ส่งจอมยุทธไปต่างโลก ตอนที่ 2 เวทเสริมพลัง และ การใช้งานพลังเวท
ตอนที่ 2
เวทเสริมพลัง และ การใช้งานพลังเวท
ตั่งแต่ลูเซียสลืมตามองดูโลกใบที่ 2 ของเขาก็ผ่านมาแล้ว 7 ปี ตอนนี้เขากลายเป็นเด็ก 7 ขวบเรียบร้อยแล้ว สามารถวิ่งเดินกระโดดพูดคุยได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดว่าเขาแปลกอีกแล้ว ในหมู่บ้านของลูเซียสนั้นมีเด็กอยู่ไม่กี่คน ในรุ่นที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นกับลูเซียสก็มีเพียง 9 คนเท่านั้น คนแรกคือเอลลี่ พี่สาวคนโตประจำกลุ่มของพวกลูเซียส คนต่อมาคือ ดีน เด็กชายลูกเจ้าของร้านตีเหล็ก อายุอ่อนกว่าเอลลี่ไม่กี่เดือน เป็นเด็กแข็งแรงและยิ้มแย้มอยู่เสมอ เป็นพี่ชายที่ดีของเด็กๆในหมู่บ้าน ต่อมาก็เป็นตัวลูเซียสเองที่อายุ 7 ปีแล้ว กับ โรส และ จัสมิน ที่อายุ 7 ปีเท่ากัน โดยทั้งสองคนเป็นลูกของครอบครัวชาวนาท้ายหมู่บ้าน ทั้งสองครอบครัวสนิทกันมากและตั้งท้องทั้งสองคนห่างกันแค่ไม่กี่วัน ทำให้ทั้งสองคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ส่วนคนต่อมาคือ แม็ก ลูกชายของคนเลี้ยงแกะ และ เอ็ด ลูกชายคนเลี้ยงวัว ทั้งสองคนอายุ 5 ปี ต่อมาคือ แพทริเซีย ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านอายุ 4 ปี และท้ายที่สุดคือ ลินลี่ น้องสาวของแพททริเซีย อายุยังไม่ถึง 1 ปีดี
ปกติแล้วเด็กๆมักจะช่วยงานที่บ้านของใครของมันแล้วค่อยออกมารวมตัวกันตอนบ่ายยกเว้นลินลี่ที่ยังเล็กอยู่ ส่วนใหญ่ทั้ง 8 คนก็จะเล่นกันตามประสาเด็ก ทั้งเล่นสมมุติโน่นนี่นั่นหรือการวิ่งไล่จับเป็นต้น แม้ลูเซียสจะเขินๆเวลาเล่นกับเด็กอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเล่นไปตามน้ำเพราะเขาไม่อยากดูแปลกแยกกับเด็กคนอื่น
มีครั้งหนึ่งเขาเคยไปที่บ้านของ ดีน ซึ่งเป็นร้านตีเหล็ก นอกจากเครื่องใช้ปกติที่เห็นได้ทั่วไปอย่าง จอบ เสียม หรือ ขวาน ยังมีของที่ลูเซียสไม่คิดว่าในหมู่บ้านสงบสุขอย่างลีฟจะมีนั่นคืออาวุธ พ่อของดีนผลิตอาวุธออกมาวางไว้ในร้านมากมาย เรียกได้ว่าพอให้ทุกคนในหมู่บ้านใช้ หลังจากลองถามพ่อของดีนแล้วก็ได้รู้ว่าในโลกแห่งนี้มีตัวตนที่เรียกว่า สัตว์อสูร อยู่ พวกมันไม่เหมือนสัตว์ป่าทั่วไปที่ล่ามาเป็นอาหาร แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากพลังเวทของผืนแผ่นดิน พวกมันดุร้ายกว่าสัตว์ป่าทั่วไปมาก และมีหลายครั้งที่พวกมันโจมตีใส่หมู่บ้านของมนุษย์ทำให้อาวุธสำหรับป้องกันหมู่บ้านมีความจำเป็นอย่างมาก
“วันนี้ เราจะเล่นซ่อนแอบกัน”เอลลี่พูดขึ้นกลางวงของเหล่าเด็กๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เอลลี่จะเลือกว่าวันนี้ทุกคนจะเล่นอะไรกันดี ซึ่งลูเซียสก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการเล่นซ่อนแอบอยู่แล้ว
