ส่งจอมยุทธไปต่างโลก ตอนที่ 7 การมาถึงของกลุ่มจอมเวท
ตอนที่ 7
การมาถึงของกลุ่มจอมเวท
“ลูเซียส” เสียงเรียกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของเด็กสาวในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ เด็กสาวที่กำลังเดินเข้ามาหาลูเซียสที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำเป็นเด็กสาวอายุ 14 ปี เป็นเด็กสาววัยแรกแย้มที่ร่างกายกำลังเติบโต แม้ร่างกายจะพึ่งเริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งขึ้นมาบางแล้ว แต่ก็ยังไม่ผลิบานเต็มที่ราวกับดอกกุหลาบที่พึ่งผลิบานเพียงเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะไม่ได้สวยงามจนเหล่าชายหนุ่มต้องมองตาค้าง แต่ก็มีความน่ารักแบบหญิงสาวผู้ร่าเริงอยู่
“มีอะไรเหรอโรส” ลูเซียสถามพลางหันหน้ามามองทางหญิงสาว บัดนี้ร่างของเด็กชายวัย 7ปีกลายเป็นเด็กหนุ่มวัย 14 ไปแล้ว ตั่งแต่เหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อนลูเซียสก็สามารถฝึกฝนอย่างเปิดเผยได้โดยไม่ต้องปิดบังโดยมีปู่แกรนรับหน้าว่าเป็นคนฝึกสอนให้ ถึงแม้ตอนนี้ลูเซียสจะมีฝีมือสูงกว่าปู่แกรนไปแล้วหลายเท่าก็ตาม
“พี่เอลลี่ให้มาตามน่ะ พี่เขาบอกว่ามีอะไรน่าสนใจให้ดูด้วย”โรสยิ้มหวานพลางมองร่างของเพื่อนชายด้วยสายตานับถือ รอบๆร่างกายของลูเซียสนั้นมีสายน้ำรูปร่างคล้ายงูตัวยาวๆกำลังแหวกว่ายอยู่ในอากาศข้างกายลูเซียส นี่เป็นการฝึกเวทมนตร์ที่ลูเซียสทำมาตลอด 7 ปี ถึงแม้ลูเซียสจะบอกว่าเขาสร้างงูพวกนี้เลียนแบบมังกรก็เถอะ แต่โรสก็ดูยังไงมันก็เหมือนงูมากกว่า เพราะมังกรในโลกใบนี้นั้นมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่ามีปีกไม่มีสายพันธุ์แบบตัวยาวอย่างที่ลูเซียสทำขึ้นมา
“งั้นขออีกรอบนะ” ลูเซียสพูดจบก็สั่งให้งู (มังกร) น้ำบินมาที่รอบแขนของตัวเอง เขายกแขนขึ้นร่ายรำท่าทางแลกๆที่โรสไม่เข้าใจว่ามันคือท่าอะไร
ตูม! มังกรน้ำพุ่งตัวไปข้างหน้ากระแทกเข้ากับโขดหินจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาโรสหลับตาปี๋
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”ลูเซียสมองเห็นเด็กสาวหลับตาปี๋ก็แอบหัวเราะในลำคอ ก่อนจะชวนหญิงสาวให้เดินทางกลับหมู่บ้าน
เหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อนจบลงด้วยผลสรุปว่าในป่าแถวที่ลูเซียสเจอกับเนเน่ถูกสัตว์อสูรน้ำแข็งเข้าจู่โจม ทำให้นักผจญภัยที่มาตรวจสอบถึงกับหนาวสันหลังวาบไปตามๆกัน ยิ่งเห็นคริสตัลเวทมนตร์ของหมียักษ์ท้องขาวตัวแม่ที่ถูกทิ้งไว้กลางป่าเหล่านักผจญภัยก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นฝีมือของสัตว์อสูรด้วยกันเพราะหากเป็นฝีมือมนุษย์จะต้องเก็บเอาคริสตัลเวทมนตร์ไปด้วยแล้ว จนเมื่อนักผจญภัยค้นหาจนทั่วป่าก็ได้ผลสรุปว่าสัตว์อสูรที่ก่อเรื่องได้จากไปแล้วทำให้คนในหมู่บ้านโล่งใจเป็นการณ์ใหญ่ เพียงแต่คนในหมู่บ้านต่างก็แอบบ่นไม่ได้ที่นักผจญภัยเป็นคนยึดเอาคริสตัลเวทมนตร์ของหมียักษ์ท้องขาวตัวแม่ไป ฟังจากที่ปู่แกรนบอก คริสตัลเวทมนตร์ขายได้ราคาดีมาก แค่ก้อนที่ลูเซียสมีก็สามารถซื้อของมาเลี้ยงคนในหมู่บ้านได้หลายเดือนแล้ว แต่พอลูเซียสยกคริสตัลเวทมนตร์ให้ คนในหมู่บ้านกลับไม่มีใครรับเลยสักคน แล้วบอกว่าหมู่บ้านของพวกเราไม่ได้ขัดสนขนาดนั้น อาการก็มีเหลือเฟือเพราะกว่าครึ่งของหมู่บ้านก็ทำการเกษตรเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้อย่างเหลือเฟือ ส่วนเรื่องบ้านที่พังไปทุกคนก็ยินดีช่วยกันซ่อมเพราะไม้สามารถหาได้อยู่แล้ว แถมพ่อของดีนยังยินดีทำตะปูและเครื่องมือต่างๆให้อีกด้วย ถือเป็นการฉลองที่ทุกคนในหมู่บ้านสามารถผ่านเคราะห์กรรมมาได้นั่นเอง
ส่วนสำหรับเด็กๆในหมู่บ้าน คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ ดีน ตั่งแต่เขาเห็นลูเซียสปรายหมีนักษ์ท้องขาวลงได้ เขาก็ขอร้องให้ปู่แกรนฝึกฝนให้กับตนเองบ้าง ซึ่งปู่แกรนก็รับเขามาสอนอย่างง่ายดาย เพราะตอนที่เขาโดนโจมตีเขาก็สำนึกได้ว่าหากตัวเขาพราดไปหรือแม้แต่แก่ตายไปเองก็จะไม่มีคนปกป้องหมู่บ้านได้เลย เขาจึงคิดที่จะปั้นคนรุ่นใหม่คอยคุ้มกันหมู่บ้าน ซึ่งดินก็มาเสนอตัวพอดี แต่โชคร้ายที่ดินไม่มีพลังเวท ทำให้เขาทำได้แค่ฝึกวิชาต่อสู้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้เวทเสริมพลังได้
ส่วนอีกคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็คือ โรส เธอมักจะตามติดลูเซียสเสมอตั่งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน ตัวลูเซียสคิดว่าเธอคงสำนึกบุญคุณของเขาที่ช่วยเธอเอาไว้เขาเลยไม่ได้ว่าอะไร เพราะอย่างไรกลุ่มของเด็กๆก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว ถึงจะมีคนในหมู่บ้านแซวเขาบ้างก็เถอะ แต่เขาก็ยังยืนยันกับทุกคนว่าโรสแค่รู้สึกขอบคุณเขาเท่านั้นเอง
