังหาได้ยากอย่างไม่น่า โชคของเซี่ยวหยุนก็ไม่น่าเชื่อเช่นกันที่สามารถหามันได้หนึ่งหย่อมที่นี่
“ถ้าข้าปรับแต่งหญ้าจิตวิญญาณม่วงนี้ พลังวิญญาณของข้าแน่นอนว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก” ลักษณะของความสุขปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเซี่ยวหยุน เมื่อพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น ความเชี่ยวชาญในบทการทำลายจิตวิญญาณของทักษะกลืนกินสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หลังจากได้รับหญ้าจิตวิญญาณม่วงแล้ว เซี่ยวหยุนกระจายประสาทสัมผัสออกไปและหลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีสัตว์อสูรอยู่ใกล้ๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนหิน เขาเริ่มหมุนเวียนทักษะกลืนกินสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขณะที่กระแสน้ำวนสีดำปรากฏขึ้นภายในตันเถียนของเขา
บุซ!
ขณะที่กระแสน้ำวนปรากฎขึ้น หญ้งจิตวิญญาณม่วงก็เริ่มถูกดูดซับและเริ่มถูกกลั่น
เซี่ยวหยุนได้หมุนเวียนทักษะกลืนกินสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นำทางแก่นแท้ชีวิตหญ้าจิตวิญญาณม่วงไปยังทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาและเรื่มดูดซับมันด้วยจิตใจของเขาอย่างช้าๆ
เมื่อเวลาได้ผ่าน เซี่ยวหยุนรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังรู้สึกถึงประสาทสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของเขากำลังเป็นรูปธรรมขึ้นและกำลังจะมีรูปร่าง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มยังคงกลั่นหญ้าจิตวิญญาณม่วง เขาพึ่งเริ่มบ่มเพาะทักษะกลืนกินสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และมันยังไม่สามารถดูดซับหญ้าจิตวิญญาณม่วงที่ยังสดใหม่อยู่ได้อย่างสมบูรณ์ในทันที กระบวนการนั้นช้าและค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
มิฉะนั้น การพุ่งมาของแก่นแท้ชีวิตที่ทรงพลังมันมากเกินไปสำหรับวิญญาณของเซี่ยวหยุนจะจัดการได้
เมื่อดวงอาทิตย์สูงขึ้นอีก กลุ่มคนได้วิ่งผ่านป่า
“บ้าเอ้ย ทำไมพวกสัตว์อสูรขอบเขตต้นกำเนิดเริ่มวิ่งไปทั่วเขตนอกของภูเขาเมฆาม่วงกัน? พวกเราเกือบตายที่นั่นแล้ว
“ตำนานบอกไว้ว่าภูเขาเมฆาม่วงเป็นพระราชวังที่สืบทอดของผู้ฝึกตนโบราณ มันควรจะเกี่ยวข้องกัน” การปรากฏตัวของคนเหล่านี้มาพร้อมกับคำสาปแช่งหยาบคาย มีบุรุษเจ็ดคนสวมใส่ชุดคล้ายๆกัน ปรากฏขึ้นใกล้หุบเขา
“พระราชวังที่สืบทอดของผู้ฝึกตนโบราณ?” ดวงตาของบุรุษบางคนสว่างขึ้น
“อย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ เรายังอ่อนแอเกินไปและถึงแม้ว่าจะมีสมบัติใดๆภายในนั้น แต่พวกมันทั้งหมดถูกกำหนัดให้ถูกครอบครองโดยเซียนที่ทรงพลัง มันจะดีที่สุดที่เราจะอยู่เขตนอกและรอหัวหน้ากับคนอื่น ถ้าเราซี้ซั้วเข้าไปในบริเวณด้านในของภูเขา เราอาจจะไม่ได้รู้แม้กระทั่งว่าเราตายได้ยังไง”
ชายหนุ่มถอยหายใจและหยุดความคิดนี้
“ข้าเหนื่อยมากหลังวิ่งมา 2 วัน 1 คืน ข้าว่าเราควรจะหาอะไรกินกัน” หนึ่งในบุรุษในชุดมอมแมมที่ปกคลุมไปด้วยคราบเลือดบ่น เขามองรอบตัวเขา หวังว่าจะพบสัตว์เพื่อฆ่าและกิน
