เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 71 กดตนเองให้ต่ำ (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 71 กดตนเองให้ต่ำ
แปลโดย iPAT
ค่ำคืนในฤดูร้อน ดวงจันทร์ที่กระจ่างชัดยังแขวนอยู่บนท้องฟ้า
สายลมพัดเศษใบไม้ขึ้นสู่อากาศ เสียงเห่าหอนของหมาป่าดังขึ้นเป็นครั้งคราว
ริมลำธารในป่าลึก เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่
หมูป่าที่มีร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน
หมูป่ากำลังจะตายแต่มันก็เป็นช่วยเวลาที่อันตรายที่สุด ด้วยการระเบิดพลังเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต มันต่อสู้อย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป
ฟางหยวนยังเยือกเย็นขณะที่ดวงตาสีดำส่องประกายขึ้นภายใต้แสงจันทร์
ด้วยประสบการณ์ห้าร้อยปี ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหมูป่า กระทั่งพยัคฆ์หรือราชสีห์ก็ไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจที่แข็งแกร่งของฟางหยวน
เมื่อเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของหมูป่าค่อยๆช้าลงกระทั่งถึงจุดที่มันเริ่มหยุดนิ่ง
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นขณะที่เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและยกร่างหมูป่าขึ้นในเวลาหนึ่งลมหายใจ
ฟางหยวนสูดหายใจลึก ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ มัดกล้ามเนื้อบนท่อนแขนของเขาโป่งพอง ขณะที่เขายกร่างหมูป่าขึ้นเหนือศีรษะ
ลมหายใจต่อมาหมูป่าที่สูญสิ้นพละกำลังถูกโยนลงบนพื้นหินริมลำธาร
เลือดสีแดงไหลออกมาจากหู จมูก และปากของมัน
มันพยายามหายใจอีกสองสามครั้งก่อนจะเสียชีวิตในที่สุด
สภาพแวดล้อมกลับสู่ความสงบพร้อมกับลำธารที่ถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดงเลือด
“พละกำลังของข้าอยู่ในระดับที่สามารถแบกร่างหมูป่าหนึ่งตัวได้แล้ว คืนนี้ข้าจะลองยกหินก้อนนั้นออกไป” ฟางหยวนยืนนิ่งอยู่ที่นั้นและพยายามปรับลมหายใจ
หลายวันที่ผ่านมา เขาพึ่งพาความสามารถพิเศษของวิญญาณหมูขาวเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเองอย่างต่อเนื่อง เวลานี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แรกเริ่มเขาใช้กลยุทธ์หลบเลี่ยงและอาศัยดาบแสงจันทร์ แต่ในจังหวะสุดท้ายเขาสามารถยกร่างหมูป่าขึ้นสู่อากาศและโยนลงบนพื้น นี่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านพละกำลังของเขาได้อย่างชัดเจน
วิญญาณหมูขาวไม่สามารถมอบความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้วิญญาณได้อย่างไม่รู้สิ้นสุด ขีดจำกัดของมันคือพละกำลังของหมูป่าหนึ่งตัว เมื่อความแข็งแกร่งของผู้ใช้วิญญาณบรรลุถึงขีดจำกัดนี้ วิญญาณหมูขาวจะไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขาอีกต่อไป
“ข้าสามารถยกหมูป่าหนึ่งตัว แต่มันไม่ได้หมายความว่าข้าสามารถเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของหมูป่าโดยตรง มันเหมือนกับชายผู้หนึ่งที่สามารถยกร่างของชายอีกผู้หนึ่ง แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกัน ความแข็งแกร่งของข้ายังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก”
ฟางหยวนนำมีดออกมาตัดเขี้ยวหมูป่าออกก่อนจะนำพวกมันเข้าไปเก็บไว้ในรอยแยกของกำแพงหิน
ร่างกายที่เหลือของมันไม่จำเป็นต้องสนใจ อีกไม่นานกลิ่นสาบเลือดจะดึงดูดสัตว์น้อยใหญ่ให้เข้ามารุมทึ้งมันอย่างรวดเร็ว
กระทั่งบางคนจะพบเห็นซากศพของมัน แต่ร่องรอยการตัดเขี้ยวหมูป่าไม่ได้บ่งบอกว่ามันเกิดจากดาบแสงจันทร์ ดังนั้นมันไม่ควรมีผู้ใดสามารถถเชื่อมโยงมาถึงตัวเขา
กลับไปยังถ้ำลับสีแดง ฟางหยวนโยนเขี้ยวหมูป่ารวมกันไว้ที่มุมหนึ่ง นี่เป็นผลงานของเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทุกอย่างภายในถ้ำแห่งนี้ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นความเงียบสงบ แสงสีแดง หรือหินก้อนใหญ่
“ย๊าก!”
