เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 48 น่ารักนิดหน่อย (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 48 น่ารักนิดหน่อย
แปลโดย iPAT
ฝนตกตลอดสี่วันก่อนที่ดวงอาทิตย์จะปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับฤดูร้อนที่มาเยือนในที่สุด
มวลอากาศร้อนทำให้อุณหภูมิบนภูเขาชิงเหมาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในยามค่ำคืนเสียงจิ้งหรีดที่สร้างชีวิตชีวาให้กับฤดูใบไม้ผลิเงียบลงขณะที่พวกมันเริ่มเร้นกายและเตรียมตัววางไข่ ป่าไผ่สีเขียวบนภูเขาชิงเหมาแตกหน่ออ่อนออกมาอย่างบ้าคลั่งและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
หญ้าและพฤกษาพันธุ์สีเขียวมรกตกลายเป็นสีเขียวเข้ม
ท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่สว่างสดใสไปจนสุดสายตา
“ปัง ปัง ปัง”
สนามฝึกซ้อมของสถานศึกษาเต็มไปด้วยเสียงการปะทะของหมัดและเท้า
หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่านับสิบครั้ง ผู้ใช้วิญญาณโม่เป่ยถูกเตะเข้าที่หน้าท้องโดยผู้ใช้วิญญาณฟางหยวนก่อนจะถอยหลังกลับไปห้าหรือหกก้าวและออกนอกสนามประลองทรงกลมที่ถูกวาดเอาไว้บนพื้น
อาจารย์ผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ประเมินสถานการณ์ก่อนประกาศ “ผู้ใช้วิญญาณโม่เป่ยออกนอกสนามประลอง ผู้ใช้วิญญาณฟางหยวนได้รับชัยชนะเป็นครั้งที่สามสิบสามติดต่อกัน”
“ฮืม ข้าแพ้เจ้าอีกหน!” โม่เป่ยกัดฟันมองฟางหยวน “แต่อย่ายโสเกินไป วันหนึ่งข้าจะชนะเจ้า และข้าก็รู้ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”
ฟางหยวนมองโม่เป่ยและกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ “การโจมตีก่อนหน้าทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน ข้าขอแนะนำให้เจ้ารักษาอาการบาดเจ็บเป็นอันดับแรก”
“มันเป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” โม่เป่ยโต้แย้งแต่การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อเลือดไหลทะลักขึ้นมาจากลำคอของเขาก่อนที่เขาจะพยายามกลืนมันกลับลงไปอย่างยากลำบาก
ใบหน้าของเขาซีดลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงระดับนี้ มันจึงช่วยไม่ได้ที่ดวงตาของเขาจะเผยความหวาดกลัวออกมา
อาจารย์ผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้เร่งเข้ามาดูอาการของโม่เป่ย “อย่ากังวล อาการบาดเจ็บเช่นนี้เพียงพักผ่อนสักสองสามวันก็จะดีขึ้น แต่เจ้าต้องหยุดการฝึกซ้อมทั้งหมดในช่วงเวลานี้”
โม่เป่ยไม่ได้กล่าวสิ่งใดแต่ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ทั้งโกรธ เกลียด ผิดหวัง และชิงชัง
“โม่เป่ยมีทักษะที่ดี แต่เขายังไม่สามารถเอาชนะฟางหยวน”
“ฟางหยวนน่ากลัวเกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้”
“โม่เป่ยถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือด ข้าไม่ต้องการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเช่นนี้”
“แต่อาจารย์บอกว่าวันนี้ทุกคนจะต้องฝึกฝนการต่อสู้แบบตัวต่อตัวในสนามประลอง ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น”
ศิษย์ทุกคนมองฟางหยวนที่ยืนอยู่กลางสนามประลองด้วยความหวาดกลัว บางคนถอนหายใจ บางคนหน้าซีด บางคนรู้สึกลำบากใจที่จะต่อสู้กับเขา
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดเสนอตัวท้าทาย อาจารย์ผู้ฝึกสอนจึงตะโกน “คนต่อไป!”
แต่ไม่มีเสียงตอบรับ โดยปกติผู้ที่กล้าท้าทายฟางหยวนมีเพียงโม่เป่ย ซื่อเฉิน และฟางเจิ้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามเวลานี้ทั้งสามพ่ายแพ้ฟางหยวนไปแล้ว
ความเงียบเข้าปกคลุมสนามฝึกซ้อม อาจารย์ผู้ฝึกสอนขมวดคิ้วขณะที่กวาดตามองศิษย์ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นั่นทำให้อาจารย์ผู้ฝึกสอนคิดถึงคำกล่าวของอาจารย์อาวุโส ‘ฟางหยวนโดดเด่นเกินไป หากพวกเราไม่กำหราบเขาบ้าง ศิษย์คนอื่นๆจะไม่สามารถเงยศีรษะขึ้นภายใต้แรงกดดันนี้ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หัวใจของพวกเขาจะถูกกัดกินด้วยความหวาดกลัว แต่สถานศึกษาของเราเป็นสถานที่ที่บ่มเพาะพยัคฆ์และหมาป่าที่กล้าหาญเพื่อต่อสู้กับศัตรู ไม่ใช่ลูกแกะขี้ขลาด!’
