WOC บทที่ 18 - ซุป
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/WorldofCultivation/
บทที่ 18 - ซุป
ในห้องฝึกตน จั้วโมยังคงนั่งสมาธิด้วยท่านั่งดอกบัว
เขายังคงฝึกฝน [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] อย่างเคร่งเครียด ไอ้ [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] บัดซบ!!!
ไอ้อสูรผู่สารเลว!!!!
เขายังคงสบถคำสาปแช่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากระเบิดจิตใต้สำนึกที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน เขาได้ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างทารุณ จิตใต้สำนึกของเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ถูกทรมานโดยอสูรผู่ ผลจากการแบกรับความบาดเจ็บมันทำให้ทะเลจิตใต้สำนึกของเขาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด ในตอนนี้ เขาไม่ต้องการคำแนะนำของอสูรผู่อีกแล้ว เขาทำได้เพียงตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] อย่างบ้าคลั่งต่อไป
เมื่อเขาสามารถระงับสงบสติอารมณ์ที่เดือดพล่านลงได้ จั้วโมเจ็บปวดจนอยากหลั่งน้ำตา ในคืนนั้น เขาไม่น่าพลาดไปยังทุ่งธัญพืชหลิงทุ่งนั้นเลย เพียงแค่คิดถึงภาพอสูรผู่ ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกค่อยๆแผ่ซ่านเจาะเข้าไปในกระดูกของเขา มันเป็นดังงูพิษที่ไม่ค่อยคืบคลานผ่านต้นขา มันเป็นความหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ ความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจ
จากการที่ต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอันเหี้ยมโหด มันได้สอนให้เขาบรรลุความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงช่องว่างระดับพลังคนทั้งสองที่แสนแตกต่างกัน
ความแข็งแกร่ง ความวิปลาส ความวิกลจริต!!!
จั้วโมเคยคาดหวังกับอนาคตของเขาเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืดมน
ชายคนนี้คงไม่ได้มีเจตนาดีมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ที่ทะเลดำปรากฏขึ้น ตามมาด้วยพลังปราณกระบี่ มันได้กัดกินความเจ็บปวดจิตวิญญาณของเขา จากนั้นมันก็ได้เริ่มใช้ [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] ค่อยๆขับเคลื่อนขั้นตอนทีละขั้นตอนจะนำพาเขาที่เปรียบดังลูกแกะเข้าสู่มือเพชฌฆาต
ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน เขาเคยคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ดีอาศัยอยู่ใกล้เคียง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าบุคคลคนนั้นจะเป็นอสูรร้ายเหยาโม
แม้ว่าแต่ก่อนเขาจะเคยรู้สึกสงสัย แต่ในตอนนี้ความมั่นใจของเขาเต็ม 100% แล้วว่าชายที่ชื่อผู่ จะต้องเป็นอสูรร้ายเหยาโมอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่อสูรร้ายเหยาโมแล้ว เขาจะเป็นใครได้นอกเสียจากปีศาจอำมหิต?