“ลูเซียสๆ มาเร็วเข้า”เมื่อเดินกลับมาถึงหมู่บ้านเอลลี่ที่รอพวกเขาอยู่ก็โบกมือเรียกอย่างร้อนรน ดูท่าคราวนี้แอลลี่จะไม่ได้โม้เสียแล้วเพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านยังพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านกันหมด
“พวกเขามาทำอะไรกัน...”เมื่อลูเซียสเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน สิ่งที่เขาเห็นก็คือร่างของชายและหญิงกลุ่มใหญ่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าหมู่บ้าน พวกเขายืนห่างจากหมู่บ้านราวๆกิโลหว่า ทำให้พอมองเห็นได้จากระยะไกล
“พวกเขามาทำไมนะหัวหน้า”ขณะลูเซียสกำลังสงสัยอยู่นั้น หน้าประตูหมู่บ้านก็ปรากฏร่างของหัวหน้าหมู่บ้านที่พึ่งเดินกลับมาจากการไปสอบถามกลุ่มคนเหล่านั้น
“พวกเขาเป็นจอมเวทจากเมืองหลวง เห็นเขาบอกว่าพวกเขามาทำถนนน่ะ”พอได้ยินคำตอบของหัวหน้าหมู่บ้านชาวบ้านทุกคนต่างก็มีสีหน้างุนงงเช่นเดียวกันหมดไม่เว้นแม้แต่ลูเซียส
“ทำถนนงั้นเหรอ”ลูเซียสพึมพำพลางเพ่งมองไปยังกลุ่มของคนมาใหม่ เขารวบรวมพลังเวทไว้ที่ดวงตาทำให้สามารถมองเห็นได้ไกลขึ้นจนกระทั่งสามารถมองเห็นสิ่งที่กลุ่มจอมเวทกำลังทำได้ พวกเขากำลังโรยผงสีขาวลงบนพื้นวาดเป็นรูปวงกลม หลังจากนั้นพวกเขาก็วาดอักขระและรูปดาวลงไปในวงกลมด้วยผงสีขาวในถุง ทันทีที่พวกเขาวาดเสร็จคนทั้งกลุ่มก็เดินมาล้อมเป็นวงกลมแล้วเริ่มใช้พลังเวททำอะไรบางอย่าง
วินาทีต่อมาวงแหวนเวทที่พวกเขาสร้างขึ้นก็เรืองแสงสีน้ำตาลขึ้นมา แล้วพื้นรอบๆก็เกิดการขยับขึ้นลงอย่างแปลกประหลาด จนกระทั่งพื้นดินที่มีแต่หินและดินจะกลายเป็นพื้นเรียบๆราวกับแผ่นแป้งก็ไม่ปาน ถึงชาวบ้านจะยังงุนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูเซียสที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแทบอดชื่นชมพวกเขาออกมาไม่ไหว ชาติก่อนในโลกของเขาก็มีการตัดถนนเช่นกัน แต่ก็แค่ถอนต้นไม้ถอนหญ้ายกก้อนหินออกแล้วปูด้วยดินแล้วกรบให้เรียบเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าคนในโลกนี้จะใช้เวทมนตร์ในการถมถนนแบบนี้ หากถนนทั้งเส้นเรียบเนียนแบบนั้นละก็ต่อให้เป็นรถม้าผุๆก็สามารถวิ่งได้อย่างนุ่มนวลแน่นอน