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเจ้า!? ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ฟางหยวนก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้า เขาเป็นสหายร่วมชั้นเรียนของพวกเจ้า อายุเท่ากัน กินดื่มร่วมกัน เขาไม่ได้มีสามเศียรสิบกร ไม่ใช่สัตว์ประหลาด ดังนั้นจงแสดงความกล้าหาญของพวกเจ้าออกมาและแสดงให้ข้าเห็นถึงความภาคภูมิใจของตระกูลแสงจันทร์ในตัวของพวกเจ้า!” อาจารย์ผู้ฝึกสอนตะโกนเสียงดังเพื่อกระตุ้นศิษย์
“แต่เขาแข็งแกร่งเกินไป พวกเราไม่สามารถเอาชนะเขา”
“แม้จะเป็นสหายร่วมชั้นเรียน แต่เขาก็ทำร้ายโม่เป่ยจนกระอักเลือด”
“ฟางหยวนโหดร้ายเกินไป พวกเราไม่กล้าต่อสู้กับเขา”
อาจารย์ผู้ฝึกสอนยิ่งโกรธเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
แม้ฟางหยวนจะชนะสามสิบสามรอบติดต่อกัน แต่อาจารย์ผู้ฝึกสอนตระหนักว่าตอนนี้ฟางหยวนหมดแรงแล้ว
หากบางคนพยายามอย่างหนัก ฟางหยวนจะเผยจุดอ่อนและทำให้ขาพ่ายแพ้ในที่สุด
แต่เวลานี้ศิษย์คนอื่นๆกลับหวาดกลัวและไม่มีผู้ใดกล้าเผชิญหน้ากับเขาอีก
บางครั้งสิ่งที่ทำให้ผู้คนพ่ายแพ้ไม่ใช่ศัตรูที่แข็งแกร่งแต่เป็นหัวใจของพวกเขาเอง
อาจารย์ผู้ฝึกสอนกระตุ้นศิษย์ของเขาต่อไป แต่มันยังไร้ประโยชน์ นี่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางและหันไปทางฟางหหยวนด้วยความไม่สบายใจ “ฟางหยวน เจ้าควรอ่อนโยนต่อสหายบ้าง การโจมตีของเจ้าทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกระอักเลือด เช่นนั้นข้าจะปรับให้เจ้าแพ้ ออกไปจากสนามประลองได้”
“ท่านอาจารย์ ท่านผิดแล้ว”
ฟางหยวนกล่าวเสียงเรียบโดยปราศจากความเกรงกลัว “ในการฝึกฝนการต่อสู้ พวกเราควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายของการฝึกฝนมิใช่หรือ? อย่าบอกข้าว่าในการต่อสู้จริง พวกเราต้องอ่อนโยนต่อศัตรูที่อยู่ตรงหน้า?”
อาจารย์ผู้ฝึกสอนยิ่งโกรธเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ฮืม เจ้าโจมตีสหายของเจ้าอย่างรุนแรง แล้วยังกล้าใช้ตรรกะที่บิดเบี้ยวอีกงั้นหรือ?”
“ท่านผิดอีกแล้ว”
ฟางหยวนหัวเราะ “ท่านจัดให้มีการประลองทักษะการต่อสู้โดยมีรางวัลเป็นหินวิญญาณยี่สิบก้อน หากปราศจากการปลุกปั่นจากท่าน พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ?”
“เจ้า!” อาจารย์ผู้ฝึกสอนชี้นิ้วที่ยังฟางหยวนด้วยความโกรธและเย้ยหยัน “เจ้ายังต้องการรางวัลหรือไม่? หากเจ้ายังโต้เถียงต่อไป แม้เจ้าจะได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะประกาศให้เจ้าแพ้ เจ้าไม่ให้ความร่วมมือและยังกล้าโต้เถียงอาจารย์เพื่ออ้างสิทธิรับรางวัลอีกงั้นหรือ?”
ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “หินวิญญาณเพียงยี่สิบก้อน ท่านคิดว่าข้าต้องการมันมากงั้นหรือ?”
