เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 81 ระดับสองขั้นต้น (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 81 ระดับสองขั้นต้น
แปลโดย iPAT
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เพียงชั่วครู่พุ่มไม้ด้านข้างก็ถูกแยกออกและเผยให้เห็นชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง
ชายผู้นี้มีผมสั้นสีดำตั้งชัน ร่างครึ่งบนของเขาเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยมัดกล้ามสีทองแดง
ความสูงเกือบสองเมตรท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นในฤดูใบไม้ร่วงทำให้เขาดูราวกับหม้อน้ำเดือด โดยเฉพาะลมหายใจที่รุนแรงของเขาราวกับทำให้อุณหภูมิโดยรอบพุ่งสูงขึ้น
เอวของเขายังมีซากสัตว์ป่าหลายตัวถูกผูกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอก กระต่าย ไก่ฟ้า รวมถึงหมาป่าเฒ่าตัวก่อนหน้า
เมื่อเห็นฟางหยวน ชายผู้นี้ตกใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวยาวๆเดินผ่านฟางหยวนไป
"ผู้ใช้วิญญาณซื่อซาน" หลังจากชายร่างใหญ่จากไป ฟางหยวนจึงเอ่ยชื่อเขาออกมา
เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นสูงของครอบครัวสกุลซื่อที่มีประสบการณ์คล้ายกับฟางหยวน
เขาเป็นผู้มากพรสวรรค์และมีความแข็งแกร่งตั้งแต่เด็ก อายุสิบขวบเขาพลั้งมือฆ่าคนรับใช้ของครอบครัวในการต่อสู้โดยไม่ได้ตั้งใจ อายุสิบสองเขาสามารถยกโม่หินขนาดใหญ่ได้ราวกับจานร่อนของเล่น
ด้วยทั้งหมดนี้ ตระกูลจึงคาดหวังว่าเขาจะมีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง แต่ในพิธีเผยลิขิตสวรรค์ เขากลับมีพรสวรรค์นภาที่สอง
โดยธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนดุดัน ดื้อรั้น และหยิ่งยโส แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วภายหลังพิธีเผยลิขิตสวรรค์ อย่างไรก็ตามเขายังเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเดียวกัน
หลายปีหลังจากจบการศึกษา เขากลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองชั้นแนวหน้าของตระกูล
กล่าวได้ว่าความสุขสบายไม่สามารถสอนให้ผู้ใดเข้าใจความหมายของชีวิต มีเพียงความยากลำบากและความเจ็บปวดเท่านั้นที่สามารถ
‘ในตระกูล ผู้เยาว์จะเข้าสู่พิธีเผยลิขิตสวรรค์เมื่ออายุครบสิบห้าและจะเข้าเล่าเรียนในสถานศึกษาเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากนั้นพวกเขาจะรวมกลุ่มห้าคนเพื่อปฏิบัติภารกิจให้กับตระกูล พวกเขาจะต่อสู้และยกระดับการบ่มเพาะของตนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งภารกิจอันตรายเท่าใด สถานะในตระกูลของพวกเขาก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ด้วยวิธีนี้มันทำให้บางคนตกตาย บางคนรอดชีวิต บางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนสูญเสียระดับการบ่มเพาะและต้องกลับไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยความเจ็บปวด มีเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับสามด้วยการเคี้ยวกรำจากประสบการณ์อันยากลำบากก่อนจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตระกูลในที่สุด’
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขณะคิดหลายสิ่งหลายอย่าง
ยิ่งระดับการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณสูงเท่าใด มันก็ยิ่งก้าวหน้าได้ยากเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมที่อันตราย ผู้ใช้วิญญาณจำนวนมากจึงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับสาม
‘ตอนนี้ใกล้ฤดูหนาวแล้ว นั่นหมายความว่าข้าใช้เวลาในสถานศึกษามาเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่ละปีมีการสอบสองครั้ง การสอบกลางปีจะเป็นหัวข้อที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง ขณะที่การสอบปลายปีไม่เคยเปลี่ยน มันคือการต่อสู้ในสนามประลอง หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านไป ข้าจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในหอพักของสถานศึกษาได้อีกและต้องย้ายออกเท่านั้น’
ย้ายออก? แต่ที่ใด?