ฟางหยวนเดินไปด้านหน้าหินก้อนใหญ่ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นผลักด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เคลื่อนไหว
“พละกำลังของข้าในปัจจุบันสามารถยกหมูป่าหนึ่งตัว แต่หินก้อนนี้มีน้ำหนักเท่ากับหมูป่าห้าถึงหกตัว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้าจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายมัน มรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ” ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดหมายของเขา
เขาเดินกลับไปยังห้องโถงสีแดงก่อนจะนำแผนที่หนังสัตว์ออกมาอีกครั้ง
ทุกวันฟางหยวนจะเปิดแผนที่และจดจำมันไว้ในใจเพราะเขาไม่มีวิญญาณประเภทเก็บข้อมูล
ฟางหยวนไม่สามารถนำแผนที่ติดตัวตลอดเวลาเพราะมันไม่สะดวกหากเขาต้องเผชิญหน้ากับหมูป่า ดังนั้นเขาจึงต้องจดจำมันไว้ในใจเท่านั้น
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมักยากลำบากเสมอ หากผู้คนไม่พยายามคิดวิธีแก้ปัญหา สุดท้ายพวกเขาจะล้มเหลว ฟางหยวนเข้าใจตรรกะนี้ เขาไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากเพื่ออนาคตที่สดใสกว่า
‘ตั้งแต่ข้ายังเด็ก ความทรงจำของข้าค่อนข้างดีมาตลอด ตอนนี้ข้าสามารถจดจำได้ครึ่งหนึ่งของมันแล้ว ฮ่าฮ่า อย่างไรก็ตามหากข้ามีวิญญาณหนอนหนังสือ ข้าจะให้มันกลืนกินแผนที่ผืน หลังจากนั้นข้าจะไม่มีวันลืมมันตลอดชีวิต’ แม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณสุรา วิญญาณหมูขาว และวิญญาณอีกหลายดวง เขาก็ยังต้องการวิญญาณชนิดอื่นๆเพิ่มเติม
วิญญาณหนอนหนังสือเป็นวิญญาณหายากและมีราคาแพง
ในชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนไม่เคยมีวิญญาณสุราหรือวิญญาณหมูขาวแต่เขาครอบครองวิญญาณหนอนหนังสือและมันก็ติดตามเขาไปเป็นเวลาหกสิบปีก่อนที่เขาจะย้อนเวลากลับมา
‘ลืมมันไปซะ มันเป็นเรื่องยากที่ข้าจะได้รับมันในเวลานี้ กล่าวตามตรงชีวิตปัจจุบันของข้าถือว่าดีกว่าชีวิตก่อนหน้ามากแล้ว ในจุดนี้ข้าสามารถเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฟางเจิ้ง โม่เป่ย หรือซื่อเฉิน พวกเขายังห่างไกลจากข้าอยู่มากนัก’
ฟางหยวนค่อนข้างพอใจกับความก้าวหน้าในปัจจุบันของเขา
ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณสุรา เขาสามารถยกระดับการบ่มเพาะของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งด้วยการกรรโชกทรัพย์ มันทำให้การบ่มเพาะของเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆช้าลงกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตามในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ มันค่อนข้างง่ายและสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะฟางเจิ้ง โม่เป่ย และซื่อเฉินที่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ช่องว่างระหว่างพวกเขากับฟางหยวนจึงค่อยๆแคบลงทุกขณะแม้ฟางหยวนจะมีวิญญาณสุราก็ตาม