หลังกล่าวจบคำ ฟางหยวนก็เดินออกจากสนามประลองทันที
แม้ฟางหยวนจะไม่สามารถขายภาพเหตุการณ์ในอดีตของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ เขาก็ยังมีหินวิญญาณเหลืออยู่อีกมาก นอกจากนั้นเป้าหมายในเวลานี้ของเขาไม่ใช่หินวิญญาณ
“เจ้า!” เห็นฟางหยวนเดินออกจากสนามประลอง อาจารย์ผู้ฝึกสอนรู้สึกตกตะลึงและสับสน
เดิมทีอาจารย์ผู้ฝึกสอนตั้งใจยั่วยุให้ฟางหยวนต่อสู้ก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้เนื่องจากความเหนื่อยล้า นี่เป็นแผนการกำหราบความมั่นใจของฟางหยวนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับศิษย์คนอื่นๆ
แต่ฟางหยวนกลับไม่ตกลงสู่กับดักที่เขาวางไว้ ดังนั้นอาจารย์ผู้ฝึกสอนจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
‘พลังของข้าหมดแล้ว’ ฟางหยวนลอบถอนหายใจ แม้ภายนอกเขาจะแสดงออกราวกับไม่แยแส แต่แท้จริงแล้วร่างกายภายใต้อาภรณ์ของเขากลับสั่นสะท้านด้วยความเหนื่อยล้า
แม้เขาจะมีประสบการณ์มากมายในการต่อสู้จากชีวิตก่อนหน้า แต่ไม่สามารถปฏิเสธว่าร่างกายของเขาในเวลานี้เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้า นอกจากนั้นความสามารถของเด็กคนอื่นๆก็พัฒนาขึ้นทุกวันและกลายเป็นแรงกดดันต่อฟางหยวน
แรงกดดันนี้เห็นได้ชัดจากการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้นของเขา ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าอย่างรวดเร็ว
‘ประสบการณ์ไม่ใช่ทุกสิ่ง ในการต่อสู้ ไม่ว่าทักษะใดล้วนพึ่งพาร่างกายเป็นรากฐานสำคัญ’ ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ฟางหยวนไม่ประหลาดใจที่อาจารย์อาวุโสกดดันเขา หลังจากทั้งหมดตั้งแต่เขาฆ่าเกาเหวิน เด็กคนอื่นๆก็ไม่กล้าต่อต้านเขาอีก
เมื่อเวลาผ่านไปภาพที่ไม่สามารถเอาชนะได้ของฟางหยวนจะถูกฝังลึกอยู่ในหัวใจของเด็กเหล่านี้ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์อาวุโสไม่ต้องการเห็น เขาเพียงต้องการใช้ฟางหยวนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กคนอื่นๆพัฒนาตนเองเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้อาจารย์อาวุโสจึงต้องการให้ฟางหยวนพ่ายแพ้
เมื่อฟางหยวนพ่ายแพ้ ภาพที่ไม่สามารถเอาชนะได้ในใจของศิษย์คนอื่นๆจะถูกทำลายลงทันที ขณะเดียวกันมันจะปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่สำหรับฟางหยวน เขาต้องการกดดันเด็กเหล่านี้ต่อไปเพื่อให้เขาสามารถรีดไถหินวิญญาณได้อย่างสะดวกสบาย
หากเขาแพ้ เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้จะตระหนักถึงความอ่อนแอของเขาและโจมตีเขาพร้อมกัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ยินดีให้เกิดขึ้น
เหตุผลเป็นเพราะการกรรโชกหินวิญญาณเป็นรายได้หลักของเขาในปัจจุบัน เขาไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้นี้ ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมาด้วยการเอาชนะการประลองสามสิบสามครั้งติดต่อกัน แม้สุดท้ายเขาจะไม่ได้รับรางวัลก็ตาม
“พวกเจ้ากำลังรอสิ่งใด หินวิญญาณยี่สิบก้อน ไม่มีผู้ใดต้องการงั้นหรือ?” อาจารย์ผู้ฝึกสอนตะโกนเสียงดัง
เมื่อฟางหยวนออกจากสนามประลอง เด็กหนุ่มสาวก็ถูกล่อลวงด้วยเงินรางวัลอีกครั้ง
“ข้าไป!”
“ข้าเอง!”
เด็กสองคนกระโดดเข้าไปในสนามรประลองอย่างรวดเร็ว
“เห้อ...หากข้ารู้เช่นนี้ ข้าจะไม่รีบเข้าไปในสนามประลองเพื่อต่อสู้กับฟางหยวนแล้วถูกโยนออกมาตั้งแต่แรก”
“น่าเสียดาย”
“ฟางหยวนช่างกล้าหาญนัก กระทั่งอาจารย์ก็ไม่เกรงกลัว”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเหล่านี้ อาจารย์ผู้ฝึกสอนรู้สึกราวกับชื่อเสียงของเขาพังทลายลง แต่เขาก็รู้ดีว่าฟางหยวนไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เขาไม่สามารถทำโทษฟางหยวนและทำได้เพียงจ้องมองฟางหยวนด้วยความโกรธเท่านั้น
ริมฝีปากของฟางหยวนยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ‘วิธีการบ้านๆของอาจารย์ผู้นี้ก็น่ารักนิดหน่อย’