เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 39 ขบวนสินค้า (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 39 ขบวนสินค้า
แปลโดย iPAT
พฤษภาคมเป็นเดือนแห่งการเปลี่ยนผ่านจากฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน
กลิ่นดอกไม้ลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งขุนเขา ดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส
บนภูเขาเต็มไปด้วยพฤกษาพันธุ์ที่หลากหลาย ทุ่งข้าวสาลีทอดตัวยาวเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ
เกษตรกรจำนวนมากทำงานอยู่ในไร่นา พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลและไม่ใช่คนตระกูลแสงจันทร์
“กริ๊ง...กริ๊ง...”
เสียงกระพรวดลอยมาตามสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ชาวนาทั้งหมดยืนขึ้นและมองไปยังขบวนสินค้าที่ทอดตัวยาวไปตามเส้นทางบนภูเขาราวกับมังกรหลากสี
“มันเป็นขบวนสินค้า”
“ถูกต้อง ขบวนสินค้าจะมาที่นี่ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี”
ทุกคนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี กระทั่งเด็กๆยังหยุดเล่นน้ำและมองไปที่ขบวนสินค้าด้วยความตื่นเต้น
ภาคใต้มียอดเขาอยู่นับร้อยนับพันลูก ภูเขาชิงเหมาเป็นเพียงหนึ่งในนั้น บนยอดเขาต่างๆมักมีกลุ่มตระกูลตั้งถิ่นฐานและปกครองอยู่ ส่วนหลังเขาหรือในป่ามักมีกลุ่มโจรและสัตว์ร้ายเร้นกายอยู่เป็นจำนวนมาก
โดยปกติแล้วมีเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสามเท่านั้นที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปรอบๆ
ดังนั้นสภาพเศรษฐกิจในดินแดนเหล่านี้จึงค่อนข้างซบเซา ด้วยความยากลำบากในการเดินทางติดต่อซื้อขาย มีเพียงขบวนสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถว่าจ้างผู้ใช้วิญญาณระดับสูงจำนวนมากเพื่อคุ้มกันพวกเขาในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ
การมาถึงของขบวนสินค้าเป็นเหมือนน้ำร้อนที่เทลงมาบนภูเขาชิงเหมาอันเงียบสงบ
ขบวนสินค้าจะมาที่นี่ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้นที่เฒ่แก่ของโรงเตี้ยมสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กิจการโรงเตี้ยมซบเซาตลอดทั้งปี มีเพียงการมาถึงของขบวนสินค้าเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาอยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งปี
นอกจากห้องพัก โรงเตี้ยมยังสามารถขายสุราไผ่เขียวจำนวนมาก ขบวนสินค้าจึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของพวกเขาอย่างแท้จริง
ขบวนสินค้าค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาในอาณาเขตของหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล มันนำมาด้วยคางคกสีทองที่มีความสูงห้าเมตร มีถุงสินค้าผูกไว้บนแผ่นหลังของมัน ขณะที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งไขว้ขาอยู่บนศีรษะของคางคกตัวนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย ดวงตาของเขาจะกลายเป็นเส้นโค้งเมื่อเขาเผยรอยยิ้ม
คนผู้นี้มีนามว่า เจียฟู่ เขาเป็นผู้นำขบวนสินค้าและเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่
คางคกสีทองกระโดดไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบาแต่มันยังสูงขึ้นไปเท่ากับบ้านสองชั้น อย่างไรก็ตามเจียฟู่ยังนั่งอยู่บนแผ่นหลังมันได้อย่างมั่นคง
ถนนที่เคยกว้างใหญ่กลายเป็นคับแคบไปในทันทีเมื่อคางคกสีทองเคลื่อนที่ผ่าน ด้านหลังคางคกสีทองตามมาด้วยแมลงเต่าทองขนาดใหญ่ แมงมุมยักษ์ และสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายที่บรรทุกสินค้ามากมายเอาไว้กับตัว นอกจากนั้นยังมีผู้ใช้วิญญาณจำนวนมากที่คอยคุ้มกันสินค้าเหล่านี้อยู่ไม่ห่าง
ตลอดทางเด็กๆต่างเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว บางครั้งพวกเขาก็ตะโกนเสียงดังอย่างร่าเริง บางครั้งก็รู้สึกราวกับหายใจไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไรดวงตาของพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ชาวบ้านที่อยู่สองข้างทางพากันโบกมือทักทายพ่อค้าที่เดินทางมาถึงด้วยความยินดี
“น้อยเจีย ปีนี้พวกเจ้ามาสายไปเล็กน้อย พวกเจ้าคงพบกับความยากลำบากระหว่างทาง” หัวหน้าหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล อวี๋โป้ ออกมาต้อนรับขบวนสินค้าด้วยตนเอง