ฟางหยวนไม่สามารถอยู่ร่วมกับลุงและป้าซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการเช่นกัน
ในโลกใบนี้ อายุสิบหกหมายถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขายังสามารถแต่งงาน แต่ด้วยความลับมากมายของฟางหยวน เขาต้องแยกตัวอยู่อย่างอิสระเท่านั้น
‘ในชีวิตก่อนหน้า หลังจากจบการศึกษา ข้ายังเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง แต่เวลานี้ทุกอย่างดูดีกว่ามาก ข้าสามารถบรรลุระดับหนึ่งขั้นสุดยอด ด้วยพรสวรรค์นภาที่สาม มันยอดเยี่ยมมากแล้ว อย่างไรก็ตามข้าต้องพึ่งพาหินวิญญาณอีกมาก’
ฟางหยวนยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หินวิญญาณของเขาเหลือไม่มากแล้ว
ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาต้องใช้หินวิญญาณมากกว่าฟางเจิ้งและโม่เป่ย
โดยเฉพาะเมื่อเขามีวิญญาณในการครอบครองถึงหกดวง
นอกจากนั้นแม้วิญญาณสุราจะช่วยควบแน่นพลังวิญญาณให้เขา วิญญาณหมูขาวจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกาย แต่ความเร็วในการกู้คืนพลังวิญญาณของผู้มีพรสวรรค์นภาที่สามยังไม่เร็วพอกับความต้องการของเขา ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องพึ่งพาการดูดซับพลังงานจากหินวิญญาณเพื่อเติมเต็มพลังวิญญาณ
โชคดีที่เขาครอบครองวิญญาณกาลเวลา มันทำให้เขาไม่ต้องใช้หินวิญญาณในกระบวนการปรับแต่งวิญญาณดวงอื่นๆ นี่เป็นบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้เขาต้องออกจากสถานศึกษา หาบ้าน และหารายได้บางส่วน
หลังจากระดับหนึ่งขั้นสุดยอด เขาต้องทะลวงเข้าสู่ระดับสองขั้นต้น ในกระบวนการนี้เขาต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมาก
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อเขาบรรลุสู่ระดับสอง เขาต้องยกระดับวิญญาณที่อยู่ในการครอบครอง แน่นอนว่ามันมีค่าใช้จ่ายมหาศาล
ด้วยปัจจัยทั้งหมด ชัดเจนว่าสถานะทางการเงินของเขาไม่สามารถสนับสนุนเขาได้อีกต่อไป นี่ยังไม่รวมถึงการเลี้ยงดูและการบ่มเพาะในอนาคต
หากไม่ใช่เพราะเขาสามารถแลกเขี้ยวหมูป่ากับหินวิญญาณในการสอบกลางปี เขาจะมาไม่ถึงจุดนี้
‘หินวิญญาณ หินวิญญาณ...นักบวชปีศาจสุราดอกไม้ไม่ได้ทิ้งหินวิญญาณเอาไว้ น่าอายนัก! การกรรโชกทรัพย์ยังเป็นแหล่งรายได้หลักของข้า แต่หลังจากจบการศึกษา ข้าไม่สามารถกรรโชกทรัพย์พวกเขาได้อีก อย่างไรก็ตามหากข้าสามารถเป็นที่หนึ่งในการประลองปลายปี ข้าจะได้รับหินวิญญาณหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนเป็นรางวัล’ ฟางหยวนคิด
หากเขาได้ที่หนึ่ง หินวิญญาณหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนจะช่วยบรรเทาปัญหาทางการเงินของเขาได้ชั่วคราว
เวลาผ่านไป ฤดูหนาวมาถึงในที่สุด
ในสนามฝึกซ้อมของสถานศึกษา ลานประลองถูกสร้างขึ้นแล้ว
ริมรั่วไม้ไผ่มีกระโจมหลายหลังตั้งไว้พร้อมกับโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้อีกหลายตัว
อาจารย์อาวุโส ผู้นำตระกูล และผู้อาวุโสหลายคนนั่งอยู่ที่นี่
หิมะโปรยปรายลงมาเล็กน้อย ศิษย์ห้าสิบเจ็ดคนยืนอยู่กลางลานประลองด้วยจมูกที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจากสภาพอากาศอันหนาวเย็น ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งออกมาจมูกทุกครั้งที่พวกเขาลมหายใจออก
"ในช่วงปีที่ผ่านมา พวกเจ้าได้รับเรียนรู้หลายสิ่งจากสถานศึกษาและเข้าใจวิธีการเป็นผู้ใช้วิญญาณเรียบร้อยแล้ว ในวันพรุ่งนี้พวกเจ้าต้องเข้ารับการสอบปลายปีและแสดงผลลัพธ์ของการฝึกฝนออกมาเพื่อให้ผู้อาวุโสตัดสินใจคัดเลือกบางคนเข้าสู่กองกำลังของพวกเขา"