“ผมขอไปดูได้ไหมครับ”ลูเซียสถามหัวหน้าหมู่บ้านพลางมองกลุ่มจอมเวทด้วยดวงตาที่ส่องประกาย คนในหมู่บ้านเห็นลูเซียสมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเด็กหนุ่มอายุ 14 มีหรือจะไม่เข้าใจว่าพอลูเซียสมีท่าทีสนใจขนาดนี้แล้วเขาจะยอมอยู่เฉยๆตามคำสั่ง ถึงจะห้ามไปเขาก็จะแอบออกไปอยู่ดี หัวหน้าหมู่บ้านจึงพยักหน้าเป็นการอณุยาติเพราะจอมเวทเหล่านั้นก็เป็นคนของเมืองหลวง พวกเขาไม่ใช่คนอันตรายแน่นอน
เมื่อได้รับคำอณุญาติจากหัวหน้าหมู่บ้าน ลูเซียสก็วิ่งออกไปทันที ทำเอาระยะทาง 1 กิโลเมตรหมดไปในพริบตาทำเอาคนในหมู่บ้านได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
สิ่งแรกที่ลูเซียสเห็นหลังจากวิ่งเข้ามาใกล้กลุ่มจอมเวทคือผลงานของพวกเขา ด้านหลังพวกเขานั้นมีถนนที่ถูกตัดอย่างสวยงามเช่นเดียวกับพื้นที่พวกเขาพึ่งทำเสร็จไปเมื่อครู่ ตลอดทั้งเส้นของถนนดูเนียนราวกับผืนทรายที่ถูกคลื่นกวาดเสียเรียบสนิท ถนนกว้างกว่า 15 เมตรสามารถนำรถม้าบรรทุกของมาวิ่งในแนวระนาบได้ถึง 5 คันเลยทีเดียว
“เจ้าหนู มาทำอะไรละ”เมื่อเห็นลูเซียสวิ่งมาจอมเวทคนหนึ่งในชุดคลุมก็หันมาถาม
“ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ”ลูเซียสพูดพลางมองไปยังถนนตรงหน้า
“ถ้าจะดูถนนเฉยๆน่ะได้ แต่ถ้าจะดูตอนพวกเราสร้างก็รอหน่อยนะ พวกเราต้องพักให้พลังเวทฟื้นก่อน”ชายหนุ่มว่าพลางเดินไปนั่งที่ต้นไม้ข้างๆ
ส่วนทางลูเซียสนั้นพอได้รับอณุยาติก็เดินไปเหยียบบนถนนทันที แม้ภายนอกจะดูระเอียดราวผืนทราย แต่เมื่อเหยียบแล้วกลับแข็งราวกับหิน ด้วยความแข็งขนาดนี้ต่อให้เป็นช้าง ไม่สิต่อให้เป็นหมียักษ์ท้องขาวก็เหยียบไม่แตก
ตุบ! ลูเซียสลองกระทืบเท้าใส่พื้นดูเพื่อตรวจสอบภายใน เมื่อเขาสัมผัสแรงที่สะท้อนกลับมาก็พบว่านอกจากพื้นผิวที่อยู่บนดินแล้วลึกลงไปอีก 5 เมตรก็เป็นแผ่นหินแผ่นเดียวทั้งหมด นี่มันเป็นหินทั้งก้อนไปตลอดทั้งถนนเลยนี่นา หากงัดมันขึ้นมาหินก้อนหนึ่งสูงกว่าบ้านของคนในหมู่บ้านเสียอีก
“ยอดเลย”ลูเซียสอดชื่นชมไม่ได้ นอกจากจะได้รู้การใช้เวทมนตร์ที่แสนมีประโยชน์นี้แล้วยังอดชื่นชมข้าราชการของเมืองหลวงไม่ได้ การคิดใช้เวทมนตร์ทำถนนไม่ว่าใครก็คงคิดได้ แต่ข้าราชการที่ยอมออกทุนเพื่อให้เหล่าจอมเวทเดินทางมาสร้างถนนยาวถึงหมู่บ้านกลางป่าแบบหมู่บ้านรีฟแบบนี้ต้องเป็นคนที่เห็นอกเห็นในราชดรอย่างแน่นอน
“ยอดใช่ไหมละ อีกหน่อยหมู่บ้านของพวกเธอก็จะมีถนนใช้ หลังจากนั้นก็มีพ่อค้ามามากขึ้น หมู่บ้านก็จะเจริญขึ้นไงละ”ชายหนุ่มที่ทักลูเซียสในตอนแรกพูดพลางยิ้มอย่างผ่อนคลาย