แน่นอนว่ามันยังมีปัจจัยอื่น การล่าหมูป่าและบ่มเพาะร่างกายด้วยวิญญาณหมูขาวทำให้เขามีเวลาบ่มเพาะพลังวิญญาณด้วยวิญญาณสุราน้อยลง
‘ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะของแต่ละคน อีกไม่นานบางคนจะก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงและได้รับหินวิญญาณสามสิบก้อน แต่ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะแข่งขันกับพวกเขาในเรื่องนี้’ ฟางหยวนตัดสินใจมานานแล้ว
หากเขาละทิ้งวิญญาณหมูขาว เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงเป็นคนแรก แต่เขาไม่มีความตั้งใจเช่นนั้นเพราะตอนนี้เขาไม่ขาดแคลนหินวิญญาณเหมือนก่อนหน้า
เหตุผลอีกประการหนึ่งคือเขาต้องการปกปิดความแข็งแกร่งของตนเอง กดตนเองให้ต่ำ และหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจของผู้คนเพื่อที่เขาจะสามารถรับมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ได้อย่างไม่มีปัญหา
นี่คือแรงจูงใจที่แท้จริงของเขา
‘สถานศึกษามีรางวัลมากมาย แต่มันก็เป็นเพียงหัวแครอทเท่านั้น สิ่งสำคัญมันเป็นการชักนำให้พวกเขาเข้าสู่ระบบตระกูล ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะกระโจนเข้าไป’
ฟางหยวนยังมองแผนที่หนังสัตว์ ด้วยความรู้และประสบการณ์มากมาย เขาสามารถถอดรหัสมันได้อย่างง่ายดาย
‘กากบาทสีแดงคือพื้นที่อันตราย ดูเหมือนมันจะมีฝูงหมูป่าอยู่ที่นั้นและกระทั่งอาจจะเป็นราชาหมูป่า ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า มันจะดีกว่าหากข้าเผชิญหน้ากับหมูป่าเพียงตัวเดียว’
ฟางหยวนก่นเสียงเย็นเมื่อนึกถึงแผนที่ที่เฒ่าหวังเคยวาดให้เขาก่อนหน้านี้เพราะมันไม่ได้ระบุตำแหน่งของพื้นที่อันตรายเหล่านี้ หากเขาไม่รอบคอบ บางทีเขาอาจพลัดหลงเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นการหยิบยืนพลังอำนาจของราชาหมูป่าเพื่อสังหารเขาอย่างชัดเจน
‘แต่วงกลมสีแดงสามจุดหมายถึงสิ่งใด?’ นี่เป็นเครื่องหมายสุดท้ายที่ฟางหยวนยังไม่สามารถทำความเข้าใจ
วงกลมสีแดงทั้งสามอยู่ในพื้นที่รกร้าง แต่ที่นั่นยังถือเป็นสถานที่ค่อนข้างปลอดภัย
‘กากบาทสีแดงคือเขตต้องห้าม แล้ววงกลมสีแดงหมายถึงสิ่งใด?’ ฟางหยวนครุ่นคิด ‘โดยปกติแล้วสีแดงมักหมายถึงการแจ้งเตือน เฒ่าหวังทำเครื่องหมายเหล่านี้เอาไว้ มันต้องเป็นเรื่องสำคัญ น่าเสียดายที่มันอยู่ไกลเกินไป มิฉะนั้นข้าจะออกไปสำรวจมันด้วยตนเอง’