เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 38 ปีศาจท่ามกลางแสงสว่าง (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 38 ปีศาจท่ามกลางแสงสว่าง
แปลโดย iPAT
เมฆสีดำปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าขณะที่สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นสาย
สายลมเย็นพัดกลิ่นอายที่สดชื่นเข้ามาในโรงเตี้ยมอันรกร้างขณะที่ฟางหยวนนั่งอยู่ริมหน้าต่างพร้อมกับสุราอาหารที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ
โต๊ะที่อยู่ห่างออกไปมีคู่ปู่หลานนั่งกินดื่มกันอยู่ ชายชรายกถ้วยสุราขึ้นดื่มก่อนจะชำเลืองตามองไปทางฟางหยวนด้วยความชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเขาถูกดึงดูดโดยกลิ่นสุราไผ่เขียวที่วางอยู่บนโต๊ะของฟางหยวน อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถจ่ายเพื่อมัน
หลานชายกำลังเคี้ยวอาหารขณะที่ใช้มือเขย่าร่างของชายชรา “ท่านปู่ ข้าอยากฟังเรื่องมนุษย์คนแรกอีก หากท่านไม่เล่าให้ข้าฟัง ข้าจะบอกท่านย่าว่าท่านแอบดื่มเหล้า”
“ฮืม ข้าไม่สามารถดื่มได้อย่างสงบสุขจริงๆ” ชายชราถอนหายใจ แต่ใบหน้าของเขายังเผยรอยยิ้มสดใส เขาใช้มือที่ผอมแห้งลูบศีรษะหลานชายก่อนกล่าว “ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง เมื่อมนุษย์คนแรกมอบหัวใจให้กับวิญญาณแห่งความหวัง อุปสรรคทั้งหมดก็ถูกทำลาย...”
ตำนานมนุษย์คนแรกเป็นเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
มันเป็นตำนานของมนุษย์ในยุคแรกกำเนิดกับวิญญาณแห่งความหวัง หลังจากมนุษย์คนแรกมอบหัวใจให้กับวิญญาณแห่งความหวังยังมีเรื่องราวต่อจากนั้น
เมื่อมนุษย์คนแรกรับรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา เขากล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่ต้องการ แต่สวรรค์ก็ยังปรารถนาให้ข้าตาย”
วิญญาณแห่งความหวังตอบ “ความหวังยังอยู่กับเจ้าเสมอ ตราบเท่าที่เจ้าสามารถจับวิญญาณอายุยืน อายุขัยของเจ้าจะยืดยาวออกไป”
มนุษย์คนแรกนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “เมื่อวิญญาณอายุยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน แต่เมื่อมันโบยบิน ความเร็วของมันกลับสูงล้ำ แล้วข้าจะจับมันได้อย่างไร? เรื่องนี้ยากเกินไป”
วิญญาณแห่งความหวังบอกความลับบางอย่างแก่มนุษย์ “มนุษย์ เจ้าไม่ควรทิ้งความหวังที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ข้าจะบอกความลับแก่เจ้า ภายในถ้ำบนยอดเขา มีวิญญาณอยู่สองดวง หนึ่งมีรูปลักษณ์เป็นทรงกลมและอีกหนึ่งมีรูปลักษณ์เป็นทรงสี่เหลี่ยม หากเจ้าสามารถเอาชนะพวกมัน หลังจากนั้นจะไม่มีวิญญาณดวงใดที่เจ้าจะไม่สามารถจับกุม”
นี่เป็นความหวังครั้งสุดท้ายในชีวิตของมนุษย์คนแรก
เขาเดินโซเซเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด บางครั้งเขาก็ชนเข้ากับก้อนหินอันแหลมคม บางครั้งเขาก็หกล้มลงบนพื้น ศีรษะของเขาแตก เลือดอาบย้อมไปทั้งร่าง เขาใช้เวลายาวนานในโลกอันมืดมิดที่ราวกับไร้จุดสิ้นสุดโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงการเอาชนะวิญญาณทั้งสองดวง
เมื่อเขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด เสียงสายหนึ่งพลันดังขึ้น
“มนุษย์ เจ้าต้องการจับพวกเรางั้นหรือ? กลับไปเสีย แม้เจ้าจะมีวิญญาณความแข็งแกร่ง เจ้าก็ยังไม่สามารถจับพวกเรา”
มนุษย์คนแรกที่หมอบคลานอยู่บนพื้นส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้าถูกวิญญาณความแข็งแกร่งและวิญญาณสติปัญญาทอดทิ้งไปแล้ว อายุขัยของข้ากำลังจะหมดลง ข้ากำลังเผชิญหน้ากับความตาย อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่ข้ายังมีความหวัง ข้าก็ยังไม่ยอมแพ้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของมนุษย์คนแรก วิญญาณทั้งสองดวงก็เงียบเสียงลงก่อนจะเริ่มกล่าวอีกครั้งหลังจากผ่านไปชั่วครู่ “ข้าเข้าใจแล้ว มนุษย์ เจ้ามอบหัวใจให้กับวิญญาณแห่งความหวัง เจ้าจึงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค”
เสียงอีกสายดังขึ้น “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากเจ้าสามารถบอกชื่อของพวกเรา พวกเขาจะไปอยู่กับเจ้า”
มนุษย์คนแรกกลายเป็นโง่งมเพราะมันเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร ชื่อสองชื่อที่ไม่มีคำใบ้แม้แต่จำนวนพยางค์ แล้วมันคือสิ่งใด?
มนุษย์คนแรกกล่าวชื่อต่างๆออกไป แต่วิญญาณทั้งสองดวงยังนิ่งเงียบ ชัดเจนว่าชื่อเหล่านั้นผิดทั้งหมด
เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์อ่อนแอลง เขาบาดเจ็บและไม่แม้แต่จะได้ทานอาหาร
ในเวลานี้เสียงสายหนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง “มนุษย์ เจ้ากำลังจะตาย เราจะปล่อยไป เจ้าจงใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมองดูโลกที่งดงาม อย่างไรก็ตามจงทิ้งวิญญาณแห่งความหวังไว้ที่นี่เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่พวกเรา”
มนุษย์คนแรกยกมือขึ้นจับหน้าอกของตนและปฏิเสธ “แม้ข้าจะตาย ข้าก็ไม่ยอมสูญเสียความหวัง”
เมื่อวิญญาณแห่งความหวังได้รับความรู้สึกอันแน่วแน่ของมนุษย์ มันจึงส่องแสงขึ้นบนหน้าอกของเขา แม้จะไม่ใช่แสงสว่างที่ส่องประกายไปทั่วราวกับดวงตะวัน แต่มันกลับมอบพลังงานบางอย่างให้เขา
ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่เขาพยายามจะกล่าวบางคำออกมา แต่ด้วยความสับสนเนื่องจากวัยชรา เขาจึงไม่ได้สามารถกล่าวออกไป
เป็นเพียงเวลานี้ที่มนุษย์คนแรกค่อยๆเปิดปากราวกับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้
ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมาว่า “กฎ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “มนุษย์ ข้าชื่นชมในความพยายามของเจ้า จากนี้ไปข้าจะติดตามเจ้าและฟังคำสั่งของเจ้า อย่างไรก็ตามหากปราศจากพี่น้องของข้า ข้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใด ดังนั้นเจ้าควรจะยอมแพ้เสีย”