“แล้วที่วาดบนพื้นนั่นคืออะไรเหรอครับ”ลูเซียสถามพลางชี้ไปที่ผืนดินอันล่าสุดที่พวกจอมเวทพึ่งปรับปรุงเสร็จไป มันยังมีรอยสีขาวที่พวกนักเวทวาดเอาไว้อยู่
“มันเรียกว่าวงแหวนเวทน่ะ”จอมเวทหนุ่มพูดพลางชี้ไปที่อักขระบนพื้น
“แล้วมันต่างจากใช้เวทมนตร์ปกติยังไงเหรอครับ”ลูเซียสขมวดคิ้วพลางถามงงๆ ในหนังสือที่เขาได้มาไม่ได้ระบุเรื่องวงแหวนเวทเอาไว้ แต่ก็มีภาพของมันอยู่ในภาพประกอบบางหน้า
“อืม... การใช้เวทมนตร์แบ่งเป็น 2 วิธี 1 คือ เวิร์ด หรือคาถาที่ร่ายออกมาตอนใช้เวทมนตร์ ซึ่งบทร่ายจะเป็นตัวกำหนดเวทมนตร์ที่จะใช้และขั้นตอนการใช้ ส่วนอีกวิธีคือ วงแหวนเวท ซึ่งวิธีนี้จะใช้ในกรณีที่เวทมนตร์ซับซ้อนหรือใช้จำนวนคนมากๆ อย่างเช่นเวทมนตร์ที่ใช้ในการสร้างพื้นถนนนี่”พูดจบจอมเวทหนุ่มก็ชี้ไปที่วงแหวนเวทของตน
“เพราะการทำหินก้อนใหญ่ขนาดนี้จำเป็นต้องใช้พลังเวทมากเพราะมันควบคุมยากกว่าการเรียกรวมดินอย่างเดียว ทำให้พวกเราใช้วงแหวนเวทเป็นการรวมพลังของพวกเราทุกคนเข้าด้วยกัน แล้วใช้พลังเวทนั้นกับกระบวนการทำงานเดียวกันผ่านวงแหวนเวท เห็นตรงนี้ไหม อักขระพวกนี้จะเป็นตัวสั่งพลังเวทว่าต้องทำงานอะไรบ้างแทนจินตนาการของเรา จึงไม่มีปัญหาเรื่องจินตนาการไม่ตรงกัน”จอมเวทหนุ่มอธิบายเสร็จจอมเวทสาวอีกคนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ลุกขึ้นมาดึงร่างของจอมเวทหนุ่มจนแทบล้ม
“พี่อธิบายแบบนั้นเด็กไม่เข้าใจหรอกน่า”จอมเวทสาวว่าพลางเท้าเอวราวกับไม่พอใจ
“นะ นั่นสิ พี่ก็ลืมไป”จอมเวทหนุ่มตอบพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ
“ไม่หรอกผมเข้าใจ”ลูเซียสตอบพลางยิ้มกว้าง
“หือเข้าใจเหรอ เข้าใจว่ายังไงเอ่ยหนุ่มน้อย”จอมเวทสาวถามพลางยิ้มตอบเด็กชาย วงเวทพวกนี้พวกเธอต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะจดจำได้หมด อย่าว่าแต่หลักการใช้งานเลยแค่จำอักขระให้ได้ก็ทำเอาพวกเธอแทบร้องให้แล้ว
“ก็ วงเวทนี่ ทำงานเป็นเหมือนชุดคำสั่งสินะครับ เริ่มจากอักขระตรงกลางที่เขียนไว้ว่า ดิน นั่นคงเป็นตัวกำหนดว่าวงแหวนเวทนี้ทำงานเป็นธาตุดิน ส่วนอักขระบริเวณรอบดาว 6 แฉกเป็นชุดคำสั่งหลัก ไล่จากเหนือลงมาตามเข็มนาฬิกาเป็นคำสั่ง แยกองค์ประกอบ ระบุสสาร รวบรวม หลอมลาย ยืดติด และขัดเรียบ”ลูเซียสพูดพลางชี้ไล่ตัวอักษรไปทีละตัว อักขระของวงแหวนเวทเป็นอักษรโบราณที่น้อยคนจะตีความได้ แต่ด้วยความสามารถเรียนรู้ภาษาที่ได้มามีมาแต่เกิดทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจภาษาได้ทุกภาษาในโลกใบนี้ไม่เว้นแม้แต่ภาษาโบราณที่ไม่มีใครใช้กันแล้ว ส่วนการวางรูปแบบ ขอแค่เรียนรู้วิธีสร้างค่ายกลต่างๆของโลกเก่าก็คาดเดาวิธีจัดเรียงของวงแหวนเวทได้ไม่ยาก
