เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 58 ตระกูลไม่ได้มีเพียงกฎและระเบียบ (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 58 ตระกูลไม่ได้มีเพียงกฎและระเบียบ
แปลโดย iPAT
“ท่านผู้นำ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใด?” อาจารย์อาวุโสเอ่ยถาม
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นั่งลงก่อน ข้ามีเรื่องพูดคุยกับเจ้าเล็กน้อย” อวี๋โป้กล่าวอย่างช้าๆ
“ผู้น้อยกำลังฟังอยู่” หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ อาจารย์อาวุโสจึงเปิดปากถามอีกครั้ง
ผู้นำตระกูลเริ่มต้นด้วยตำนานของมนุษย์คนแรก
ตำนานกล่าวว่า...
หลังจากมนุษย์คนแรกได้รับวิญญาณกฎและวิญญาณระเบียบ คำสั่งแรกของเขาคือการจับกุมวิญญาณอายุยืน
ด้วยพลังอำนาจของกฎระเบียบ การจับวิญญาณทั้งหมดบนโลกใบนี้กลายเป็นเรื่องง่ายดาย
เมื่อมนุษย์คนแรกได้รับวิญญาณอายุยืนและกลับคืนสู่ช่วงอายุยี่สิบปีอีกครั้ง วิญญาณกฎจึงกล่าวว่า “มนุษย์ พวกเราจับวิญญาณอายุยืนมาให้กับเจ้าแล้ว นี่เป็นคำสั่งแรก แต่กฎระเบียบใหม่ของพวกเราคือพวกเราจะไม่จับวิญญาณชนิดเดิมให้เจ้า”
ความหมายก็คือหากมนุษย์คนแรกต้องการจับวิญญาณอายุยืนอีกครั้ง พวกมันจะไม่ให้ความช่วยเหลือ
มนุษย์คนแรกพยักหน้าและต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นเขาจึงออกคำสั่งที่สอง “จงนำวิญญาณอีกล้านชนิดบนโลกใบนี้มาให้กับข้า”
เมื่อได้รับคำสั่ง วิญญาณกฎพลันขยายร่างเป็นวงกลมขนาดมหึมาราวกับสามารถโอบอุ้มโลกเอาไว้ทั้งใบ ด้านวิญญาณระเบียบ มันกลายเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาดใหญ่ราวกับสามารถกักขังโลกเอาไว้ทั้งหมด
หนึ่งวงกลม หนึ่งสี่เหลี่ยม พวกมันผสานกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่สามารถจับกุมโลกหล้าเอาไว้ทั้งหมด
เมื่อพวกมันหดตัวลงมาอีกครั้ง วิญญาณทุกชนิดที่อยู่บนโลกใบนี้นอกจากวิญญาณอายุยืนก็ถูกจับมาให้กับมนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกรู้สึกมีความสุขมาก เขาคิดว่าเมื่อเขาได้รับวิญญาณทั้งหมด เขาจะกลายเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเปิดตาข่ายออก วิญญาณจำนวนมากกลับพยายามหลบหนีอย่างสุดกำลัง สุดท้ายเมื่อเขาปิดตาข่ายลง มันเหลือวิญญาณเพียงห้าดวงเท่านั้น
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” มนุษย์คนแรกประหลาดใจ
วิญญาณกฎระเบียบตอบ “โลกใบนี้มีวิญญาณนับล้านชนิดที่มีความสามารถแตกต่างกัน เจ้าปราศจากทั้งความแข็งแกร่งและความสติปัญญา แล้วเจ้าจะกำหราบพวกมันได้อย่างไร พวกเรามีหน้าที่เพียงจับพวกมันมา แต่เจ้าต้องพึ่งพาตนเองในการทำงานร่วมกับพวกมัน”
พวกมันกล่าวต่อ “นี่เป็นคำสั่งที่สอง ดังนั้นพวกเราจะเพิ่มกฎและระเบียบที่สองเข้าไป จากนี้พวกเราสามารถจับวิญญาณเพียงดวงเดียวในแต่ละครั้ง”
มนุษย์คนแรกทำได้เพียงพยักหน้าก่อนจะค่อยๆเปิดตาข่ายอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
ท่ามกลางวิญญาณห้าดวงที่ยังเหลืออยู่ สองในห้าคือวิญญาณความแข็งแกร่งและวิญญาณสติปัญญา เมื่อเห็นวิญญาณสองดวงนี้ มนุษย์คนแรกรู้สึกมีความสุขมาก
เขากล่าวกับวิญญาณความแข็งแกร่ง “วิญญาณความแข็งแกร่ง เจ้าทิ้งข้าไป เจ้ารู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่? หากเจ้ายอมจำนวนต่อข้าในเวลานี้ ข้าจะมอบอิสรภาพคืนให้เจ้า”