“เอาละ มาจับคู่กันเป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้เป็นคนสุดท้ายต้องเป็นคนหา”เอลลี่พูดจบ เด็กๆทั้ง 8 คนก็เริ่มจับคู่กันเองซึ่งลูเซียสก็ถูกเอลลี่ลากมาจับคู่กับตนแทบจะทันที
“เป่า ยิ้งงงงง ฉุบ!”เอลลี่พูดพลางยกมือขึ้นสูง ส่วนลูเซียสนั้นมองมือของเอลลี่นิ่งขณะรอให้เด็กสาววาดมือลงมา เขาก็ออกค้อนรอไว้ทันที ซึ่งผลที่ออกมานั้นลูเซียสย่อมเป็นฝ่ายชนะแน่นอนเพราะเขาเห็นเอลลี่เตรียมออกกรรไกรไว้แต่แรกแล้ว
“แพ้อีกแล้ว ทำไมพี่เป่ายิ้งฉุบไม่ชนะลูเซียสเลยละ”เอลลี่บนพลางทำปากบุ้ย ก่อนที่เธอจะไปจับคู่กับคนที่แพ้เพื่อหาคนที่จะเล่นเป็นคนหา
“แพ้แล้ว!”ในที่สุดผลการตัดสินก็ออกมา คนที่ดวงซวยต้องเป็นคนหาคือ จัสมิน
“งั้นหนูนับ 1 – 100 นะ”จัสมินพูด พลางเดินไปที่กำแพง เธอฟุบหน้าลงกับกำแพงพลางนับ 1 – 100 อย่างช้าๆ ซึ่งลูเซียสก็ไม่รอช้าเดินไปที่บ้านหลังหนึ่งพร้อมเกาะกับต้นไม่ข้างๆกระโจนขึ้นไปบนหลังคาในเสี้ยววินาที การเล่นซ่อนหาเป็นการเล่นที่ลูเซียสชอบมากในบรรดาการเล่นทั้งหมดที่เอลลี่เสนอมา เพราะเขาไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าเล่นกับเด็กเหมือนการเล่นอื่นๆ ยิ่งการเล่นพ่อแม่ลูกหรืองานเลี้ยงน้ำชาที่พวกเด็กผู้หญิงชองเล่นแล้ว เขาบอกตามตรงว่าเขาโคตรอายเลยเวลาต้องทำเป็นคุณพ่อหรือพี่ชายคนโน้นคนนี้
“เจอพี่ดีนแล้ว”จัสมินตะโกนพลางล้วงมือเข้าไปในพุ่มไม้ ซึ่งดีนที่โดนจับได้ก็ได้แต่ลุกออกมาจากพุ่มไม้ไปรอที่ข้างกำแพงซึ่งจัสมินใช้เป็นที่นับเลข การได้มองเด็กๆเล่นกันอยู่บนหลังคาทำให้ลูเซียสอดรู้สึกผ่อนคลายไม่ได้ เขามองจัสมินที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างอารมดี
“วัยเด็กนี่ดีจริงๆเลยน้า”ลูเซียสว่าพลางถอนหายใจยาวๆ วัยเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมายนี้แหละดีที่สุดแล้วจริงๆ
“พูดอย่างกับตัวเองโตนักหนาแนะ”เสียงดังมาจากด้านข้างทำเอาลูเซียสรีบหันไปมองทันที
“โรส ทำไมถึงอยู่ที่นี่ละ”ลูเซียสถามด้วยสีหน้าตกใจ เด็กอย่างโรสไม่น่าปีนขึ้นมาบนหลังคาได้เลยนะ
“ก็เห็นลูเซียสขึ้นมานี่นา”โรสพูดราวกับจะถามว่าเธอทำผิดงั้นเหรอ
“แต่หลังคานี่มันสูงมากเลยนะ”ลูเซียสว่าพลางมองลงไปข้างล่าง หลังคาบ้านหลังนี้มันสูงราวๆ 3 เมตรเลยนะ
“ก็ขึ้นมาทางบันไดข้างหลังไง ลูเซียสไม่ได้ขึ้นมาทางนั้นเหรอ”พอได้ยินโรสตอบ ลุเซียสก็มองไปข้างหลังบ้านเขาถึงเห็นว่ามีบันไดพาดเอาไว้จริงๆ เล่นเอาลูเซียสได้แต่ถอนหายใจ เด็กๆนี่ไม่คิดอะไรจริงๆ บนหลังคานี่มันอันตรายใช่ย่อยเลยนะ