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ความวุ่นวายมักก่อตัวก่อนความรังสรรค์ จั้วโมเปิดตาและเริ่มสูดอากาศหายใจรับเอาลมภายนอกหมุนเวียนโคจรไปทั่วร่างกายและปลดปล่อยออกมา
ลมหายใจที่เข้าออกยาวอย่างต่อเนื่อง เมื่อครั้งลมหายใจถูกปลดปล่อยออก มันเปรียบดั่งลูกศรที่พุ่งทะยานออกไป
จั้วโมเริ่มรู้สึกมั่นใจเล็กน้อย [เคล็ดลมปราณก่อเกิด]นี้เปรียบดังปาฏิหาริย์ ความเจ็บปวดในร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด จิตวิญญาณภายใต้ร่างกายของเขาเริ่มเข้าสู่สภาวะมั่นคง ทั้งๆที่เมื่อคืนตอนที่อสูรผู่สบัดนิ้ว จิตใต้สำนึกของเขาแทบจะพังทลายจนไม่เหลือซาก
เขาเองก็ไม่ทราบว่า [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] ก่อเกิดจากที่ใด และทุกๆถ้อยคำเต็มไปด้วยความคุมเครือเกินกว่าจะเข้าใจ ไวยากรณ์ช่างแตกต่างจากแท่งหยกคัมภีร์ที่จั้วโมได้ซื้อมา แม้เขาจะรวบรวมลมปราณ ทำสมาธิเพื่อฝึกฝน แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจปฐมบทแรกได้
แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดแบกหน้าไปถามอสูรผู่ได้ บทเรียนที่แลกมาด้วยหยาดน้ำตาและหยาดโลหิตได้สอนให้เขารู้ว่า อย่าพยายามหลอกหาผลประโยชน์จากชายผู้นั้น มิฉะนั้นจะได้รับความหลอกลวงกลับมา
ปฐมบทแรกที่ต้องเรียนรู้ทุกขนานนามว่า [จิตวิญญาณจดจ่อ] ซึ่งมันถูกเล่าขานเกี่ยวกับวิธีการทำสมาธิและการรวบรวมจิตวิญญาณเพื่อรักษาเสถียรภาพแห่งจิตใต้สำนึก
นี่คือสิ่งที่จั้วโมได้รับมาในตอนนี้ หลังจากที่จิตใต้สำนึกของเขาบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องจนแทบฉีกออกเป็นชิ้นชิ้น ถ้าหากเขายังไม่สามารถแก้ไขมันได้ในไม่ช้า เขาจะต้องก้าวเข้าสู่ความวิกลจริต และในช่วงหนึ่งลมหายใจ อสูรผู่ได้กล่าวออกมา มันหมายถึงการสูดลมหายใจปราณก่อเกิด
ลมหายใจปราณก่อเกิด คือแก่นหลักของ [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] และมันเป็นวิธีการฝึกตนขั้นพื้นฐานที่สุด และมันยังเป็นชนิดลมหายใจที่จั้วโมมิเคยได้ยิน แต่จากสมมติฐาน มันคือลมหายใจแรกเริ่มของมนุษย์ตั้งแต่พวกเขายังเป็นตัวอ่อน ในช่วงเวลานั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปากหรือจมูกในการหายใจ แต่จะอาศัยร่างกายเป็นตัวซึมซับ อากาศจะแทรกซึมผ่านผิวหนังเส้นลมปราณทีละเล็กทีละน้อย สายธารอากาศหลายร้อยเส้นจะค่อยๆโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างกายและค่อยๆปรับเปลี่ยนภาษาเข้ากับการหายใจทางปากและจมูก
จุดชีพจรบนร่างกายเปรียบเสมือนดวงดาวบนห้วงอวกาศ ไม่มีสิ่งใดสามารถวัดค่าพวกมันได้ จมูกและปากเปรียบดังจุดที่ใหญ่ที่สุด ส่วนจุดเล็กจุดน้อยต่างกันจัดกระจายไปทั่วร่างกาย
จั้วโมอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากว่าผู้อาวุโสสร้างคัมภีร์วิชานี้ขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นความคิดในการสรรสร้างที่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน มันเป็นความน่ากลัวที่สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว วิชาของอสูรผู่ เปรียบดังยากระตุ้นความวิปลาสซึ่งคงไม่ต่างจากตัวของมันเลย
และในตอนนี้ จั้วโมยังคงไม่อาจหาเส้นทางที่จะนำพาตัวเขาก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จแห่งการให้กำเนิดลมหายใจปราณก่อเกิด
คำพูดของอสูรผู่ไม่ใช่เป็นคำพูดข่มขู่ที่ไร้ที่มา ภายใน [เคล็ดลมปราณก่อเกิด] มันถูกประทับข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจน ในอีกไม่กี่วันผ่านไป เขายังคงพยายามใช้ทั้งปากและจมูกในการสูดลมหายใจ และไม่ว่าอะไรก็ตาม ขอก็ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมจิตวิญญาณให้มั่นคง เพราะเมื่อจิตวิญญาณของเขาไม่มั่นคง ความเจ็บปวดก็จะปรากฏขึ้นทีละเล็กทีละน้อยและเมื่อมันมากพอมันก็จะสามารถพรากชีวิตในน้อยของจั้วโมไปได้ฉันที
และเมื่อจั้วโมสามารถควบคุมและรักษาความเสถียรภาพของจิตวิญญาณ เขาก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับคำถาม คำถามที่เกี่ยวกับลมหายใจปราณก่อเกิด หนึ่งลมหายใจนี้ เปรียบเสมือนใบเบิกทางเพื่อเข้าสู่ [เคล็ดลมปราณก่อเกิด]
ระยะเวลาเส้นตายใน 3 เดือน เปรียบดังเมฆหมอกอันคลุมเครือที่ปกคลุมร่างกายของเขา
เมื่อเขานึกถึงภาพความวิกลจริตของอสูรผู่ภาพแห่งการทรมานในคุกคุมขังก็ปรากฏขึ้น มันยิ่งทำให้จั้วโมมั่นใจแล้วว่าถ้าหากเขาไม่สามารถก่อสูดลมหายใจปราณก่อเกิดได้ภายใน 3 เดือนนี้ เขาจะต้องเผชิญกับภาวะเลือดลมย้อนกลับอีกครั้งอย่างแน่นอน อสูรผู่ก็ยังคงเฝ้ามองดูข่าวจากภายในจิตใต้สำนึกที่เจ็บปวด
ชีวิตช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!!!