มนุษย์คนแรกยังส่ายศีรษะ เขานึกชื่ออื่นต่อไปเรื่อยๆ จากวินาทีสู่นาทีและหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะกล่าวอีกคำออกมา “ระเบียบ”
ความมืดมิดมลายหายไปในพริบตา
วิญญาณสองดวงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ชื่อของพวกมันรวมกันมีความหมายว่า กฎระเบียบ
ทั้งสองกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง “ไม่ว่าผู้ใดที่สามารถบอกชื่อของพวกเรา พวกเราจะรับคำสั่งจากคนผู้นั้น มนุษย์ เมื่อเจ้ารู้จักชื่อของพวกเราแล้ว เจ้าสามารถใช้พวกเราได้ตามที่เจ้าปรารถนา ตอนนี้จงกล่าวคำสั่งแรกออกมา”
มนุษย์คนแรกรู้สึกมีความสุขมาก “ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าจับวิญญาณอายุยืนมาให้ข้า”
วิญญาณกฎและวิญญาณระเบียบจับวิญญาณอายุยืนมามอบให้กับมนุษย์คนแรกอย่างรวดเร็ว
เมื่อมนุษย์คนแรกกินวิญญาณอายุยืนเข้าไป ผิวหนังที่เหี่ยวย่นของเขาก็กลายเป็นผิวหนังที่อ่อนเยาว์ แขนขาที่ผอมแห้งของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยมัดกล้ามเนื้อ
เขากระโดดขึ้นสู่อากาศอย่างมีความสุข
มองไปที่ร่างกายของตนเอง มนุษย์คนแรกเห็นเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีอีกครั้ง
“ท่านปู่ หลังจากนั้นมนุษย์คนแรกทำสิ่งใดต่อไป?” หลานชายเขย่าแขนรบเร้าชายชราให้เล่าต่อ
“เด็กดีกลับบ้านกันก่อน หลังจากนั้นปู่จะเล่าให้เจ้าฟัง” ชายชราสวมหมวกไม่ไผ่ก่อนจะจูงมือหลานชายเดินออกไปจากโรงเตี้ยม
‘กฎ...’ ดวงตาของฟางหยวนกลายเป็นมืดครึ้ม เขาหมุนถ้วยสุราในมือขณะจ้องมองมัน
ตำนานของมนุษย์คนแรกเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานไปทั่ว ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักตำนานเรื่องนี้ แน่นอนว่าฟางหยวนรู้จักมันเป็นอย่างดี
แต่ไม่ว่าเรื่องเล่าจะเป็นอย่างไร ทุกคนย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกัน ตำนานที่ชายชราเล่าให้หลานชายฟัง มนุษย์คนแรกพยายามก้าวข้ามความยากลำบากมากมายท่ามกลางความมืดมิด แม้แต่ความแข็งแกร่ง สติปัญหา หรือความหวังก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขา อย่างไรก็ตามเมื่อเขาไม่ย่อท้อ สุดท้ายเขาจึงได้รับวิญญาณกฎและวิญญาณระเบียบมาครองในที่สุด
ความมืดมีกฎของความมืด แสงสว่างก็มีกฎของแสงสว่าง
ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขามองเห็นท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ภูเขาสีเขียวที่เปียกชุ่มไปด้วยละอองฝน บ้านไม้ไผ่เรียงราวกันเป็นทิวแถว ขณะที่บางคนยังเดินอยู่บนท้องถนนพร้อมกับหมวกไม่ไผ่
‘โลกใบนี้เหมือนกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเป็นเพียงตัวหมากซึ่งเคลื่อนที่ไปตามกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกฎแห่งฤดูกาล กฎแห่งกาลเวลา ทุกคนต่างเดินไปบนเส้นทางของกฏ’ ฟางหยวนสรุป