วิญญาณความแข็งแกร่งตอบ “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่จากไปไม่ใช่เพราะข้าไม่สามารถ แต่เพราะข้าต้องการอยู่ เจ้าต้องการกำหราบข้า นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะข้าจะยอมจำนนต่อบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้น เจ้าไม่สามารถแข็งแกร่งกว่าข้า อย่างไรก็ตามพวกเราสามารถทำงานร่วมกันอีกครั้ง มอบความเยาว์วัยของเจ้าให้กับข้า แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยความแข็งแกร่ง”
มนุษย์คนแรกลังเลเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาพึ่งได้รับความเยาว์วัยกลับคืนมา แล้วเขาจะทิ้งมันไปง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่เขาต้องการความแข็งแกร่ง เขารู้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น นอกจากนี้ความแข็งแกร่งยังทำให้เขาสามารถปราบปรามวิญญาณดวงอื่นๆ
ดังนั้นมนุษย์คนแรกจึงตัดสินใจทำสัญญากับมัน
หลังจากนั้นมนุษย์คนแรกก็กลายเป็นชายวัยกลางคน ขณะที่วิญญาณความแข็งแกร่งลอยมาเกาะอยู่บนไหล่ของเขา
เมื่อมนุษย์คนแรกได้รับความแข็งแกร่ง เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขากล่าวกับวิญญาณสติปัญญา “วิญญาณสติปัญญา เจ้าทิ้งข้าไป เจ้ารู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่? หากเจ้ายอมจำนวนต่อข้าในเวลานี้ ข้าจะมอบอิสรภาพคืนให้เจ้า”
วิญญาณสติปัญญาตอบ “เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่จากไปไม่ใช่เพราะข้าไม่สามารถ แต่เพราะข้าต้องการอยู่ เจ้าต้องการกำหราบข้า นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะข้าจะยอมจำนนต่อบุคคลที่มีสติปัญญาเหนือกว่าข้าเท่านั้น เจ้าไม่สามารถฉลาดกว่าข้า อย่างไรก็ตามพวกเราสามารถทำงานร่วมกันอีกครั้ง มอบวัยกลางคนของเจ้าให้กับข้า แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยสติปัญญา”
เมื่อมนุษย์คนแรกได้ยินสิ่งนี้ เขาปฏิเสธทันที
เขารักชีวิตของตนเองมากขึ้น เขารู้แล้วว่าหากเขามอบวัยกลางคนให้กับวิญญาณสติปัญญา เขาจะเหลือเพียงวัยชรา เมื่อเวลานั้นมาถึงวิญญาณความแข็งแกร่งและวิญญาณสติปัญญาจะทิ้งเขาไปอีกครั้ง
มนุษย์คนแรกปฏิเสธข้อเสนอแต่เขายังไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ
วิญญาณสติปัญญาเริ่มกังวล “เอาล่ะ เจ้าชนะ ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าในครานี้ ตราบเท่าที่เจ้าบอกวิธีการที่ใช้จับข้า ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์และจะไม่ร้องขอสิ่งตอบแทนใดๆ แน่นอนว่าข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปอีกหลังจากนี้”
เมื่อมนุษย์คนแรกได้ยินเช่นนี้ เขารู้สึกมีความสุขมาก เขาเร่งตอบก่อนที่วิญญาณกฎระเบียบจะสามารถห้ามปราบเขา “ข้าใช้วิญญาณกฎระเบียบในการจับเจ้า”
วิญญาณสติปัญญาหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้าจำได้แล้ว วิญญาณเหล่านี้มีชื่อว่ากฎและระเบียบ ฮ่าฮ่าฮ่า เมื่อข้ารู้ชื่อพวกมัน เจ้าก็ไม่สามารถจับข้าได้อีก”
หลังกล่าวจบคำ วิญญาณสติปัญญาก็บินจากไปอย่างรวดเร็ว
วิญญาณกฎระเบียบตำหนิ “ฮืม พวกเราเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าควรเป็นผู้เดียวที่รู้จักชื่อของพวกเรา มิฉะนั้นพวกเราจะถูกใช้โดยผู้อื่น ดูว่าตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อวิญญาณสติปัญญารู้จักชื่อของพวกเรา มันจึงสร้างปัญหาขึ้น”
มนุษย์คนแรกรู้สึกเสียใจเมื่อรู้ว่าถูกหลอกโดยวิญญาณสติปัญญาเพราะตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วิญญาณกฎระเบียบจับมันมาได้อีก