"การแสดงความสามารถของพวกเจ้าในวันพรุ่งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของพวกเจ้าเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งไม่เพียงจะได้รับหินวิญญาณหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนเป็นรางวัล แต่พวกเจ้าจะได้รับวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกด้วย เอาล่ะ ตอนนี้เราจะเริ่มด้วยการตรวจสอบระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายในรั้วสถานศึกษาแห่งนี้"
หลังกล่าวจบคำ อาจารย์อาวุโสพยักหน้าให้กับผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง
ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนที่ได้รับมอบหมายเริ่มเรียกชื่อศิษย์จากรายนามบนกระดาษ "จินซู"
เด็กสาวผู้หนึ่งเดินออกมาด้วยความกังวล
ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าท้องของเด็กสาวก่อนจะปิดเปลือกตาลงและเปิดขึ้นอีกครั้งในไม่กี่วินาทีต่อมา "จินซู ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง ต่อไป อวี๋เพิ้ง"
เด็กหนุ่มสาวเข้ารับการตรวจสอบทีละคนก่อนที่จะกลับเข้าไปรวมกลุ่มอยู่กลางลานประลองอีกครั้ง
การแสดงออกของพวกเขาแตกต่างกัน บางคนมีความสุข บางคนท้อแท้ บางคนหงุดหงิด
ผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ที่สุดคือผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้น เด็กกลุ่มนี้ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์นภาที่สี่
เด็กหนุ่มสาวส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง เด็กกลุ่มนี้คือผู้มีพรสวรรค์นภาที่สามแต่ยังรวมถึงผู้มีพรสวรรค์นภาที่สองบางคน
"ซื่อเฉิน" ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนเรียก
ซื่อเฉินที่เตี้ยที่สุดในกลุ่มเงยหน้าเดินออกมา
หลังจากได้รับการตรวจสอบ ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนเปิดปากกล่าว "ซื่อเฉิน ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอด"
จนถึงตอนนี้นี่คือผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอดคนแรกที่ถูกประกาศชื่อ
กลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลตั้งใจมอง
บางคนเริ่มกล่าว "นี่คือหลานชายของผู้อาวุโสซื่อเหลียง เขามีพรสวรรค์นภาที่สอง ผลลัพธ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก"
กลางลานประลองเด็กหนุ่นสาวเริ่มพูดคุยเช่นกัน
"ซื่อเฉินเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอด ข้าสงสัยว่าโม่เป่ยจะอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่? ทั้งหมดก็คือพวกเขาเป็นคู่แข่งกัน"
"มันไม่แปลกหากผู้มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งหรือสองจะก้าวเข้าสู่ระดับนี้ แต่พวกเราที่มีพรสวรรค์นภาที่สามหรือสี่ต้องยอมรับความขมขื่นและไม่สามารถอิจฉา"
"ฮืม!" โม่เป่ยก่นเสียงเย็นเย้ยหยัน เห็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของซื่อเฉิน โม่เป่ยรู้สึกรำคาญ
ด้านฟางเจิ้ง เขาแสดงออกด้วยการกัดริมฝีปากของตนราวกับพยายามยับยั้งชั่งใจกับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของเขา
"โม่เป่ย" ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนเรียกชื่อถัดไป
ด้วยใบหน้าที่ยาวราวกับม้า โม่เป่ยเดินออกไปข้างหน้า
"โม่เป่ย ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอด" หลังจากประกาศผล โม่เป่ยหมุนตัวเดินกลับและมองซื่อเฉินด้วยความไม่พอใจ
การตรวจสอบยังคงดำเนินต่อไป หิมะค่อยๆเบาบางกระทั่งหยุดโปรยปรายลงมาในที่สุด
ความเย็นทำให้บรรยากาศค่อนข้างสดชื่น
"ฟางหยวน" ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนเรียก
ฟางหยวนก้าวเข้าไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนปิดเปลือกตาลงก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ หลังจากชั่วครู่นางประกาศ "ฟางหยวน ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอด!"