คนอื่นๆก็ยังอยู่ในสถานะน่าสลดใจ หนึ่งในพวกเขามีแผลตัดลึกที่เลือดไหลออกมา ซึ่งมันทำให้มองเห็นกระดูกของเขาได้ทั้งหมด
“อ่า มีคนอยู่ที่นั่น”
“นั้นคือศพของสัตว์อสูรพยัคฆ์จระเข้”
“ฮ่าฮ่า สัตว์อสูรสามารถบำรุงร่างกายได้อย่างมหาศาล เราสามารถใช้มันเพื่อช่วยเราฟื้นตัวได้” ขณะที่พวกบุรุษเดินมา พวกเขาก็เข้ามาใกล้หน้าผาของหุบเขาและเห็นศพของพยัคฆ์จระเข้ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มที่ปิดดวงตาของเขา
“นั้นดูเหมือนกระบี่ที่ดี มันควรจะเป็นกระบี่เหล็กดำ มันนั้นคมอย่างไม่น่าเชื่อและสามารถแทงผ่านเกราะของพวกสัตว์อสูรได้”
“นั้นสัตว์อสูรพยัคฆ์จระเข้ที่ตายจากการถูกแทงที่ลำคอในการโจมตีเดียว มันเป็นกระบี่ที่ดี! แน่นอนว่ามันต้องเป็นสมบัติที่ล้ำค่า!” ดวงตาของพวกบุรุษเปล่งปลังขณะที่พวกเขามองไปยังกระบี่เหล็กดำที่อยู่บนเอวของเด็กหนุ่ม สายตาของพวกเขาลุกเป็นไฟด้วยความปรารถนา
ถ้าพวกเขามีกระบี่เมื่อวันก่อน พวกเขาจะไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้!
พวกบุรุษมองกันไปมาและวิ่งไปยังเด็กหนุ่ม
คนเหล่านี้ค่อนข้างฝีมือและแยกกันอย่างระมัดระวังขณะที่พวกเขาล้อมรอบเขา พวกเขาเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ – ถึงแม้ว่าเขามีทักษะอันเหลือเชื่อ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหนี้ หลังจากที่พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเซียนขอบเขตต้นกำเนิดจากเขา
“โจมตี!”
หลังจากคืบคลานไปห่างจากเด็กหนุ่มประมาณ 3 เมตร ดวงตาของคนที่มีแผลเป็นบนหน้าได้รวมสมาธิขณะที่เขาตะโกนออกมา
เมื่อได้ยิน บุรุษคนอื่นก็เตรียมพร้อมโจมตีกะทันหัน
ในขณะนี้เด็กหนุ่มผู้ที่นั่งลงพร้อมกับปิดตา ได้ลืมตาขึ้นทันที
“เจ้าต้องการอะไร?” การจ้องมองของเซี่ยวหยุนเหมือนใบมีดที่แหลมคมขณะที่เขามองไปรอบๆตัวเขาและพูดขึ้นมา เสียงของเขาทำให้เกิดเสียงเหมือนกับสายฟ้า ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน วิญญาณของบุรุษทั้งเจ็ดที่กำลังจะโจมตีนั้นก็สั่น และพวกเขาล่าถอยอย่างช่วยไม่ได้
“เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิด?” พวกบุรุษเร่งล่าถอยด้วยความตกใจที่ลึกลงไปในดวงตาของพวกเขา แรงกดดันอย่างไม่น่าเชื่อบนวิญญาณของพวกเขาและพวกเขาก็รู้สึกพังทลาย พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนหินด้วยความตกใจ
เซี่ยวหยุนมองไปรอบๆด้วยสายตาเย็นชา เขาได้สังเกตุเห็นคนเหล่านี้เข้าใกล้เขามานานแล้ว แต่เนื่องจากเขาอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่เรียนรู้บททำลายจิตวิญญาณอยู่ เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตนเองวอกแวกได้ มันเกือบจะทำให้พวกเขาโจมตีเขาในท้ายที่สุด
พลังวิญญาณของเซี่ยวหยุนตอนนี้ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อและเกือบจะมีรูปร่างแล้ว
“เขาแค่อยู่ในขอบเขตหลอมร่างกายเท่านั้น เขาอาจจะใช้ทักษะคลื่นเสียงเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อวิญญาณพวกเรา” บุรุษหน้าแผลเป็นกล่าวด้วยการแสดงที่อำมหิต “ใจเย็นลงแล้วก็ฆ่าเขาซะ เขาก็แค่เด็กสารเลวทำไมเราต้องกลัวเขาด้วย?”
