เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 49 เส้นทางแห่งความอยู่รอดของตระกูล (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 49 เส้นทางแห่งความอยู่รอดของตระกูล
แปลโดย iPAT
ดวงตาที่เคร่งขรึมมองไปยังสถานที่ห่างไกล
อาจารย์อาวุโสยืนอยู่ที่ขอบหน้าต่างชั้นสามและมองไปยังชั้นเรียนศิลปะการต่อสู้พร้อมกับคิ้วที่ขมวดแน่น
เห็นฟางหยวนเดินออกมาจากสนามประลอง อาจารย์อาวุโสรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น
‘เด็กหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างจัดการได้ยาก เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกฎระเบียบของสถานศึกษาและไม่ได้ทำผิดกฎใดๆ แม้เขาจะนอนหลับในชั้นเรียน แต่เมื่ออาจารย์ผู้สอนถามคำถาม เขากลับสามารถตอบได้อย่างถูกต้อง ตอนนี้เขาไม่ยินดีเผยจุดอ่อนออกมาเพราะต้องการครอบงำความคิดของเด็กคนอื่นๆ’
อาจารย์อาวุโสเริ่มรู้สึกรังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย ในฐานะอาจารย์ เขาย่อมชื่นชอบศิษย์ที่ฉลาดและเชื่อฟัง สำหรับศิษย์ที่ซุกซนและไม่ปฏิบัติตามความต้องการของเขา แน่นอนว่าเขาไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามอาจารย์อาวุโสมีประสบการณ์การสอนมาอย่างยาวนาน เขาพบเจอศิษย์มาแล้วทุกรูปแบบ ทั้งเชื่อฟังหรือสร้างปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ‘ในฐานะอาจารย์ ข้าต้องปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคนอย่างเป็นธรรม’ นี่คือวลีที่เขาคิดและเขียนติดไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
เขาไม่เคยรู้สึกรังเกียจศิษย์ แม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง อาจารย์อาวุโสก็จะลบมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
หลายปีที่ผ่านมา แม้ศิษย์จะเกเรมากเพียงใด เขาก็สามารถจัดการได้ด้วยความอดทนและหัวใจที่กว้างขวาง อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพบกับฟางหยวน เขากลับสูญเสียความเป็นธรรมของตนเองไป?
เขาคิดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะตระหนักถึงเหตุผล
เด็กหนุ่มฟางหยวนมีความยโสอยู่ในสายเลือด!
ฟางหยวนไม่เคารพอาจารย์ผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ นอกจากไม่เชื่อฟัง เขากระทั่งตำหนิอาจารย์ต่อหน้าทุกคน
หลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีเด็กบางคนโต้เถียงอาจารย์ แต่ลึกลงไปเด็กเหล่านั้นยังมีความรู้สึกว้าวุ่นใจ พวกเขาเพียงต้องการต่อต้าน โกรธ หรือปากไม่ตรงกับใจเท่านั้น
แต่ฟางหยวนแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่มีความกลัวอยู่ในหัวใจราวกับเขาสามารถมองทะลุทุกสิ่ง
เขาไม่เชื่อฟังอาจารย์ ตำหนิอาจารย์ และทำตัวราวกับมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ
กล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น
เขาไม่กลัว!
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์อาวุโสรู้สึกไม่พอใจและหงุดหงิด
เดิมทีอาจารย์อาวุโสสามารถอดทนต่อศิษย์เกเรในปีก่อนหน้าได้เนื่องจากเด็กเหล่านั้นยังมีความเกรงกลัวอยู่ในจิตใจ
ตราบเท่าที่พวกเขามีความเกรงกลัว อาจารย์อาวุโสยังสามารถรับมือได้
แต่สำหรับฟางหยวน
เขาเยือกเย็นและไม่ยำเกรงผู้ใดทั้งสิ้น
เขาไม่มีความเคารพต่อผู้อื่น!
สำหรับบางคนที่ไม่เคารพตระกูล พวกเขาจะไม่แยแสและไม่สร้างประโยชน์ให้กับตระกูลในอนาคต
‘เมื่อคนประเภทนี้ปรากฏขึ้น พวกเขาต้องถูกกำหราบ มิฉะนั้นการดำรงอยู่ของพวกเขาจะสร้างเงามืดขึ้นในหัวใจของคนอื่นๆ ในระยะยาวมันจะทำให้คนอื่นๆคล้อยตามและไม่เคารพอาจารย์เช่นเดียวกับเขา แล้วต่อไปอาจารย์จะดูแลศิษย์ในสถานศึกษาได้อย่างไร?’
อาจารย์อาวุโสตัดสินใจแล้ว แต่พริบตาต่อมาใบหน้าของเขากลับแสดงออกด้วยความรู้สึกลำบากใจมากขึ้น
เขาจะกำหราบฟางหยวนอย่างไร?