"ระดับหนึ่งขั้นสุดยอด ข้าได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือไม่? นี่คือระดับการบ่มเพาะของฟางหยวนงั้นหรือ?" ศิษย์หนุ่มสาวกลายเป็นแตกตื่น
"เห้อ...เขาเพียงโชคดีที่สามารถครอบครองวิญญาณสุรา กระทั่งผู้มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง สอง หรือสาม เขาก็ยังไม่เสียเปรียบ" เด็กบางคนกล่าวออกมาด้วยความอิจฉา
โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพรสวรรค์นภาที่สาม พวกเขาต้องปลอบใจตนเองด้วยความขุ่นเคือง "เขาก็มาได้เพียงเท่านี้ วิญญาณสุราไม่สามารถช่วยเหลือเขาในระดับสอง เขาจะไม่ได้เปรียบอีกต่อไป"
"แม้เขาจะเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นสุดยอด แต่เขาก็มีพรสวรรค์นภาที่สาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่" โม่เป่ยและซื่อเฉินมองฟางหยวนชั่วครู่ก่อนจะหันหน้าไปทางฟางเจิ้ง
ในหัวใจของพวกเขามีเพียงฟางเจิ้งเท่านั้นที่เป็นคู่แข่ง
'พี่ใหญ่ ท่านตามข้ามาได้โดยไม่คาดคิด แต่จากนี้ไป จงมองข้าให้ดี..." ฟางเจิ้งมองฟางหยวนที่กำลังเดินกลับมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
"ฟางเจิ้ง" ผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคนเรียกชื่อเขาในที่สุด
ฟางเจิ้งเดินออกไปท่ามกลางสายตากดดันจากทุกคน นี่ทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มจากผู้นำตระกูลอวี๋โป้ ความกระวนกระวายใจทั้งหมดของเขาก็สูญหายไป
เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าผู้ใช้วิญญาณหญิงวัยกลางคน
เธอปิดเปลือกตาลงก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจยิ่งกว่าก่อนหน้า "ฟางเจิ้ง ผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นต้น!"
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ปะทุขึ้นทันที
"อันใด? เขาบรรลุระดับสองแล้วงั้นหรือ?"
"ดังคาด เขาเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งจริงๆ"
"ยอดเยี่ยม เขาทิ้งโม่เป่ย ซื่อเฉิน และฟางหยวนไว้ข้างหลังทั้งหมด"
"ฟางเจิ้งผู้นี้!" โม่เป่ยและซื่อเฉินมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ
'ฮ่าฮ่าฮ่า สูงกว่าในชีวิตก่อนหน้าจริงๆ...' ฟางหยวนก้มหน้าหัวเราะอยู่ในใจ แท้จริงแล้วเขาไม่แปลกใจ เมื่อเห็นการแสดงออกของฟางเจิ้ง เขาสามารถคาดเดาได้ทันที
"นี่คือพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง"
"เขาเป็นความหวังของตระกูล"
"นี่คือผลงานอันยอดเยี่ยมของท่านผู้นำ..."
ผู้อาวุโสทั้งหมดต่างยกย่องสรรเสริญ
ฟางเจิ้งกลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของทุกคน
ครึ่งปีที่ผ่านมาอวี๋โป้มอบวิญญาณกายาหยกเขียวให้กับฟางเจิ้งโดยมีข้อแม้ว่าเขาต้องก้าวเข้าสู่ระดับสองเป็นคนแรกและในวันนี้เขาก็ทำสำเร็จแล้ว
'ท่านผู้นำ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ตอนนี้ข้าทำได้แล้ว ในอนาคตข้าก็จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นด้วยการสนับสนุนจากท่านผู้นำและผู้คนรอบข้าง พี่ใหญ่ ข้าจะทิ้งท่านไว้ข้างหลัง ท่านไม่สามารถเป็นเงามืดในหัวใจของข้าได้อีกต่อไป ข้า ผู้ใช้วิญญาณฟางเจิ้ง จะไม่ตามหลังผู้ใดอีกต่อไป!'
ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดังอยู่ในใจขณะที่ดวงตาส่องประกายสว่างไสว
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความมั่นใจ