“.....”พอได้ยินเด็กชายวัย 14 ที่อ่อนกว่าพวกตนเกิน 10 ปีอธิบายอักขระราวกับเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาว่าด้วยวงแหวนเวทมนตร์ เหล่าจอมเวทที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็ลุกขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ
“นี่เธอ อ่านวงแหวนเวทออกด้วยงั้นเหรอ”จอมเวทหนุ่มถามพลางมองลูเซียสอึ้งๆ ถึงพวกเขาจะใช้วงแหวนเวทได้ แต่ก็เป็นวงแหวนเวทที่คนอื่นคิดค้นขึ้น พวกเขาเพียงแค่ลอกแบบและใส่พลังเวทเข้าไปเท่านั้น อย่าว่าแต่ระบุว่าวงแหวนเวทวงนี้ทำงานด้วยคำสั่งใดเลย แค่อักขระตรงกลางมีความหมายว่า ดิน พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“ครับ”ลูเซียสตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสาเช่นที่เคนทำมา
“นะ นี่หนุ่มน้อย เธอใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่า”จอมเวทสาวถาม พลางสะกิดไหล่เด็กชายเบาๆ
“ก็ ได้อยู่หรอกครับ แต่ก็ใช้ได้ไม่มาก”ลูเซียสไม่ได้โกหกเพราะเขาไม่รู้ว่าเวทมนตร์ในโลกนี้มีกี่แบบและที่ตนเรียนไปนั้นเป็นเวทมนตร์ชนิดไหนเยอะเท่าไหร่หรือแข็งแกร่งเพียงไดด้วย
“แล้วระดับพลังเวทละ อยู่ที่ขั้นเท่าไหร่”จอมเวทสามถามอีกคำถาม แต่คราวนี้ลูเซียสกลับเป็นฝ่ายงงเสียเอง
“ระดับพลังเวท?”ลูเซียสพูดพลางขมวดคิ้ว
“นี่เธอไม่เคยวัดระดับงั้นเหรอ... อ๋อจริงสิหมู่บ้านแถวนี้ไม่มีเครื่องวัดพลังเวทนี่นา”จอมเวทสาวถาม แต่ก็นึกได้ว่าลูเซียสเป็นเด็กในหมู่บ้านเล็กๆจะไปมีเครื่องวัดพลังเวทได้อย่างไร เครื่องวัดพลังเวทที่เธอพูดถึงเป็นเครื่องมือที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยจอมเวทคนหนึ่งในอดีต เป็นเครื่องที่ระบุความเข้มข้นของพลังเวทในร่างกายและตีค่าออกมาเป็นตัวเลข โดยจะแบ่งออกเป็น 1 – 99 โดย 1 เป็นพลังเวทของคนทั่วไปที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ จนถึง 99 ที่เป็นพลังเวทของสิ่งมีชีวิตในตำนานหรือเทพพระเจ้าซึ่งไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