“เจอลูเซียสกับโรสแล้ว”ขณะกำลังคิดอยู่นั้นจัสมินก็ปีนขึ้นมาจากบันไดที่พาดเอาไว้ พลางชี้มาทางพวกเขาทั้งสองคน
“ทั้งสองคนลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”ลูเซียสดุ พลางพาทั้งสองคนลงจากหลังคา
“ต่อไปนี้ห้ามใครขึ้นไปเล่นบนหลังคาอีกนะ มันอันตราย”ลูเซียสว่าทั้งสองคน พลางหยิบบันไดที่พาดไว้กับตัวบ้านลงมานอนกับพื้น
“แต่ลูเซียสก็ขึ้นไปนี่นา”โรสว่าพลางทำแก้มป่อง
“ผมโตแล้วไม่เป็นไรหรอก แต่ทั้งสองคนยังเด็กอยู่”ลูเซียสว่า พลางเท้าเอวมองทั้งสองคนด้วยสายตาเป็นห่วง
“ลูเซียสก็อายุเท่ากันนี่นา”จัสมินพูดโรสก็พยักหน้ารับทันที
“เอาเถอะ แต่อย่าขึ้นไปอีกแล้วกันผมเป็นห่วงพวกเธอนะ”ลูเซียสถอนหายใจพลางลูบหัวเด็กทั้งสองเบาๆ
“อื้ม...”โรสกับจัสมินตอบรับพลางพยักหน้าเบาๆอย่างว่างายทำให้ลูเซียสอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบหัวเด็กทังสองอย่างเอ็นดู
.
.
.
เมื่อเวลาร่วงเลยถึงยามเย็น ลูเซียสจะออกมาฝึกซ้อมก่อนพระอาทิตย์จะตกดินที่หลังหมู่บ้าน ร่างกายของเด็กเบาและเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าร่างของผู้ใหญ่มาก ทำให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องและเหนื่อยช้ากว่าร่างก่อนของเขามาก มิน่าละเด็กๆถึงวิ่งเล่นกันได้ตลอดวัน
ลูเซียสสามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทในร่างกายของตนเอง และทดลองใช้งานมันหลายต่อหลายครั้งแต่ก็พบว่าเขาไม่สามารถใช้งานเวทมนตร์ด้วยวิธีของลมปราณได้ เขาสามารถเคลื่อนพลังเวทจากจุดตันเถียนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ มันสามารถช่วยเพิ่มพละกำลังและทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น อย่างเช่นเขาสามารถรวมพลังเวทไว้ที่กำปั้นแล้วใช้มันต่อนต้นไม้ได้สุดแรงโดยที่มือน้อยๆของเขาไม่มีแม้แต่เลือดสักหยด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเพิ่มพลังเข้าไปจนล้มต้นไม้ได้ ตั่งแต่ลูเซียสเริ่มเดินได้เขาก็ฝึกร่างกายและวิชาที่เขาเคยฝึกมาตลอด การใช้อาวุธและท่วงท่าต่างๆในการต่อสู้ยังคงอยู่ในความทรงจำ สลักลึกในวิญญาณ เพียงแค่ใช้ออกตามที่ตัวเขาในอดีตใช้ออกร่างของลูเซียสก็สามารถใช้วิชาต่อสู้ได้ไม่ยาก เพียงแต่เขาต้องมาปรับเรื่องระยะห่างและส่วนสูงที่มีผลต่อกระบวนท่าต่างๆด้วยเท่านั้น