เจียฟู่เป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ หากหัวหน้าหมู่บ้านมอบหมายให้ผู้ใช้วิญญาณระดับต่ำกว่าออกมาต้อนรับ มันจะเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่เช่นเดียวกันจึงต้องออกมาด้วยตนเอง
เจียฟู่ถอนหายใจ “ปีนี้ไม่ค่อยราบรื่นนัก พวกเราพบฝูงค้างคาวดูดเลือด นั่นทำให้พวกเราต้องเข้าไปหลบอยู่ในหุบเขาเป็นเวลานานก่อนจะสามารถเดินทางได้อีกครั้ง คราวนี้ข้าทำให้พี่อวี๋ต้องรอแล้วว”
น้ำเสียงของเจียฟู่เต็มไปด้วยความสุภาพ
หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลพึ่งพาขบวนสินค้า ขณะที่ฝ่ายพ่อค้าก็ต้องการขายสินค้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสุภาพและไว้ไมตรีต่อกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็มาถึงในที่สุด ตระกูลของเราเตรียมสุราอาหารเอาไว้ต้อนรับน้องเจียแล้ว” อวี๋โป้กล่าว
“พี่อวี๋ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงเพียงนั้น” เจียฟู่เผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า
ขบวนสินค้าเดินทางมาถึงภูเขาชิงเหมาตั้งแต่เช้าและเข้าไปถึงหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลในช่วงเที่ยงวัน ในยามค่ำขบวนสินค้าจึงได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่ลานกว้างของหมู่บ้าน สินค้าจำนวนมากถูกนำออกมาวางขายไว้บนเสื่อที่ปูอยู่บนพื้น
แสงจากโคมไฟส่องสว่างขึ้นในยามค่ำคืนพร้อมกับผู้คนที่เดินเลือกซื้อสินค้าราวกับงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่
ฟางหยวนเดินอยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์และไหลไปตามกระแส
ไม่ว่าจะเป็นแผงลอยหรือกระโจมสินค้าต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
“เร่เข้ามา เร่เข้ามา ที่นี่มีชาทะเลหมอกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นชาอันดับหนึ่ง มนุษย์สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกสะดวกสบายเช่นเดียวกับเทพเจ้าบนสวรรค์ แม้ท่านจะไม่ดื่มมัน มันยังสามารถเป็นอาหารบำรุงให้แก่วิญญาณของท่าน มันมีราคาเพียงห้าหินวิญญาณ”
“วิญญาณความแข็งแกร่งของเต่าทอง มันจะทำให้ร่างกายของผู้ใช้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้น พวกท่านไม่ควรพลาดมัน”
“หญ้าประกายแสงระดับหนึ่งอยู่ที่นี่ มันมีราคาถูกมาก เพียงสองหินวิญญาณเท่านั้น”
ฟางหยวนหยุดเท้าลงก่อนจะเดินไปยังทิศทางของต้นกำเนิดเสียงสายนั้น
บนรถเข็นสองล้อปรากฏหญ้าสีเขียววางอยู่ ใบหญ้ามีความยาวถึงหนึ่งเมตรแต่บางเท่ากับเล็บมือมนุษย์ มันสามารถใช้เป็นอาหารเสริมของวิญญาณ
ปกติแล้ววิญญาณแสงจันทร์ของฟางหยวนจะกินกลีบกล้วยไม้จันทราเป็นอาหารจำนวนสองกลีบ อย่างไรก็ตามหากเขาผสมหญ้าประกายแสงเข้าไป เขาจะใช้กลีบกล้วยไม้จันทราเพียงกลีบเดียว
หญ้าประกายแสงครึ่งกิโลกรัมราคาสองหินวิญญาณ ขณะที่กลีบดอกกล้วยไม้จันทราสิบกลีบมีราคาหนึ่งหินวิญญาณ ดังนั้นการผสมหญ้าประกายแสงเข้าไปจะทำให้ฟางหยวนสามารถประหยัดเงินในกระเป๋า
‘ครึ่งเดือนก่อนข้าสังหารเกาเหวิน นั่นทำให้ข้าต้องจ่ายค่าปรับให้กับตระกูลด้วยหินวิญญาณจำนวนสามสิบก้อน แต่หลังจากนั้นครอบครัวสกุลโม่ได้มอบหินวิญญาณให้ข้าสามสิบก้อนเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น หลายวันมานี้ข้ากรรโชกหินวิญญาณมาอีกสองครั้ง มันทำให้ข้ามีหินวิญญาณทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสิบแปดก้อน แต่ข้าต้องใช้หินวิญญาณในการบ่มเพาะวันละสามก้อน เมื่อรวมค่าอาหารของวิญญาณทั้งสองดวง ตอนนี้ข้าเหลือหินวิญญาณเก้าสิบแปดก้อนเท่านั้น’
หลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรมคนรับใช้ ความหวาดกลัวถูกฝังลึกลงไปในหัวใจของเด็กหนุ่มสาว ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับฟางหยวนในการกรรโชกหินวิญญาณจากพวกเขา แม้บางคนยังกล้าต่อสู้กับเขา แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม
ฟางหยวนคำนวณอยู่ในใจขณะที่เดินตรงไปยังร้านขายหญ้าประกายแสง
รถเข็นที่วางขายหญ้าประกายแสงถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้วิญญาณ แต่ละคนถือหินวิญญาณไว้ในมือและกำลังแย่งชิงกันซื้อหญ้าประกายแสงเหล่านั้น เพียงไม่นานหญ้าประกายแสงก็ถูกขายออกไปจนหมด
ไม่ใช่ว่าฟางหยวนไม่มีเงินซื้อ แต่เขามาไม่ทัน
‘ข้าจำได้ว่าคางคกปฐพีอยู่ที่ร้านค้าแห่งนั้น ในชีวิตก่อนหน้าผู้ใช้วิญญาณบางคนเสี่ยงโชคในคืนแรกและได้รับโชคลาภครั้งใหญ่ ตอนนี้ข้าควรรีบไปที่นั่นและไม่ควรแสวงหากำไรเล็กๆน้อยๆแถวนี้’