เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 66 มนุษย์ไม่ต่างจากหมู (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 66 มนุษย์ไม่ต่างจากหมู
แปลโดย iPAT
“อยากตาย?” เมื่อได้ยินถ้อยคำของหวังเอ้อ ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นชาและยกฝ่ามือขึ้น
ด้วยแสงสีฟ้าที่ส่องสว่างอยู่บนฝ่ามือ ฟางหยวนวิ่งเข้าไปหากลุ่มนักล่าอย่างกะทันหัน
“ผู้ใช้วิญญาณ?” นักล่าทั้งหมดตกตะลึง
“ฉัวะ ฉัวะ”
นักล่าที่ไม่สามารถตอบสนองถูกตัดแขนขาออกทันที
“อ๊าก....”
นักล่ากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดออกมาราวกับเขื่อนแตก
“ช่วยข้าด้วย”
“พวกเราไม่มีความตั้งใจรุกรานท่าน”
เมื่อเห็นสหายได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าของนักล่าสองคนกลายเป็นซีดเผือดและเร่งคุกเข่าร้องขอชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฮืม เพียงผู้ใช้วิญญาณฝึกหัด จำเป็นต้องกลัวงั้นหรือ?” มีเพียงหวังเอ้อที่ยังยืนอยู่ ฟางหยวนโจมตีโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า นี่ทำให้หวังเอ้อทั้งตกใจและโกรธ แต่หลังจากสามารถตอบสนอง เขายื่นมือออกไปคว้าคันธนูกับลูกศรออกมาอย่างรวดเร็ว
“หยุด มิฉะนั้นข้าจะยิงเจ้า!” หวังเอ้อคำรามเสียงดัง
“โอ้?” ฟางหยวนหรี่ตามองหวังเอ้อ นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยาก โดยปกติแล้วเมื่อมนุษย์ธรรมดาพบเจอผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาจะต้องหวาดกลัวและแสดงความเคารพทันที แต่หวังเอ้อผู้นี้กลับสามารถเยือกเย็น
ฟางหยวนยื่นฝ่ามือไปที่หวังเอ้อ
“สารเลว ไม่สำนึกบุณคุณของบิดาผู้นี้งั้นหรือ?” หวังเอ้อเต็มไปด้วยเจตนาสังหารขณะที่ยิงลูกศรออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ฟางหยวนขยับศีรษะเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบลูกศรได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ทะยานร่างเข้าไปหาหวังเอ้อ
ด้านหวังเอ้อ เขาเก็บคันธนูและยกหมัดขึ้นมาก่อนจะวิ่งเข้าเผชิญหน้ากับฟางหยวน
เขามีรูปร่างสูงใหญ่และสูงกว่าฟางหยวนถึงห้าสิบเซนติเมตร
“ไม่!”
“หยุด!”
นักล่าสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตะโกนด้วยความตกใจ
“ตาย!” ดวงตาของหวังเอ้อเต็มไปด้วยความดุร้าย ใบหน้าของเขากลายเป็นบิดเบี้ยวน่าสยดสยอง การแสดงออกของเขาบ้าคลั่งราวกับหมาป่ากระหายเลือด
กำปั้นอันใหญ่โตบินเข้าไปหาฟางหยวน
เห็นกำปั้นใกล้เข้ามา การแสดงออกของฟางหยวนยังไม่เปลี่ยนแปลง
“หวืด...”
ในช่วงเวลาสำคัญ ฟางหยวนสามารถหลบหมัดที่ดุดันของหวังเอ้อได้อย่างง่ายดาย
หวังเอ้อหัวเราะเสียงเย็นและสะบัดแขนออกไปด้านซ้าย อย่างไรก็ตามในเวลานี้แสงอาทิตย์กลับแทงเข้าไปในดวงตาของเขาเมื่อเขาพยายามหันหลังกลับ นี่ทำให้วิสัยทัศน์ของเขากลายเป็นพร่าเลือน
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นก่อนหลบหมัดของหวังเอ้อและส่งมือขวาออกไป
ดาบแสงจันทร์สีฟ้าพุ่งไปตามแนวแสงอาทิตย์
หวังเอ้อรู้สึกถึงอันตราย แต่เพียงเมื่อเขาหันหน้าไปรอบๆ เขาก็พบกับดาบแสงจันทร์ที่กำลังบินตรงเข้ามาในระยะกระชั้นชิด
“พี่ใหญ่หวัง ระวัง!”
“หลบมัน!”
นักล่าสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอุทานด้วยความตกใจ
แสงแดดที่ส่องลงบนใบหน้าของพวกเขาราวกับหยุดนิ่ง สรรพเสียงรอบข้างเลือนหายทำให้โลกเงียบสงัด
ดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอาบย้อมฉากหลังให้ขาวโพลน
หวังเอ้อพยายามก้มศีรษะลงเพื่อหลบเลี่ยงดาบแสงจันทร์
เงาสีดำมืดของหวังเอ้อร่วงลงอย่างราบรื่นหลังจากดาบแสงจันทร์เคลื่อนผ่าน
เขาปลอดภัย?