“เป็นเพราะร่างนี้ยังเด็กเกินไปงั้นเหรอ”ลูเซียสพึมพำพลางต่อยหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว พลังเวทในร่างกายของเขาตอนนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับพลังลมปราณที่เขามีในชาติก่อน หากเทียบกันละก็พลังลมปราณในชาติก่อนของเขาราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แต่พลังในร่างของเขาตอนนี้ราวกับลำธารที่มีน้ำอย่างจำกัดอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากพยายามถามจากคลังข้อมูลโลก ลูเซียสพบว่าการใช้เวทมนตร์นั้นจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับวิธีใช้จากหนังสือต่างๆเสียก่อน หรือพูดง่ายๆก็คือการใช้เวทมนตร์มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับการใช้ลมปราณนั่นเอง เขาจำเป็นต้องมีคนสอนหรือไม่ก็ต้องมีหนังสือที่เขียนวิธีใช้เอาไว้เท่านั้น แต่หมู่บ้านของเขาอยู่ว่าแต่หนังสือเลย คนที่อ่านชื่อหมู่บ้านได้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น จึงเลิกหวังว่าจะมีหนังสือเวทมนตร์แอบอยู่ในหมู่บ้านนี้ไปได้เลย หนทางเดียวที่ลุเซียสคาดหวังก็คือ พ่อค้าที่นานๆจะโผล่มาในหมู่บ้านสักคน แต่คนล่าสุดที่เข้ามาก็มีเพียงคนเล่านิทานเมื่อ 6 ปีก่อนเท่านั้น แต่แค่ครั้งนั้นก็ทำให้ลูเซียสสามารถศึกษาข้อมูลของโลกนี้ได้มากแล้ว เรียกได้ว่าต้องขอบคุณเลยละ
“ไอ้หนู แกมาทำอะไรตรงนี้” อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น เล่นเอาลูเซียสสะดุ้งโหยง พอไม่มีลมปราณแล้วประสาทการรับรู้สิ่งรอบข้างก็ทื่อลงอย่างเห็นได้ชัด
“ขอโทษครับ ผมแค่มาหาอะไรเล่นแกวนี้เท่านั้นเอง”ลูเซียสตอบพลางหันไปมองชายแก่ที่เดินเข้ามา เขาอยู่ในชุดเกราะหนังทั้งชุด ในมือถือหอกยาว ดวงตาข้างหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแผ่นหนัง เส้นผมสีขาวโพลนถูกมักเอาไว้เป็นหางม้าท่าทางดูดุดันอย่างมาก แต่ลูเซียสและเด็กๆทุกคนต่างก็ไม่เคยกลัวเขาเลย เพราะเขาคือคนที่คอยคุ้มกันหมู่บ้านมาหลายสิบปี คุณปู่ แกรน นั่นเอง
“หมัดเมื่อกี้ ใช้ได้นี่”ปู่แกรนพูด ขณะเดินเข้ามาหาลูเซียสอย่างช้าๆ เขาแอบมองลูเซียสมาพักหนึ่งแล้ว เด็กนี่กำลังซ้อมต่อสู้ แถมดุแล้วเหมือนไม่ใช่พึ่งฝึกเลย
“ไอ้หนู แกใช้เวทเสริมพลังได้ด้วยงั้นเหรอ”ปู่แกรนถามเมื่อมองเทียบต้นไม้กับหมัดของลูเซียส ดวงตาของเขาเริ่มส่องความประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เรียกว่าเวทเสริมพลังเหรอครับ”ลูเซียสถามพลางทำหน้าซื่อ
“ใช่ถึงจะยังไม่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ถือว่าใช่”ปู่แกรนพูดพลางจับมือของลูเซียส เขาสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่ยังตกค้างอยู่กับมือของลูเซียสพลางครุ่นคิดว่า เด็กคนนี้สามารถใช้พลังเวทได้แล้ว เรื่องแบบนี้มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