เมื่อภายในเต็มไปด้วยความโกรธแค้น จั้วโมจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มและสบถคำสาปแช่ง
ทันใดนั้น ข่าวที่ดังออกมาจากแผ่นจารึกเสี่ยงที่อยู่ใกล้ตัวของเขา ค่อยๆดึงดูดความสนใจของเขา
"ดูเหมือนว่าราคาธัญพืชหลิงจะยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในเดือนนี้ก็เช่นกันราคาของธัญพืชหลิงได้สูงขึ้นกว่าเดิมที่แล้ว และด้วยปริมาณความต้องการของธัญพืชหลิงในปัจจุบันที่สูงขึ้นอย่างมาก มันจึงทำให้เราธัญพืชหลิงระดับต่ำยกระดับราคาสูงขึ้นเช่นกัน……………….."
เรื่องราคาธัญพืชหลิงที่ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้น!!! ถือเป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้ยินในรอบ 2-3 วันที่ผ่านมา
ทันใดนั้นอสูรผู่ก็ได้ปรากฏกายออกมา " ดูเหมือนสิ่งนี้จะน่าสนใจ"
จั้วโมมองดูด้วยสายตาที่เบิกกวาง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มมองเห็นจุดที่อสูรผู่ยืนอยู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากอย่างสั่นกลัวและถามว่า "จะ จะ จะ เจ้า…….เจ้าออกมาได้อย่างไร?"
อสูรผู่กระพริบตาสีแดงทมิฬข้างขวา "ทำไมกัน ทำไมข้าจะออกมาไม่ได้?"
"ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องอาศัยอยู่ภายในทะเลแห่งจิตใต้สำนึกของข้ามิใช่หรือ?"จั้วโมถามด้วยความโง่เขลา
"ใครกันเป็นคนบอกเจ้าเช่นนั้น?"อสูรผู่หันหน้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ยถาม
จั้วโมถึงกับพูดไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรองอีกต่อไป ถ้าหากมันสามารถออกไปไหนมาไหนก็ได้
อสูรผู่ฟังอย่างเงียบๆก่อนจะกล่าวว่า "โอ้ ดูเหมือนสงครามใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว"
"สงคราม?"จั้วโมเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
อสูรผู่ไม่ได้อธิบายสิ่งใดต่อ เขากวาดสายตาไปเห็นแผ่นจารึกเสียงที่ว่างอยู่ ก่อนที่มันจะเครื่องตัวเป็นหยิบและกล่าวว่า "สิ่งนี้ ต่อไปมันคือของข้า"ก่อนจะสิ้นเสียง เขาก็ได้หายไปพร้อมกับแผ่นจารึกเสียง
"ไอ้อสูรบัดซบ!!!"จั้วโมตะโกนเสียงร้องด้วยความโกรธภายใต้ลานที่ว่างเปล่า
เพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเคาะประตูบ้านของเขา
จั้วโมรู้สึกกังวล ผู้ใดกันที่มาหาเขา? เขาจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูและพบว่า เป็นเสี่ยวกั่วที่กำลังยืนอย่างน่าเวทนาอยู่ข้างนอก
เธอถือหม้อดินในมือขณะจ้องมองจั้วโม เธอถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักทาย "ศิษย์พี่ชาย"
"มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?"จั้วโมที่กำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี เอ่ยถาม และเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่คือนายของเสี่ยวกั่ว เขาก็ไม่อาจควบคุมเสียงของเขาได้