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้อวี๋โป้ก็เงียบเสียงลง เขามองอาจารย์อาวุโสอย่างมีความหมาย
อาจารย์อาวุโสผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเคยได้ยินตำนานเรื่องนี้มาแล้ว แต่เมื่อมันหลุดออกมาจากปากของอวี๋โป้ มันจึงมีความหมายมากกว่า
ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้น เขาเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนกล่าว “ท่านผู้นำ ท่านเปรียบเทียบฟางหยวนเป็นวิญญาณสติปัญญาและตระกูลเป็นมนุษย์คนแรก แม้มนุษย์คนแรกจะสามารถใช้วิญญาณกฏระเบียบจับวิญญาณสติปัญญามาได้ แต่สุดท้ายวิญญาณสติปัญญายังสามารถหลบหนีได้ในที่สุด”
อาจารย์อาวุโสหยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ “ท่านผู้นำ ท่านต้องการให้ข้าปล่อยฟางหยวนไปและหยุดกดดันเขาใช่หรือไม่? แต่เราจะควบคุมเขาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ”
อวี๋โป้ยกมือขึ้นหยุดอาจารย์อาวุโสก่อนจะบอกให้เขานั่งลง
หลังจากอาจารย์อาวุโสนั่งลง อวี๋โป้ถอนหายใจก่อนกล่าว “ความเข้าใจของเจ้ายังยอดเยี่ยมเช่นเคย เจ้าฉลาดและเข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่มุมมองของเจ้ายังคับแคบเกินไป ให้ข้าบอกเจ้า สถานศึกษาเป็นเพียงส่วนเล็กๆขณะที่ตระกูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องใด เจ้าเกรงว่าศิษย์คนอื่นๆจะถูกกดดันอย่างหนักโดยฟางหยวนจนสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้” อวี๋โป้เผยรอยยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะก่อนจะชี้นิ้วไปยังอาจารย์อาวุโส “เจ้าคิดมากเกินไป!”
“เจ้าคิดว่าตระกูลกำลังทำสิ่งใด? พวกเราสามารถพึ่งพาเพียงสถานศึกษาเพื่อสร้างคนใหม่งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่! เบื้องหลังเด็กทุกคนมีครอบครัว ผู้อาวุโส และสหาย คนเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนและให้กำลังใจพวกเขาเพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจและชักนำพวกเขาเข้าสู่ตระกูลในที่สุด”
“ฟางหยวนทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาซ่อนความโดดเด่นบางอย่างเอาไว้ อย่างไรก็ตามข้ากำลังจับตามองฟางเจิ้ง ข้ารู้มานานแล้วเกี่ยวกับการกรรโชกทรัพย์ของฟางหยวน แต่ข้าไม่สนใจ ปล่อยเขาทำไป มันจะเป็นการขัดเกลาฟางเจิ้ง โม่เป่ย และซื่อเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยทักษะการต่อสู้โดยเฉลี่ยของศิษย์ทั้งหมดก็สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมา”
อาจารย์อาวุโสรู้สึกกังวล “แต่ท่านผู้นำ อุปสรรคที่มากเกินไปอาจไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด มันสามารถบดขยี้พวกเขาเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อฟางหยวนมีวิญญาณสุรา ด้วยการคงอยู่ของมัน ข้าเกรงว่าในช่วงเวลานี้จะไม่มีศิษย์คนใดสามารถพลิกสถานการณ์ได้”
“แล้วจะเป็นอย่างไรหากพวกเขาไม่สามารถพลิกสถานการณ์นี้?” อวี๋โป้ใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงพลังอำนาจ “ความพ่ายแพ้เล็กๆน้อยๆจะถือเป็นสิ่งใด? มันน่ากลัวมากกว่าความตายงั้นหรือ? ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวของพวกเขา หากพวกเขายังขาดความมั่นใจ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่หยกเนื้อดีและไม่มีค่าต่อตระกูล นอกจากนั้นตระกูลยังนำศิษย์ใหม่จำนวนมากเข้าสู่สถานศึกษาทุกปี หากครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเรายังมีรุ่นต่อไป สำหรับฟางเจิ้ง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะสั่งสอนเขาเป็นการส่วนตัว”