“เฮ้วิลล์ยืมเครื่องวัดพลังเวทของนายหน่อย”พอจอมเวทหนุ่มพูด ชายที่ชื่อวิลล์ก็โยนแผ่นคริสตัลมาให้ มันเป็นคริสตัลสีเขียวเข้มโปร่งใสจนมองทะลุได้ มีขนาดพอๆกับด้ามจับของดาบแต่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนาราวๆ 1 เซ็น
“เดี๋ยวเธอลองถือเครื่องวัดไว้นะ แล้วรวบรวมพลังเวทมาที่มัน”จอมเวทหนุ่มพูดจบลูเซียสก็ทำตามทันที เขาสั่งให้พลังเวทในร่างกายไปรวมที่ฝ่ามือ ก่อนจะส่งมันผ่านฝ่ามือไปที่คริสตัล
“ไหนๆ”จอมเวทสาวโน้มหน้าเข้ามาดูที่มือของลูเซียส
“.....”หลังจากเห็นตัวเลขที่แสดงออกมาในคริสตัลของลูเซียสใบหน้าของจอมเวทสาวนิ่งค้างราวกับโดนหยุดเวลาเอาไว้
“27!!”จอมเวทหนุ่มที่เดินเข้ามาดูบ้างอุทานออกมาเสียงดัง เล่นเอาจอมเวทคนอื่นๆต่างเดินมาดูกันเป็นแถบ
“ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้”
“วิลล์เครื่องวัดนายเสียแน่ๆเลย เดี๋ยวเอาของฉันไป”จอมเวทอีกคนว่าพลางส่งคริสตัลวัดพลังเวทให้ลูเซียส
“27 จริงๆด้วย”จอมเวทสาวอุทานหลังจากลูเซียสลองใส่พลังเวทอีกครั้ง
“ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้ เด็กตัวแค่นี้พลังเวท 27 เชียวเหรอ”จอมเวทหนุ่มคิดพลางมองทางลูเซียส แต่พอเห็นเด็กหนุ่มมองมาทางพวกเขาด้วยท่าทีงงๆจอมเวทหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“คือแบนี้นะ เครื่องวัดพลังเวทจะแบ่งระดับพลังออกเป็น 1 – 99 ปกติแล้วเด็กอายุ 10 – 15 ปีจะมีพลังเวทอยู่ที่ 5 – 6 เท่านั้น ส่วนช่วงอายุ 16 – 20 จะอยู่ที่ 7 – 10 ช่วงอายุ 21 – 30 จะมีพลังเวทอยู่ที่ระดับ 11 – 20 ส่วนหลังจากอายุ 30 ไปแต่ละคนก็จะเข้าถึงขีดจำกัด ส่วนใหญ่มนุษย์จะมีพลังเวทอยู่ที่ 30 – 35 มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพลังเวทเกินกว่านี้ไปอีก ส่วนเผ่าอื่นๆนั้นก็จะแบ่งไปตามแต่ละเผ่า อย่างเอลฟ์จะมีพลังเวทสูงกว่ามนุษย์ในช่วงอายุเท่ากัน และมีขีดจำกัดอยู่ที่ 40 ส่วนออร์คหรือเผ่ายักษ์จะมีพลังเวทต่ำกว่ามนุษย์ในช่วงอายุเดียวกัน มีขีดจำกัดอยู่ที่ 20 เพราะฉะนั้นพลังของเธอในตอนนี้เลยเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก”จอมเวทหนุ่มอธิบายไปในสมองก็ได้แต่ครุ่นคิดไปต่างๆนา หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นหนึ่งในบุคคลที่สามารถใช้พลังเวทได้เกินกว่ามาตรฐาน ซึ่งแต่ละคนที่ทำได้ก็เป็นบุคคลในตำนานทั้งสิ้น นี่เขากำลังเป็นสักขีพยานการกำเนิดตำนานใหม่หรือนี่?