"ไม่ ไม่เลย!!"เสี่ยวกั่วส่ายหัวเหมือนระฆังและรีบอธิบายในอย่างรวดเร็วว่า "เสี่ยวกั่วมากที่นี่เพื่อมอบบางสิ่งบางอย่างให้กับศิษย์พี่ชาย ในครั้งนั้นศิษย์พี่ชาย ด้วยช่วยเหลือเสี่ยวกั่วเอาไว้ และเสี่ยวกั่วกูยังไม่ได้ตอบแทนความกรุณาของศิษย์พี่ชายเลย"
หลังจากเธอกล่าวจบ เธอก็ค่อยๆเม้มริมฝีปากลงเล็กน้อย และดวงตาของเธอก็ปรากฏเป็นหมอกหนา พร้อมกับเสียงที่ดูสั่นเครือราวกับกำลังจะหลั่งน้ำตา ในขณะที่เธอพึมพำออกมาว่า "เสี่ยวกั่วไม่มีเหรียญจิ้งซือ…………………."
เมื่อเห็นว่าบทสนทนากำลังเปลี่ยนไป จั้วโมจึงรีบตะโกนอย่างร้อนรน "หยุดซะ!!!"
เสี่ยวกั่่วหดตัวเล็กลงด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงของเธอที่คล้ายจะร้องไห้ก็พลันหายไปทันที
เธอค่อยๆวางหม้อดินลงหน้าจั้วโม แล้วค่อยๆกระโดดถอยหลังราวกับกระต่าย และรวบรวมความกล้าอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า "นี่คือซุปที่เสี่ยวกั่วทำเอง ศิษย์พี่ชาย………...ศิษย์พี่ชาย อย่าลืมชิมมันนะ เพียงแค่ 1 จิบก็ยังดี…………….."
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็ได้รีบเดินจากไปพร้อมกับใบหน้าสีแดงก่ำ เพราะความวิตกกังวลเธอจึงไม่สามารถควบคุมใบหน้าของเธอได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่หันหลังแล้ววิ่งจากไป
หลังจากเธอวิ่งไปได้ประมาณ 10 กว่าก้าว เธอก็หันหลังกลับมาและตะโกนว่า "ศิษย์พี่ชาย ถ้ามันไม่อร่อย ท่าน…….ท่านสามารถโยนมันทิ้งไปได้เลย…………"
จั้วโมเฝ้ามองดูเสี่ยวกั่วที่ค่อยๆหายลับไปจากสายตา จากนั้นเขาก็เดินตรงไปทางหม้อดิน และค่อยๆก้มลงยกมันขึ้นมา
ซุปยังคงอุ่นอยู่
หลังจากที่ยกหม้อดินขึ้นมา เขาก็ค่อยๆชิมรสชาติของซุปในหม้อเต็มไปด้วยกลิ่นอันหอมหวล
"รสชาติไม่เลวเลย"จั้วโมพูดกับตัวเอง เขาค่อยๆบรรจงดื่มมันจนหมดและพาหม้อดินเปล่ากลับไปยังห้องของเขา
จู่ๆอสูรผู่ก็ปรากฏตัวออกมา ลิ้นของเขาเปรียบดังงูสีแดงชาดซึ่งกำลังประวัติริมฝีปากอยู่ ดวงตาทั้งสองยังคงจ้องมองไปยังทิศทางที่เสี่ยวกั่วได้จากไป "ช่างเป็นเด็กน้อยที่แสนซื่อเสียจริง"
จั้วโมจ้องมองด้วยความตกใจ
อสูรผู่ในตอนนี้มีท่าทางราวกับแมวที่ตะกะตะกาม นัยน์ตาสีแดงของมันยังคงกระพริบ "โชคดีจริงๆ เนื้อของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้จะต้องมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมอย่างมากแน่นอน"
จั้วโมระเบิดความโกรธออกมาอย่างฉับพลัน และขว้างที่ว่างเปล่าใส่อสูรผู่
ปังงงงงง หม้อแตกกระจายเป็นเศษเสี่ยง ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว
"ไปให้พ้นจากข้า!!!"