“เจ้าน่าจะขาดจินตนาการไป การใช้เวทเสริมพลัง ไม่สิการใช้เวทมนตร์ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องใช้จินตนาการเป็นหลัก”ปู่แกรนพูดพลางปล่อยแขนลูเซียสออก
“เจ้าลองจินตนาการดูสิว่าหมัดของเจ้าหล่อขึ้นมาจากเหล็ก”ปู่แกรนพูดจบลูเซียสก็พยักหน้า เขากำหมัดตั้งท่าเตรียมพร้อมทั้งส่งพลังเวทเข้าไปที่แขนทั้งสองข้างของเขา พลางจินตนาการถึงหมัดที่หล่อขึ้นจากเหล็ก
ตูม! คลื่นนนนน เสียงหมัดอันหนักแน่นกระแทกใส่ต้นไม้อย่างแรง พร้อมๆกับเสียงของต้นไม้ที่เริ่มหักโค้นลง
“หละ เหลือเชื่อ”แม้แต่ปู่แกรนที่เป็นคนสอนเองยังอดอึ้งไม่ได้ ไม่คิดว่าเด็กตัวแค่นี้จะมีพลังจินตนาการมากมายถึงเพียงนี้ แค่ทลองครั้งแรกก็สามารถต่อยต้นไม้จนล้มได้ในหมัดเดียว แต่ปู่แกรนคงไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเด็กตรงหน้ามีความรู้ความเข้าใจมาจากต่างโลกมากมายนัก วิชากำลังภายในคิดค้นมาจากคัมภีร์ทางศาสนา ไม่ว่าจะทางพุทธหรือเต๋า การตีความและทำความเข้าใจล้วนต้องอาศัยจินตนาการอย่างมาก และจำเป็นต้องมีความหนักแน่นอย่างมากในการใช้งานและฝึกฝน แค่จินตนาการว่าหมัดของตนแข็งแกร่งราวเหล็กกล้านั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับลูเซียสเลย
“แบบนี้นี่เอง ต้องจินตนาการสินะ”ลูเซียสพูดพลางมองต้นไม้ที่ล้มลงกับพื้น ความรู้สึกเหมือนพลังเวทถูกใช้ออกไปทำให้ลูเซียสรู้สึกแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก นั่นหมายความว่าครั้งก่อนๆนั้นเขาแค่เอาพลังเวทออกมาห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ใช้งานมันอย่างถูกต้องนั่นเอง
“ดีๆ อย่างนี้ข้าก็คงมีคนช่วยปกป้องหมู่บ้านอีกคน”ปู่แกรนพยักหน้าอย่างพอใจ
“แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้ใกล้มืดแล้วเจ้ากลับบ้านไปก่อนเถอะ”ปู่แกรนว่า พลางเดินตรวจตราหมู่บ้านต่อ เพราะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้เวทเสริมพลังเป็นทำให้มีแต่เขาเท่านั้นที่สามารถคุ้มกันคนในหมู่บ้านได้ ขืนเขามัวแต่อยู่ดูลูเซียสจนปล่อยสัตว์อสูรเข้าหมู่บ้านคงไม่ใช่เรื่องดีนัก
“จินตนาการสินะ”ลูเซียสพึมพำพลางลองตั้งท่าฝ่ามือ เขาเคยทดลองใช้พลังเวทแทนพลังลมปราณหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผล ในเมื่อพลังเวทสามารถใช้จินตนาการในการใช้งานได้ ถ้าหากเขาลองจินตนาการถึงวิชาที่เขาใช้ได้ในโลกก่อนละ
โฮกกกกกก ทันทีที่ฝ่ามือของลูเซียสพุ่งออกไปข้างหน้า ก็ปรากฏภาพร่างของมังกรตัวหนึ่งพุ่งออกไปกระแทกต้นไม้จากระยะไกลจนล้มลงไปกับพื้น แม้จะไม่รุนแรงเหมือนตอนที่เขาใช้ในชาติก่อน แต่มันก็ออกมาแล้ว ออกมาแล้วจริงๆ