“แต่ว่า มันเยอะเกินไปหรือเปล่า”จอมเวทอีกคนถามพลางมองเพื่อนของตนเอง
“นั่นสิ 27 ในวัยแค่นี้มันเวอร์ไปนะ”จอมเวทอีกคนช่วยเสริม
“งั้นเอางี้สิ ลองให้เด็กคนนี้ใช้งานวงเวทของพวกเราดู วงเวทนี้ปกติต้องใช้พลังระดับ 20 ถึงจะใช้ได้ ถ้าเด็กคนนี้ใช้ได้คนเดียวก็หมายความว่าเขามีพลังเวทระดับมากว่า 20 จริงๆ”จอมเวทหยิงว่าพลางชี้ไปที่วงแหวนเวทของพวกตน
“นั่นสิ ถึงพลังเวทจะไม่พอวงแหวนเวทก็จะตัดการทำงานเองไม่มีอันตรายอะไรด้วย”จอมเวทหนุ่มพูดจบก็เดินไปหยิบถุงใส่ผงสีขาวมาโรยบนพื้นต่อจากที่พวกเขาทำค้างไว้ทันที
“นั่นสิ เป็นวิธีที่ดี”จอมเวทอีกคนพูดจบ จอมเวททุกคนก็เดินไปหยิบถุงใส่ผงสีขาวเพื่อนำมาวาดวงแหวนเวทกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ผลคือวงแหวนเวทเสร็จเร็วกว่าปกติถึง 15 นาที
“เอาละเสร็จแล้ว”จอมเวทหนุ่มพูดจบก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เขาผายมือให้เด็กชายเป็นการบอกว่าเชิญเข้ามาได้
“ขอโทษที่ให้ทำอะไรแปลกๆนะ แต่พวกเราอยากรู้จริงๆ”จอมเวทสาวพูดพลางยิ้มมาทางลูเซียส
“ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังอยากลองใช้วงแหวนเวทอยู่พอดี”ลูเซียสพูดจบก็เดินมาที่วงแหวนเวท ตรงส่วนอักขระรอบวงกลมเป็นอักขระสำหรับกำหนดจำนวนพลังเวทว่าต้องใช้พลังเวทระดับ 20 จริงๆและมีอักขระอีกส่วนที่ทำหน้าที่ตัดการทำงานกรณีจอมเวทมีพลังเวทไม่พอจริงๆ เพราะฉนั้นลูเซียสจึงส่งพลังเวทลงไปที่วงแหวนเวทอย่างสบายใจ
วูบบบบ แสงสีน้ำตาลส่องประกายออกมาจากวงแหวนเวทใต้เท้าของลูเซียส ก่อนที่ผืนดินจะเริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับที่เหล่าจอมเวททำ เพราะมีการสั่งการด้วยวงแหวนเวททำให้ขั้นตอนการทำงานไม่มีช้ากว่าหรือเร็วกว่าแต่อย่างไร ทุกขั้นตอนเหมือนตอนที่กลุ่มจอมเวทใช้ทั้งหมด ลูเซียสมีหน้าที่แค่ส่งพลังเวทให้มันเท่านั้น แต่ผลที่ออกมาก็ทำเอาเหล่าจอมเวทพากันอ้าปากค้าง พวกเขา 7 คนมีพลังเวทอยู่ระดับ 11 – 15 เท่านั้น การจะใช้วงเวทระดับ 20 จำเป็นต้องใช้พลังเวทของทั้ง 7 คนเพื่อทำให้วงเวททำงานและพวกเขาไม่มีอาการเหนื่อยจนเกินไป แต่ลูเซียสกลับใช้มันคนเดียวอย่างง่ายดาย
“เหลือเชื่อ”จอมเวทคนหนึ่งหลุดปากออกมาพลางมองร่างของเด็กชายตรงหน้า อัจฮริยะ พวกเขาเจออัจฉริยะตัวเป็นๆเข้าแล้ว
“หนุ่มน้อย เธออายุเท่าไหร่”จอมเวทสาวคนเดียวในกลุ่มถาม
“14 ครับ”ลูเซียสตอบเสียงเรียบ
“14งั้นเหรอ ดีเลย เธอสนใจจะเข้าโรงเรียนครอเดียร์หรือเปล่า”