“ฆ่า!” การมองคนอื่นอีกหกคนได้กลายเป็นร้ายแรงขณะที่พวกเขาเห็นด้วย
ขณะที่พวกเขาตะโกนออกมา บุรุษทั้งเจ็ดก็ได้โจมตีเซี่ยวหยุนพร้อมกัน
บางคนได้กวัดแหว่งขวานขนาดเล็กและคนอื่นก็ใช้ตรัศูล พวกเขาทั้งหมดโจมตีอย่างดุเดือด ตั้งใจจะเอาชีวิตเซี่ยวหยุน
“เพราะมันเป็นเช่นนั้นแล้ว แล้วก็จงรับการโจมตีของข้าไป!” ดวงตาของเซี่ยวหยุนเริ่มรุนแรงขึ้น
วูซซ!
เซี่ยวหยุนโดดสูงไปหลายเมตรในอากาศ เหมือนกับนกอินทรีที่แผ่ขยายปีกของมันขณะที่มือขวาของเขาจับไปยังกระบี่ที่อยู่ตรงเอวของเขา
ชวิ้ง!
กระบี่เคลื่อนไหวโค้งงอขณะที่มันแทงไปยังบุรุษหน้าแผลเป็น
“ฮ่าฮ่า เจ้าก็แค่ระดับ 8 ขั้นหลอมร่างกายเท่านั้นและเจ้ายังต่อการจะต่อสู้กับพวกข้า?” บุรุษหน้าแผลเป็นหัวเราะด้วยความเย็นชา ขึ้นอยู่กับลมที่มาพร้อมกับกระบี่ เขาสามารถล่างรู้ถึงการบ่มเพาะของเซี่ยวหยุนได้ ในฐานะที่เป็นเซียนผู้อยู่ในระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกาย เขารู้ว่าเซี่ยวหยุนไม่มีโอกาสต่อต้านเขาได้
หลังจากทำเสียงต่ำเย็นชา ขวานของบุรุษหน้าแผลเป็นได้ตัดผ่านอากาศ เฉือนไปยังกระบี่
ขวานได้ทำให้เกินกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ ทำให้อากาศรอบๆ กระเพื่อม ราวกับมีคลื่นกระแทกมาพร้อมกับมัน
แรงกายของเซียนระดับ 9 ขั้นหลอมร่างกายนั้นได้ห่างไกลเกินกว่าของเซี่ยวหยุน
อย่างไรก็ตามหลังขวานไปถึงเซี่ยวหยุน แสงกระบี่ได้โจมตีและฟันขึ้นไปข้างบนข้อมือของบุรุษหน้าแผลเป็น
“อ๊ากกกก!”
ขณะที่เราร้องออกมาด้วยเจ็บปวด บุรุษหน้าแผลเป็นได้พบข้อมือของเขาได้ถูกตัดไปแล้ว และขวานของเขาก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วงบนพื้น
“ความเร็วอะไรกัน!” บุรุษคนอื่นอ้าปากค้างด้วยความตกใจ การโจมตีจากกระบี่ของเด็กหนุ่มคนนี้ถือได้ว่าเร็วเกินไป
ในขณะนี้ ร่างของเซี่ยวได้ตกลงไปที่พื้น แล้วเขาก็ได้ฟันออกไปยังลำคอของบุรุษหน้าแผลเป็น
แสงกระบี่เปล่งประกายขึ้นขณะที่ดวงตาของบุรุษหน้าแผลเป็นเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจและกลัวภายในตัวเขา
ภายใต้แสงกระบี่ เขารู้สึกหนาวเย็นและรู้สึกได้ถึงความตายที่กระชั้นชิดเข้ามา
แสงกระบี่ได้หายไปและได้มีเสาของเลือดพุ่งออกมา
ร่างกายของเด็กหนุ่มนั้นปราดเปรียวและว่องไวมาก จึงหลบไปที่ด้านข้าง ทำให้เลือดสาดกระเซ็นบนร่างของบุรุษคนอื่น
ครัช!
บุรุษรอยแผลเป็นได้ตกมายังพื้นแล้วตายไป
ในขณะเดียวกัน บุรุษอื่นอีกหกคนก็ได้เปิดเผยความกลัวออกมาและพวกเขายืนนิ่งราวกับพวกเขาถูกยึดติดอยู่บนพื้น ภายในหุบเขา หัวใจของพวกเขาได้ส่งเสียงดังเหมือนเสียงกลอง