นาวาโทสุบรรณค่อยๆหยุดลงกลางอากาศ
ลี่เซียนเอ๋อจ้องมองไปที่จันทรามรกตที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง แล้วค่อยๆขมวดคิ้วที่แสนงดงาม "ดูเหมือนว่าอสูรตัวน้อยจะสามารถหนีไปได้ ท่านลุงชือเย มีการตอบกลับใดๆจากนิกายนั้นหรือไม่?"
ราชันย์วิญญาณชือเยสายหน้า "นายน้อยหญิง อสูรร้ายถูกกักขังอยู่ภายใต้ปราการหล่อมอสูร และนี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีผู้ใดได้สำรวจมัน พวกมันส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญกับสงครามดับสิ้นเมื่อ 3000 ปีก่อน และพวกมันทั้งหมดล้วนถูกจับโดยนิกายอันทรงพลังของพวกเรา อสูรส่วนใหญ่มีพลังอันแข็งแกร่ง ยากที่จะถูกสังหาร พวกมันจึงถูกพาไปกักขังอยู่ภายใต้ปราการหล่อมอสูร ซึ่งร่างกายจะค่อยค่อยถูกทำลายทีละเล็ก แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าอสูรพวกนี้จะมีผิวหนังที่ทนทานได้มากขนาดนี้ นี่ก็ผ่านมากว่า 3000 ปีแล้ว มันยังเหลือรอดอยู่อีก!!!"
ลี่เซียนเอ๋อแสดงสีหน้าหวนรำลึกถึงอดีต "เมื่อ 3000 ปีก่อน นิกายของพวกเราแข็งแกร่งมากจริงๆ!!!"
ราชันย์วิญญาณชือเยถอนหายใจเช่นกัน "ไม่ใช่แค่นิกายของเรา แต่เมื่อ 3000 ปีก่อน นิกายต่างๆล้วนแล้วแต่มีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากกว่าปัจจุบัน เหล่าพันธมิตรที่แข็งแกร่งของเราอสูรนับพัน ต่างก็ถูกเราผู้อาวุโสของพวกเรากำจัดไปจนหมด และการต่อสู้ในครั้งนั้นของเหล่าผู้ฝึกตนทำให้พวกเรามีมาจนถึงทุกวันนี้"
สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนและอัดแน่นไปด้วยความเวทนา "อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราอสูรจะถูกจับกุมได้จนเกือบหมดสิ้น แต่เหล่าผู้ฝึกตนก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน พลังอันแข็งแกร่งของพวกเขาลดเหลือเพียงแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น นิกายจำนวนมากต้องล่มสลายไปในสงครามดับสิ้น คัมภีร์เคล็ดวิชาต่างๆล้วนสูญหายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แม้ว่าจะผ่านมานัก 3000 ปีแล้ว แต่เหล่าผู้ฝึกตนก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองกลับมาได้เฉกเช่นในอดีต แต่หากเทียบกันแล้ว เหล่าอสูรย่อมได้รับความเสียหายที่มากกว่า ท่านลองพิจารณาสิในปีนี้ ท่านเคยเห็นเหล่าอสูรสามารถทะลวงผ่านมหานครโลหิตนภามาได้หรือไม่?"