“ฟางเจิ้งช่างโชคดีนักที่ได้ท่านผู้นำสั่งสอนเป็นการส่วนตัว” อาจารย์อาวุโสเร่งประจบประแจง
การแสดงออกของอวี๋โป้กลายเป็นอ่อนลงก่อนกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าฟางหยวนทำให้เจ้ารู้สึกอับอายและเสียศักดิ์ศรี แต่เจ้าควรคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้เยาว์เท่านั้น”
“ข้ารู้ว่าฟางหยวนมีสติปัญญามานานแล้ว แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มเลือดร้อน มิฉะนั้นเขาจะไม่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ในที่สาธารณะและทำให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาเคยถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะก่อนจะถูกละทิ้ง เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจตระกูล ตอนนี้เขากลับมาอีกครั้งด้วยความโกรธและต้องการตอบโต้”
“แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย จากวิธีการที่เขาพยายามปกปิดวิญญาณสุรา มันบ่งบอกว่าเขายังไร้เดียงสา เขาอาจมีความฉลาดอยู่บ้างแต่เขายังขาดความรู้และประสบการณ์ หากเขาซ่อนความจริงที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นกลางหรือรับตำแหน่งหัวหน้าชั้นโดยไร้การต่อต้าน นั่นจึงจะเรียกว่าแผนการที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง”
“ท่านผู้นำ ความหมายของท่านคือ?” อาจารย์อาวุโสขมวดคิ้ว
“ข้าพยายามจะกล่าวสิ่งใดงั้นหรือ? ฟางหยวนไม่พอใจตระกูล ดังนั้นเพียงปล่อยให้เขาระบายความโกรธออกมา หากมดต้องการกัดคชสาร แล้วคชสารจำเป็นต้องสนใจหรือไม่? เมื่ออารมณ์ถูกปลดปล่อยออกมา มันจะไม่สะสมอยู่ภายใน วันหนึ่งเมื่อเขาปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น เขาจะผสานตัวเข้ากับตระกูลอย่างเป็นธรรมชาติในที่สุด ตระกูลแสงจันทร์ของเราคงอยู่มานับพันปี มีผู้คนมากมายที่ไม่พอใจตระกูล แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาสามารถล้มล้างตระกูลได้หรือไม่?”
“ตระกูลไม่ได้มีเพียงกฎและระเบียบ พวกเรายังมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดและความเป็นญาติพี่น้อง กฎระเบียบเป็นสิ่งตายตัว แต่มนุษย์มีชีวิตและหัวใจ หากเจ้ารู้เพียงวิธีการใช้กฎระเบียบเพื่อจับกุมมนุษย์ มันจะเป็นแค่การเพิ่มความไม่พอใจให้กับฟางหยวนและทำให้เขายิ่งต่อต้านตระกูลมากขึ้นไปอีกเท่านั้น ฟางหยวนมีพรสวรรค์นภาที่สาม หากเขาโชคดี หลังจากสิบปี เขาอาจสามารถเป็นผู้อาวุโสระดับล่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นพี่ชายฝาแฝดของฟางเจิ้ง ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ด้วยคำกล่าวประโยคสุดท้ายของผู้นำตระกูล อาจารย์อาวุโสจึงเข้าใจเรื่องราวได้ในที่สุด
“อืม หากตระกูลมีเพียงกฎและระเบียบ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ตายแล้ว หากเจ้าเพิ่มความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้าไป มันก็จะมีชีวิต!” อวี๋โป้พยักหน้า “มีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำเอาไว้”
“ท่านผู้นำโปรดชี้แนะ”
อวี๋โป้มองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า “มหาสมุทรสามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำนับพันสาย มันยิ่งใหญ่เพราะมันมีความจุ บุคคลจะยิ่งใหญ่เมื่อพวกเขาสามารถอดทนและให้อภัยต่อผู้คน จดจำเอาไว้ ไปได้”
“ทราบแล้ว ท่านผู้นำ ผู้น้อยขอลา” หลังกล่าวจบคำ อาจารย์อาวุโสก็เดินจากไป