‘ทุกคนมีจุดยืน มีความปรารถนา และหลักการของตนเอง ในตระกูลแสงจันทร์ ชีวิตของคนรับใช้ไร้ค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้านาย นี่คือกฎ ดังนั้นสาวใช้เช่นเฉินซุ้ยจึงพยายามปีนป่ายเพื่อให้ได้รับคุณค่าเหล่านั้นมาครอบครอง แม้จะต้องจ่ายด้วยความทุกข์ทรมานก็ตาม ด้านเกาเหวิน เขาทำทุกอย่างเพื่อเอาใจเจ้านายราวกับสุนัขเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานและพลังอำนาจ’
‘สำหรับลุงกับป้า พวกเขามีความโลภและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองมรดกของข้า อาจารย์อาวุโสดูแลบ่มเพาะศิษย์เพื่อรักษาตำแหน่งของเขาในสถานศึกษา’
‘ทุกคนมีกฎของตนเอง ทุกองค์กร ทุกสังคมต่างมีกฎของพวกเขา มีเพียงการเข้าใจกฎอย่างกระจ่างแจ้งเท่านั้นจึงจะสามารถนำพาตนเองก้าวผ่านความมืดมิดไปสู่แสงสว่าง’
‘โม่เฉินต้องการรักษาชื่อเสียงและผลประโยชน์ของเขา สำหรับโม่เยี่ยน การที่นางมาสร้างปัญหาให้ข้า นั่นคือการฝ่าฝืนกฎ สุดท้ายเพื่อรักษาชื่อเสียงของครอบครัว พวกเขาจะไม่มายุ่งกับข้าอีก นอกจากนั้นพวกเขายังต้องเสนอค่าชดเชยให้กับข้าอีกด้วย’
‘ในความเป็นจริง ด้วยอิทธิพลของพวกเขา หากพวกเขาต้องการลงโทษข้า ข้าก็ไม่สามารถต่อต้าน อย่างไรก็ตามโม่เฉินมีความหวาดกลัวอยู่ในหัวใจ เขาไม่กลัวที่จะฝ่าฝืนกฎ แต่เขากลัวว่าผู้อื่นจะเริ่มฝ่าฝืนกฎตามเขาและสร้างความยากลำบากให้แก่เขา สุดท้ายโม่เป่ยหลานชายของเขาอาจได้รับความทุกข์ทรมานจากบางคนที่ทำลายกฎในภายหลัง หากโม่เป่ยตาย โม่เฉินจะไม่สามารถยอมรับ ดังนั้นเขาจึงต้องรักษากฎเอาไว้’
ฟางหยวนมองเห็นความคิดของทุกคนอย่างชัดเจน
เกาเหวินไม่ใช่สมาชิกตระกูลแสงจันทร์ เขาเป็นเพียงคนรับใช้ที่ไร้ค่า
ด้วยความจริงข้อนี้ การตายของเขาจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้านายฆ่าคนรับใช้ นี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับโลกใบนี้
สิ่งสำคัญคือการตอบสนองของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกาเหวิน
‘ข้าส่งมอบชิ้นส่วนร่างกายของเกาเหวินกลับไป โม่เฉินต้องเข้าใจความหมายของข้า หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พวกเขาจะไม่ตรวจสอบการตายของเกาเหวินและไม่สงสัยการบ่มเพาะของข้า’ ฟางหยวนหัวเราะ
ฟางหยวนตระหนักว่าตัวเขาเองก็อยู่บนกระดานหมากรุกเช่นกัน แต่เพราะเขาเข้าใจกฎต่างๆเป็นอย่างดี เขาจึงสามารถเดินหมากได้อย่างแยบยล
ตั้งแต่เขาย้อนเวลากลับมาในอดีต เขาก็มั่นใจว่าตนเองจะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในอนาคต นี่ไม่ใช่ความมั่นใจที่มาจากวิญญาณกาลเวลาแต่มาจากประสบการณ์ห้าร้อยปีที่ทำให้เขาเข้าใจกฎของโลกใบนี้
เช่นเดียวกับมนุษย์คนแรกที่ครอบครองกฎระเบียบและสามารถคว้าวิญญาณอายุยืนมาได้ในที่สุด
ความมืดมีกฎของความมืด แสงสว่างมีกฎของแสงสว่าง
แต่ปีศาจหวนคืนกลับมาอีกครั้งท่ามกลางแสงสว่างอันรุ่งโรจน์