“โอ้?” เมื่อเห็นเช่นนั้นนักล่าหนุ่มจึงส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความโล่งอก
“เขาหลบมันได้” นักล่าอีกคนกล่าวยกย่อง
แต่ทันใดนั้น...
ศีรษะของเงาสีดำกลับบินออกมาจากร่างพร้อมกับของเหลวสีแดงเลือดที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ดาบแสงจันทร์ค่อยๆเลือนหายไปกลางอากาศ
เงามืดสองสายหล่นลงสู่พื้นราวกับใบไม้ร่วง
ดวงตาของนักล่าทั้งสองเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ขณะที่ของเหลวสีแดงสาดกระเซ็นลงบนใบหน้าของพวกเขา
ทั้งคู่สัมผัสใบหน้าของตนเองอย่างโง่งมก่อนที่จะพบว่า...
มันคือเลือด!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที
ในการรับรู้ของพวกเขา เวลาเริ่มเดินอีกครั้ง เสียงต่างๆดังขึ้นอีกหน
นกร้อง น้ำไหล และเสียงโหยหวนแห่งความทุกข์ทรมานของสหายนักล่าที่ถูกตัดแขนขา
“พี่ใหญ่หวัง...” นักล่าเปิดปากกล่าวอย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เขาตายแล้ว!” นักล่าอีกคนกรีดร้องออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“พี่ใหญ่หวังเป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่นานมานี้เขายังพูดคุยอยู่กับพวกเรา...”
“เขาไม่ควรยั่วยุผู้ใช้วิญญาณ พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา พวกเราไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้ใช้วิญญาณ!”
นักล่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนหน้าเพื่อหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้ เขาบิดร่างกายในท่วงท่าที่ผิดปกติขณะเดียวกันก็ยิงดาบแสงจันทร์ออกไป ดังนั้นมันจึงทำให้เขาเสียสมดุลและล้มลงบนพื้น อย่างไรก็ตามหมัดของหวังเอ้อยังเฉียดร่างของเขาไปและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งหมดก็คือเขาไม่มีวิญญาณที่ใช้ในการป้องกันตัว ร่างกายของเขาไม่ต่างเด็กหนุ่มอายุสิบห้าธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขากลับยืนขึ้นและแสดงออกราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆ
‘หวังเอ้อผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเกาเหวิน หากเป็นเด็กคนอื่นที่เผชิญหน้ากับเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ใช้วิญญาณฝึกหัดเหล่านั้นต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน’ ฟางหยวนมองซากศพของหวังเอ้ออย่างลึกซึ้งและรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย
ผู้ใช้วิญญาณสามารถถูกเข่มเหงโดยนักสู้มากประสบการณ์และพรสวรรค์
ชัดเจนว่าหวังเอ้อผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา
ทักษะการใช้ธนูของเขารวดเร็วและมั่นคง ในความเป็นจริงดาบแสงจันทร์ยังถือว่าด้อยกว่าลูกศร นอกจากนั้นฝีมือของหวังเอ้อยังบรรลุถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ธรรมดา เขามีร่างกายที่แข็งแรงและกระดูกที่แข็งแกร่ง เขายังมีบุคลิกที่ไร้ปรานี หากเปรียบเทียบ ร่างกายเล็กๆของฟางหยวนไม่ถือเป็นสิ่งใดสำหรับคนผู้นี้
หากเป็นเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ พวกเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อย่างไรก็ตามมันเป็นคราวเคราะห์ของหวังเอ้อที่ต้องมาพบกับฟางหยวน
ตั้งแต่แรกฟางหยวนสังเกตเห็นคันธนูของหวังเอ้อและอนุมานได้ว่าตนเองไม่สามารถต่อสู้ระยะไกลกับหวังเอ้อ
ดาบแสงจันทร์มีระยะการโจมตีเพียงสิบเมตรขณะที่ธนูมีระยะการโจมตีที่ไกลกว่า
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงเร่งลดระยะทางและแสดงออกราวกับว่าต้องการต่อสู้ระยะประชิด
ในเวลานั้นหวังเอ้อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายเข้าต่อสู้
แต่ในความเป็นจริงฟางหยวนไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ระยะประชิดกับหวังเอ้อ เขาอาศัยแสงอาทิตย์เพื่อปิดบังวิสัยทัศน์ของศัตรูก่อนจะยิงดาบแสงจันทร์ออกไป
ตอนนี้เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณสุรา มันทำให้พลังอำนาจของดาบแสงจันทร์ก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูง ในระยะประชิดที่หวังเอ้อไม่สามารถมองเห็น ความพ่ายแพ้ของเขาจึงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
‘แต่หวังเอ้อผู้นี้ยังถือยอดเยี่ยม ในช่วงเวลาสำคัญเขาสามารถใช้สัญชาตญาณเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของข้า’
‘อย่างไรก็ตามชีวิตและความตายเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนี ทุกคนมีโอกาสที่จะอยู่รอดและถูกฆ่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือผู้ต่ำต้อย ความตายของมนุษย์ก็ไม่ต่างจากความตายของหมู’