ลี่เซียนเอ๋อตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่ามันจะเป็นประวัติศาสตร์ที่เธอได้เรียนรู้ และได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อได้ยินอีกครั้ง เธอยังคงสร้างภาพที่น่าตกตะลึงขึ้นในสมองของเธอเสมอ
"ท่านปู่กำลังเรียกข้ากลับไป"เทอร์โบปากด้วยความไม่เต็มใจ "มันยากมากเลยนะที่ข้าจะได้มีโอกาสออกมาโลกภายนอก เวลาช่างสั้นเหลือเกินและดูเหมือนเขากำลังร้องเรียกให้ข้ากลับไป พวกเรามาที่นี่แล้วยังไม่สามารถจับอสูรตัวน้อยๆได้เลย ข้าคิดว่ามันจะเป็นการดี ถ้าหากพวกเราจะกลับไปหลังจากที่ได้จับอสูรตัวในน้อยนั่นแล้ว"
ราชันย์วิญญาณชือเยมองดูใบหน้าที่กำลังแสดงความไร้เรียงสาออกมา ก่อนที่เขาเอ่ยปากเรียกร้อง "นายน้อยหญิง ผู้นำนิกายกำลังเรียกร้องให้นายน้อยกลับไป มันอาจจะเป็นเพราะมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นก็เป็นได้"
"จะมีเรื่องใดเกิดขึ้นได้อีก?" เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง "บางทีมันอาจเป็นเรื่องของอัจฉริยะจากนิกายอื่นที่กำลังมาเยือนเป็นแน่ ยิ่งท่านปู่เองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับเหล่าเซียนกระบี่ ตัวข้าเองก็เกลียดพวกเซียนกระบี่เหล่านั้น พวกมันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและไร้ความเป็นสุภาพชน"
ราชันย์วิญญาณชือเยยิ้มแล้วตอบกลับว่า "แต่ไม่กี่วันมานี้ ไม่ใช่ว่านายหญิงมัวแต่เล่นกับเซียนกระบี่อย่างมีความสุขมิใช่หรือ?"
"เจ้าหมายถึงไอ้โง่หน้าตลกคนนั้นนั้นหรือ ใครบอกกันว่าเขาคือเซียนกระบี่?"ลี่เซียนเอ๋อตอบกลับ
" อาณาจักรเทียนเยียเป็นดั่งดินแดนของเหล่าเซียนกระบี่ ทุกๆ 10 คนจะมี 9 คนที่จะกลายเป็นเซียนกระบี่"
"บางที เขาก็จะเป็นหนึ่งคนที่เหลือนั้น" ลี่เซียนเอ๋อพยายามคัดค้าน เธอค่อยๆเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่กดดัน " หากว่าข้ากลับไป ข้าก็คงไม่อาจใช้ นกกระเรียนพันลี้ได้อีก มันยากมากเลยนะที่คาดจะหาคนที่น่าสนใจได้ แต่ข้ากลับไม่สามารถเล่นสนุกได้อีกต่อไป"
เมื่อมองดูความว้าวุ่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ราชันย์วิญญาณชือเยถึงกับทนไม่ได้จนต้องเอ่ยปากแนะนำ "ถ้าหากนายหญิงชอบเช่นนั้น เหตุใดท่านจึงไม่สร้างมหาเวทย์เคลื่อนมิติไว้ ณ อาณาจักรเทียนเยียแห่งนี้ล่ะ แล้วค่อยให้สาวกมาคอยคุ้มกันที่แห่งนี้ นายหญิง สามารถส่งนกกระเรียนพันลี้นำทางข้ามผ่านมหาเวทย์เครื่องมิตินี้ได้ ซึ่งมันย่อมดีกว่าเป็นแน่ อีกทั้งนกกระเรียนพันธุ์ดีนำทางตัวนี้ยังสามารถค้นหาเขาได้อย่างง่ายดาย"
ลี่เซียนเอ๋อค่อยๆแสดงท่าทางที่มีความสุขออกมา "ท่านลุงซือเยดีที่สุดเลย!! ฮ่าๆๆ แต่บางทีเขาอาจคิดว่านกกระเรียนพันนี้ของเซียนเอ๋อจะต้องเป็นนกกระเรียนกระดาษธรรมดาเป็นแน่"
หัวใจของราชันวิญญาณซือเยค่อยๆถูกปลอบประโลม ก่อนที่เขาจะยิ้มและกล่าวคำชมเชยออกมาว่า "นกกระเรียนพันลี้ที่นายหญิงได้คิดค้นมันขึ้นมา แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในนิกายยังต้องกล่าวสรรเสริญ"
ลี่เซียนเอ๋อ มองด้วยสายตาที่แสนภาคภูมิใจ "แน่นอน!!!"