ฟางหยวนไม่ได้ทำสิ่งใดผิดและไม่ได้เปิดเผยจุดอ่อนที่เขาสามารถใช้ประโยชน์ออกมา
ความฉลาดแกมโกงของฟางหยวนทำให้อาจารย์อาวุโสรู้สึกจนปัญญา เขาไม่เคยเห็นศิษย์ที่คุ้นเคยกับกฎระเบียบมากเท่ากับฟางหยวนมาก่อน
‘ดูเหมือนว่าการกำหราบฟางหยวนต้องรอไปก่อน จนกว่าศิษย์คนอื่นๆจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตระดับหนึ่งขั้นกลาง’
ความก้าวหน้าส่วนใหญ่ของผู้ใช้วิญญาณมาจากพรสวรรค์ของพวกเขา
ด้วยประสบการณ์ของอาจารย์อาวุโส เขามั่นใจว่าผู้ที่สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วที่สุดก็คือฟางเจิ้ง โม่เป่ย และซื่อเฉิน
พวกเขามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งและนภาที่สอง นอกจากนี้พวกเขายังมีครอบครัวให้การสนับสนุนและไม่ขาดแคลนหินวิญญาณ ดังนั้นในความคิดเห็นของอาจารย์อาวุโส หนึ่งในสามคนนี้จะต้องเป็นคนแรกที่จะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางอย่างแน่นอน
‘ฟางเจิ้ง โม่เป่ย และซื่อเฉิน ทั้งสามคนเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังของตระกูลในปีนี้’ อาจารย์อาวุโสยังมองไปที่สนามประลอง
ในสายตาของอาจารย์อาวุโส เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าศิษย์ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามฝ่าย มันถูกแบ่งตามเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังทั้งสาม
‘นี่คือเหตุผลที่ต้องปล่อยให้เด็กๆต่อสู้กัน’ เมื่อเห็นเด็กแยกออกเป็นสามฝ่าย อาจารย์อาวุโสหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
การอนุญาตให้ศิษย์ต่อสู้กันได้อย่างอิสระ ไม่เพียงเป็นการสร้างผู้นำที่โดดเด่น แต่คนอื่นๆยังสามารถเลือกฝ่ายได้ตามบุคลิกของผู้นำเหล่านั้น
ในปีก่อนหน้า อาจารย์อาวุโสต้องรอจนถึงสิ้นปีก่อนที่เหตุการณ์จะพัฒนามาถึงจุดนี้ แต่มันเป็นเพียงเพราะการปรากฏตัวของฟางหยวนที่กระตุ้นให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ
ฟางหยวนเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าต่อสู้กับโม่เป่ย ซื่อเฉิน และฟางเจิ้ง
ภายใต้อิทธิพลที่มองไม่เห็น เด็กคนอื่นๆจึงคิดว่าคนทั้งสามคือผู้นำของพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
ตราบเท่าที่ไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น ทั้งสามฝ่ายจะกลายเป็นโครงสร้างใหม่ของตระกูลในอนาคต
‘แต่นี่ยังไม่แน่นอน มันยังสามารถเปลี่ยนแปลงเสมอจนกว่าพวกเขาจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าชั้นและรองหัวหน้าชั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง อำนาจจะเป็นสิ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขา’
แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด นั่นคือฟางหยวน
แม้ฟางหยวนจะกรรโชกทรัพย์ แต่มนุษย์ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นเด็กบางคนจะเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับฟางหยวน
อย่างไรก็ตามพวกเขากลับถูกฟางหยวนปฏิเสธอ สำหรับฟางหยวน มีเพียงคนที่มีประโยชน์กับเขาเท่านั้นที่สามารถเป็นตัวหมากเบี้ยของเขา ชัดเจนว่าเด็กเหล่านี้มีค่าน้อยเกินไป
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาจารย์อาวุโสรู้สึกไม่พอใจ ฟางหยวนต่อต้านสังคมมากเกินไป สำหรับคนลักษณะนี้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับตระกูลที่จะควบคุมเขา
ฟางหยวนยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่มุมๆหนึ่งในสนามฝึกซ้อมด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ การประลองที่เร่าร้อนเบื้องหน้าไม่ทำให้การแสดงออกของเขาเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
เขาแยกตัวออกจากกลุ่มอย่างสิ้นเชิง
‘แต่เขายังเด็ก เขายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้’ อาจารย์อาวุโสมองฟางหยวนด้วยความคาดหวัง
‘ถัดไปคือการแต่งตั้งหัวหน้าชั้นและรองหัวหน้าชั้น เด็กๆจะแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีเกียรติยศและรางวัลต่างๆอีกมากมายเป็นสิ่งกระตุ้น พวกเขาจะแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งและทรัพยากร เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเกิดเป็นมิตรภาพและความสามัคคี ฟางหยวนจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ สุดท้ายตระกูลจะสามารถควบคุมเขา’
อาจารย์อาวุโสเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เด็กเหล่านี้จะค่อยๆถูกล้างสมองด้วยระบบการสอนของตระกูล จากนั้นตระกูลจะปลูกฝังจิตสำนึกของความภักดีให้แก่พวกเขาผ่านเกียรติยศและรางวัลมากมาย
แม้ตำแหน่งหัวหน้าชั้นหรือรองหัวหน้าชั้นอาจดูไม่สำคัญ แต่หากมองลึกเข้าไปในบทบาทเล็กๆนี้ มันก็คือการฝึกฝนให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นผู้นำของตระกูลในภายภาคหน้า
ด้วยระบบดังกล่าว มันจะนำไปสู่ระบบที่ใหญ่ขึ้นไป กระทั่งบางคนที่ต่อต้านสังคมก็จะถูกระบบกลืนกินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลในที่สุด คนที่ไม่มีความภักดีจะถูกปลูกฝังความภักดีเข้าไป คนที่ไร้ความรักและมิตรภาพจะค่อยๆเปิดหัวใจของพวกเขาอย่างช้าๆ
นี่คือพลังของระบบ!
นี่คืออำนาจของกฎ!
นี่คือเส้นทางแห่งความอยู่รอดของตระกูล!